7 Days in Tibet (จากลาซา ถึงเอเวอเรสต์ เบสแคมป์) + เฉิงตู (9 วัน 8 คืน) พ.ค. 2018
เป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ คือไปให้ถึง เอเวอเรสต์ เบสแคมป์ (ความสูงจากระดับน้ำทะเล 5,200 เมตร - โชโมลังมา เป็นชื่อทิเบต) เริ่มแรก ได้ติดต่อทางทัวร์ที่จีน China Yak เลือกดูโปรแกรมที่ต้องการ แผนการที่ตั้งไว้ ตามนี้
18 พ.ค. - 27 พ.ค. 2561 (2018)
วันแรก : บินตี 3 ถึงเฉิงตู เช้า เข้าที่พัก ใกล้สนามบิน ตั้งใจจะไปดูแพนด้า แต่ไม่ทัน เพราะแพนด้ากินอาหารช่วงเช้า ถ้าบ่ายจะหลับแล้ว นอนพักผ่อนกันสักครู่ ช่วงบ่ายเลยไปที่ วัดวูเฮา (Wuhou Temple) และ ถนนโบราณจินหลี่ (Jinli Street) / มาถึงวันนี้ ต้องถามหา Tibet Permit จากทางฟร้อนของโรงแรมให้พร้อม
***การเที่ยวที่ทิเบต ต้องซื้อทัวร์เท่านั้น เราไม่สามารถไปเที่ยวเองได้ โดยจะต้องขอวีซ่าจากจีนก่อน (โดยที่ต้องไม่ระบุว่าไปทิเบต) เวลาขอวีซ่าจีน ก็แค่ส่งตั๋วที่เราบินไป-กลับเฉิงตู เท่านั้น ไม่ต้องส่งตั๋วที่บินไป-กลับ ลาซา-เฉิงตู ก็หมดปัญหา พอได้วีซ่าจีนแล้ว ก็ส่งเมล์หน้าพาสปอร์ตและหน้าวีซ่าของทุกคนไปที่ทางทัวร์จีน เพื่อให้เค้าขอ Tibet Permit ให้ ใช้เวลานานเป็นเดือนเลยช่วงนี้ เนื่องจากทาง EBC เพิ่งเปิดต้นเดือนนี้เอง คนขอเยอะ จะรอคิวนาน พอได้แล้ว เค้าจะส่งสำเนาให้เราทางเมล์ และจะส่งตัวจริงไปที่ที่อยู่ของโรงแรมที่เราพักในเฉิงตู เข้าทิเบตต้องมี Tibet Permit ตัวจริงเท่านั้น พร้อมชื่อผู้เดินทางทั้งหมดที่ถูกต้องตามพาสปอร์ต
วันที่สอง : ตื่นเช้า ไปดูหมีแพนด้ากัน น่ารักมากมาย ช่วงบ่ายไปที่พิพิธภัณฑ์เฉิงตู และเย็นแวะไปเที่ยวห้างที่มีพื้นที่ใช้สอยใหญ่ที่สุดในโลก Global Center
วันที่สาม : เรียกรถแท๊กซี่ตอนตี 4 ไปขึ้นเครื่อง เพื่อไปลาซา (ตื่นเต้นเลย) ว่าจะมีอาการแพ้ความสูงมั้ย เพราะตัวเมืองลาซา ก็ 3,650 เมตร แล้ว กรุงเทพ 0 เมตร เอง ฮ่าฮ่า ไปถึงยังไม่มีใครเป็นอะไร แต่หลังจากนั้น จะเล่าด้านล่างนะคะ เข้าที่พัก เดินเที่ยวอิสระ พักลาซา 1 คืน
วันที่สี่ : ไกด์มารับตอนเช้า ไปเที่ยวที่วัดโจคัง เดินไปใกล้ที่พัก และ เที่ยงไปเข้า พระราชวังโปตาลา กับบันไดหิน 360 ขั้น เที่ยงไกด์พาไปทานอาหารทิเบต หลังจากนั้น เที่ยวอิสระ พักลาซา 1 คืน
วันที่ห้า : ไกด์ และรถตู้มารับตอนเช้า มุ่งหน้าไป EBC แต่จะไปพักที่เมือง Shigatse (ซิกัดเซ่) ก่อน 1 คืน 3,800 เมตร ระหว่างทางแวะถ่ายรูป และเที่ยวหลายจุดมาก ถึงคืนนี้บางคนเริ่มมีปัญหาจากอาการแพ้ความสูงและเมารถ แต่โชคดีที่ จขกท ไม่มีอาการใดๆ เลย การนอนหลับให้สนิทในแต่ละคืนสำคัญมากๆ
วันที่หก : ออกเดินทาง 9 โมง มุ่งหน้าสู่ EBC โดยวันนี้จะแวะแค่ 2 จุด ถึง EBC แล้ว กระโดดถ่ายรูปกันหน่อย พักค้างคืนที่เกสต์เฮ้าส์ ห่างจาก EBC 8 กิโล คืนนี้ ผู้ร่วมทางทั้ง 3 คน มีอาการไม่ค่อยดีนัก ต้องใช้อ๊อกซิเจน จขกท ไม่ต้องใช้ แต่ก็หลับเป็นพักๆ และพยายามเคลื่อนตัวช้า หายใจให้ยาวขึ้น ใส่เสื้อกันหนาวให้เพียงพอ น้ไม่ได้อาบ ฟันไม่ได้แปรงค่ะที่นี่ ซักแห้งกันไป
วันที่เจ็ด : รุ่งขึ้น รีบออกจากที่พัก เพื่อลงสู่ที่ต่ำกว่า เนื่องจากบางคนยังมีอาการปวดหัวอยู่ ไกด์เลยบอกรีบลงกันดีกว่า วันนี้นั่งรถยาวๆ กลับไปพักที่เมืองซิกัตเซ่อีก 1 คืน
วันที่แปด : ออกจากเมืองซิกัตเซ่ ตอนเช้า แวะเที่ยววัด TashiLumpo Monastery และมุ่งหน้ากลับเมืองลาซา พัก 1 คืน
วันที่เก้า : ไกด์และคนขับรถมารับตอน 7 โมง เพื่อขึ้นเครื่อง เวลา 9.30 น. วันนี้คนขับ ขับรถชิวมาก มาถึง กทม ตอนเที่ยงคืนกว่า กลับบ้านโดยสวัสดิภาพ
------------------------
ข้อแนะนำและประสบการณ์อาการแพ้ความสูงจากหลายๆ ท่านและของ จขกท เอง
***ขึ้นกับวิจารณญาณ และการตัดสินใจของผู้ที่ไปเองนะคะ ว่าจะทานหรือไม่ทานยาค่ะ แต่ จขกท ไม่ทานค่ะ เพื่อดูว่าร่างกายเราปรับตัวตามธรรมชาติได้มากขนาดไหนนะคะ สรุปไป 4 คน จขกท ไม่มีอาการใดๆ แต่อีก 3 ท่าน มีอาการตั้งแต่ อ่อนเพลีย มึนหัวเล็กน้อย จนถึงปวดหัวหนักมาก ตอนที่อยู่ EBC ที่สูงสุด 1 คืนค่ะ แต่ไม่มีใครเป็นอาการร้ายแรงค่ะ
กลุ่มของเราที่ไป มีทั้งหมด 4 คน ชาย 3 หญิง 1 ไปถึงเมืองลาซา ไม่มีอาการใดๆ ถึงโรงแรม พักสักครู่ ยังออกไปเดินเล่น ทานข้าวได้ ตอนนี้ร่างกายปรับตัวอยู่ หลังจาก 6-10 ชั่วโมง จขกท มีอาการร้อนภายใน แต่พอได้เดินเล่นช้าๆ สูดอากาศ ก็ดีขึ้นมาก และไม่เป็นอะไรอีกเลย แต่สมาชิกบางท่าน ดื่มชา และนอนหลับช่วงเย็น แถมกลางคืนหนาวโดยที่ไม่ได้ป้องกันให้ดี ทำให้มีอาการนอนไม่หลับ พักผ่อนไม่เพียงพอ รุ่งขึ้นมึนหัว และอาการไม่ดีนัก แถมนั่งรถซิ่งด้วย เลยเพลียมาก
ข้อแนะนำที่คิดว่าพอจะมีประโยชน์ค่ะ
1) นอนหลับพักผ่อนในแต่ละคืนให้เพียงพอและหลับให้สนิท ในกลุ่มของ จขกท มี 4 ท่าน โดยที่ วันแรกที่ถึงลาซา มี 2 ท่าน ดื่มชาเขียว (ปกติอยู่ กทม ดื่มแล้วหลับสบายดี) เลยทำให้หลับได้ไม่ดี แนะนำคือ พยายามงดชากาแฟในวันแรกที่ไปถึงที่สูง เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว และอย่านอนหลับช่วงบ่ายหรือเย็น เพราะถ้านอนแล้ว กลางคืนไม่หลับจะมีปัญหาได้ ส่วนตัว จขกท หลับสนิทมากๆ ในคืนแรก และทุกๆ คืน ในที่สูง ยกเว้นที่ EBC ที่หลับสนิทเป็นช่วงๆ
2) ก่อนไปที่สูง จขกท ได้ไปพบแพทย์ ที่คลินิกเวชศาสตร์ท่องเที่ยวและการเดินทาง เนื่องจากได้ยินและได้อ่านมาเยอะว่า บางคนมีอาการแพ้ที่สูงในขั้นที่รุนแรงมาก บางท่านต้องเข้าไอซียู ก็เลยอยากมาขอคำแนะนำจากคุณหมอค่ะ คุณหมอได้แนะนำให้ใช้ยา DIAMOX เพื่อป้องกันอาการแพ้ที่สูง แต่ทั้งนี้ จกท ได้พูดคุยกับน้องท่านหนึ่งที่เคยไปมาชูปิกชู โดยบินจากลิมาไปคุสโก น้องได้ทานยานี้เข้าไป พอไปถึงที่คุสโก และนั่งรถแท๊กซี่ ก็เลยเกิดอาการแพ้ เหมือนยาดึงเลือดไปเลี้ยงที่สมอง ทำให้ส่วนปลายประสาทมีอาการชา เช่นการแขนและขา ตัวเค้าคิดว่าแย่แน่ๆ แล้ว เลยนอนราบลงไปในรถแท๊กซี่ โชคดีที่มีอาการดีขึ้น เลยได้ไปถึงมาชูปิกชู ทั้งนี้อาการที่เกิดขึ้นน้องได้พูดคุยกับแพทย์ชาวอเมริกันที่เจอระหว่างทาง จึงได้รู้ว่ายามีผลต่อร่างกายเค้าอย่างไร แต่ตามที่ จขกท อ่านจากหลายๆ รีวิว ส่วนใหญ่ บางคนทานยา แล้วเกิดอาการแพ้ แต่บางคนก็ไม่มีอาการใดๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยาช่วย หรือตัวเค้าน่าจะไม่แพ้ที่สูงอยู่แล้ว จากการอ่านมาหลายๆ รีวิว และพูดคุยกับน้อง จขกท เลยตัดสินใจไม่กินยาป้องกัน อยากจะดูว่าร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร ซึ่งก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด ที่ทำให้ได้รู้ว่า ร่างกายของเราไม่เกิดอาการแพ้ที่สูงแต่อย่างใด จะมีอาการเบาๆ ช่วง 6 ชั่วโมงแรกที่อยู่ที่ลาซา ที่รู้สึกร้อนผ่าวๆ ไปทั่ว แต่พอได้เดินเล่นช้าๆ สูดอากาศก็ดีขึ้น
3) รถตู้ที่ใช้เดินทาง ขับค่อนข้างเร็ว และเหวี่ยงมาก พยายาม นั่งเฉยๆ อย่าขยับตัวมาก และไม่แนะนำให้ถ่ายรูปตามทาง ด้วยกล้องโปร ที่ต้องใช้สายตา เพราะจะทำให้มีอาการปวกหัวต่อเนื่องได้ค่ะ ทางที่ไป ค่อนข้างดีมากแล้ว ไม่ขรุขระมากนัก แต่โค้งเยอะ เพราะต้องวิ่งข้ามเขาหลายลูก ถ้าอยากถ่ายภาพข้างทาง แนะนำแค่กล้องมือถือพอนะคะ และวันแรก ตามโปรแกรม แวะหลายที่สวยๆ ให้ถ่ายรูปอยู่แล้วค่ะ
4) ถ้าวางแผนไปเที่ยวที่ทิเบตแน่ๆ พยายามรักษาสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จขกท ปั่นจักรยาน ระยะทาง 50-80 โล อาทิตย์ละ 1 ครั้งค่ะ
5) ถ้าใครรู้ว่าเมารถ ก็ให้กินยาแก้เมาตอนระหว่างนั่งรถทางไกลไว้เลย แต่อาจจะพลาดเส้นทางสวยงามข่างทางนะคะ ถ้าหลับค่ะ และให้เตรียมยาแก้ปวดหัวไว้ ถ้ามีอาการปวดหัว มีผู้ร่วมทาง 1 ท่าน ก่อนวันที่จะเดินทางไป EBC เกือบจะตัดสินใจไม่ไปแล้ว เพราะอาการไม่ดีนัก แต่พอได้ทานยาแก้ปวดหัว และหลับสนิทในคืนนั้น รุ่งขึ้นก็สดชื่นขึ้นและเดินทางต่อได้ ในที่สุดก็ไปถึง EBC ครบทุกคน โชคดีไปค่ะ เพราะจะไปอีก คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
---------------------
ค่าเงินหยวน : เอาเงินหยวน x5 ก็จะได้เงินไทยคร่าวๆ
---------------------
ซิมมือถือ : ใช้ของอันนี้เลย ใช้ได้ทีเดียว แม้แต่ในทิเบต หรือเส้นทางจากทิเบต ไปถึง EBC บางช่วงสัณญานแรงดีเลย เล่น line, FB ได้ต่อเนื่อง แต่ vdo จะช้ามาก ตามที่รู้กัน ถ้าใช้ wifi ในจีน เราจะโดนบล็อก line และ FB ในจีนเค้าใช้ wechat กันแทน line ส่วน Weibo แทน FB
****วันแรก****
วัดวูเฮา
บินตี 3 ถึงเฉิงตู เช้า เข้าที่พัก ใกล้สนามบิน ที่จองไว้ทาง booking.com ยังเช็คอินไม่ได้ ฝากกระเป๋า หาอะไรรองท้องใกล้ที่พัก ตั้งใจจะไปดูแพนด้า แต่ไม่ทัน เพราะแพนด้ากินอาหารช่วงเช้า ถ้าบ่ายจะหลับแล้ว นอนพักผ่อนกันสักครู่ ช่วงบ่ายเลยไปที่ วัดวูเฮา (Wuhou Temple) ตำนานสามก๊ก วันนี้ไม่รู้ว่ามีงานอะไร คนเยอะมาก เลยได้เข้าชมที่นี่ฟรีไปด้วย
ถนนโบราณจินหลี่
และ ถนนโบราณจินหลี่ (Jinli Street) แทน ช่วงขากลับ เริ่มใช้รถไฟใต้ดิน และรถเมล์ น้องชายเคยเรียนที่จีน พอได้ภาษา และใช้ app แผนที่ ไป๋ตู้ ช่วยได้เยอะมาก การเดินทางสะดวก ถูกมากๆ ค่ารถเมล์ 1-2 หยวนเอง ส่วนค่ารถไฟใต้ดิน ก็ไม่แพงมาก คนที่นี่ถึงได้ใช้กันเยอะ และทุกอย่างเค้าใช้ QR code กันหมดแล้ว เป็นสังคมไร้เงินจริงที่แท้จริงเลยค่ะ น้องชายบอกเฉิงตู เป็นเมืองใหม่ ดังนั้น ระบบรถไฟใต้ดิน และรถเมล์จะค่อนข้างดีมาก ไม่หลงกันเลยค่ะ ขากลับที่พัก ไปขึ้นรภไฟใต้ดินที่สนามบิน ออกมาพยายามจะหาทางใช้จักรยาน (Sharing-bikes) ที่จอดอยู่ ก็พยายามคุยกับคนจีนดูว่า ให้เค้าสแกนจักรยานให้เรา และเราจ่ายเงินสดให้เค้า พยายามกันอยู่นาน จนมีเด็กหนุ่มชาวจีน มาช่วยปลดล็อกให้เรา 2 คัน และคนทำความสะอาดสนามบินช่วย 1 คัน โดยที่ไม่ยอมเก็บตังพวกเรา ใจดีมากมาย คุยจนได้ความว่า เค้าต้องจ่ายค่าจักรยานเป็นรายเดือนอยู่แล้ว จะใช้เท่าไหร่ก้ไม่มีปัญหา แต่ไปถึงจุดหมายแล้ว ช่วยจอดและล็อกเข้าไว้อย่างเดิมแล้วกัน
เราเลยได้โอกาสปั่นจากสนามบินกลับที่พัก ก็ประมาณ 4 กิโล ปั่นกันชิวๆ มีเส้นทางจักรยานดีเลย แต่ต้องระวังนิดนึง เพราะเค้าขับคนละฝั่งกับบ้านเรา พอถึงแยก แต่ละแยกใหญ่มาก ต้องคอยปั่นตามคนท้องถิ่นกันเลย ไม่มีใครสวมหมวกกันน็อคเลย จะว่าไปเค้าก็ขับกันเร็วนะ แต่ก็ปลอดภัยพอสมควร ถึงที่พักแวะซื้อผลไม้ พวกลูกพีช แนคทารีน ลูกไหน ส้มลูกหยิกๆ (หน้าตาไม่น่ากิน แต่อร่อยมาก)สดใหม่ กรอบ และลูกใหญ่มาก แบบที่มาถึงเมืองไทยแล้ว ไม่สดขนาดนั้น ส่วนที่พัก จองมาทาง booking.com ขอห้องปลอดบุหรี่ มาถึงเค้าบอก ห้องที่มีป้ายปลอดบุหรี่น่ะ มันไม่ได้ปลอดบุหรี่หรอก ห้องทุกห้องสูบบุหรี่ได้หมด ฮ่าฮ่า แล้วจะติดทำไมเนี่ย นอนดมควันบุหรี่มือสาม (อนุภาคควันที่ติดตามที่นอน หมอน ม่านและสิ่งของภายในห้อง) ไป 2 คืนเต็มๆ จะหาที่พักใหม่ ก็คงเป็นแบบเดิม เพราะที่จีน สูบบุหรี่ได้ทุกสถานที่เลย แต่เดี๋ยวนี้ดีมาก บางสถานที่ก็ห้ามสูบแล้ว เช่น ตามพิพิธภัณฑ์ วัด สถานอนุบาลแพนด้า เค้าจะตั้งกล่องให้ทิ้งไฟแช๊ค ไว้ด้านหน้าเลย ค่อยยังชั่วหน่อย
[CR] 7 Days in Tibet (จากลาซา ถึงเอเวอเรสต์ เบสแคมป์) + เฉิงตู (9 วัน 8 คืน) พ.ค. 2018
เป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ คือไปให้ถึง เอเวอเรสต์ เบสแคมป์ (ความสูงจากระดับน้ำทะเล 5,200 เมตร - โชโมลังมา เป็นชื่อทิเบต) เริ่มแรก ได้ติดต่อทางทัวร์ที่จีน China Yak เลือกดูโปรแกรมที่ต้องการ แผนการที่ตั้งไว้ ตามนี้
18 พ.ค. - 27 พ.ค. 2561 (2018)
วันแรก : บินตี 3 ถึงเฉิงตู เช้า เข้าที่พัก ใกล้สนามบิน ตั้งใจจะไปดูแพนด้า แต่ไม่ทัน เพราะแพนด้ากินอาหารช่วงเช้า ถ้าบ่ายจะหลับแล้ว นอนพักผ่อนกันสักครู่ ช่วงบ่ายเลยไปที่ วัดวูเฮา (Wuhou Temple) และ ถนนโบราณจินหลี่ (Jinli Street) / มาถึงวันนี้ ต้องถามหา Tibet Permit จากทางฟร้อนของโรงแรมให้พร้อม
***การเที่ยวที่ทิเบต ต้องซื้อทัวร์เท่านั้น เราไม่สามารถไปเที่ยวเองได้ โดยจะต้องขอวีซ่าจากจีนก่อน (โดยที่ต้องไม่ระบุว่าไปทิเบต) เวลาขอวีซ่าจีน ก็แค่ส่งตั๋วที่เราบินไป-กลับเฉิงตู เท่านั้น ไม่ต้องส่งตั๋วที่บินไป-กลับ ลาซา-เฉิงตู ก็หมดปัญหา พอได้วีซ่าจีนแล้ว ก็ส่งเมล์หน้าพาสปอร์ตและหน้าวีซ่าของทุกคนไปที่ทางทัวร์จีน เพื่อให้เค้าขอ Tibet Permit ให้ ใช้เวลานานเป็นเดือนเลยช่วงนี้ เนื่องจากทาง EBC เพิ่งเปิดต้นเดือนนี้เอง คนขอเยอะ จะรอคิวนาน พอได้แล้ว เค้าจะส่งสำเนาให้เราทางเมล์ และจะส่งตัวจริงไปที่ที่อยู่ของโรงแรมที่เราพักในเฉิงตู เข้าทิเบตต้องมี Tibet Permit ตัวจริงเท่านั้น พร้อมชื่อผู้เดินทางทั้งหมดที่ถูกต้องตามพาสปอร์ต
วันที่สอง : ตื่นเช้า ไปดูหมีแพนด้ากัน น่ารักมากมาย ช่วงบ่ายไปที่พิพิธภัณฑ์เฉิงตู และเย็นแวะไปเที่ยวห้างที่มีพื้นที่ใช้สอยใหญ่ที่สุดในโลก Global Center
วันที่สาม : เรียกรถแท๊กซี่ตอนตี 4 ไปขึ้นเครื่อง เพื่อไปลาซา (ตื่นเต้นเลย) ว่าจะมีอาการแพ้ความสูงมั้ย เพราะตัวเมืองลาซา ก็ 3,650 เมตร แล้ว กรุงเทพ 0 เมตร เอง ฮ่าฮ่า ไปถึงยังไม่มีใครเป็นอะไร แต่หลังจากนั้น จะเล่าด้านล่างนะคะ เข้าที่พัก เดินเที่ยวอิสระ พักลาซา 1 คืน
วันที่สี่ : ไกด์มารับตอนเช้า ไปเที่ยวที่วัดโจคัง เดินไปใกล้ที่พัก และ เที่ยงไปเข้า พระราชวังโปตาลา กับบันไดหิน 360 ขั้น เที่ยงไกด์พาไปทานอาหารทิเบต หลังจากนั้น เที่ยวอิสระ พักลาซา 1 คืน
วันที่ห้า : ไกด์ และรถตู้มารับตอนเช้า มุ่งหน้าไป EBC แต่จะไปพักที่เมือง Shigatse (ซิกัดเซ่) ก่อน 1 คืน 3,800 เมตร ระหว่างทางแวะถ่ายรูป และเที่ยวหลายจุดมาก ถึงคืนนี้บางคนเริ่มมีปัญหาจากอาการแพ้ความสูงและเมารถ แต่โชคดีที่ จขกท ไม่มีอาการใดๆ เลย การนอนหลับให้สนิทในแต่ละคืนสำคัญมากๆ
วันที่หก : ออกเดินทาง 9 โมง มุ่งหน้าสู่ EBC โดยวันนี้จะแวะแค่ 2 จุด ถึง EBC แล้ว กระโดดถ่ายรูปกันหน่อย พักค้างคืนที่เกสต์เฮ้าส์ ห่างจาก EBC 8 กิโล คืนนี้ ผู้ร่วมทางทั้ง 3 คน มีอาการไม่ค่อยดีนัก ต้องใช้อ๊อกซิเจน จขกท ไม่ต้องใช้ แต่ก็หลับเป็นพักๆ และพยายามเคลื่อนตัวช้า หายใจให้ยาวขึ้น ใส่เสื้อกันหนาวให้เพียงพอ น้ไม่ได้อาบ ฟันไม่ได้แปรงค่ะที่นี่ ซักแห้งกันไป
วันที่เจ็ด : รุ่งขึ้น รีบออกจากที่พัก เพื่อลงสู่ที่ต่ำกว่า เนื่องจากบางคนยังมีอาการปวดหัวอยู่ ไกด์เลยบอกรีบลงกันดีกว่า วันนี้นั่งรถยาวๆ กลับไปพักที่เมืองซิกัตเซ่อีก 1 คืน
วันที่แปด : ออกจากเมืองซิกัตเซ่ ตอนเช้า แวะเที่ยววัด TashiLumpo Monastery และมุ่งหน้ากลับเมืองลาซา พัก 1 คืน
วันที่เก้า : ไกด์และคนขับรถมารับตอน 7 โมง เพื่อขึ้นเครื่อง เวลา 9.30 น. วันนี้คนขับ ขับรถชิวมาก มาถึง กทม ตอนเที่ยงคืนกว่า กลับบ้านโดยสวัสดิภาพ
------------------------
ข้อแนะนำและประสบการณ์อาการแพ้ความสูงจากหลายๆ ท่านและของ จขกท เอง
***ขึ้นกับวิจารณญาณ และการตัดสินใจของผู้ที่ไปเองนะคะ ว่าจะทานหรือไม่ทานยาค่ะ แต่ จขกท ไม่ทานค่ะ เพื่อดูว่าร่างกายเราปรับตัวตามธรรมชาติได้มากขนาดไหนนะคะ สรุปไป 4 คน จขกท ไม่มีอาการใดๆ แต่อีก 3 ท่าน มีอาการตั้งแต่ อ่อนเพลีย มึนหัวเล็กน้อย จนถึงปวดหัวหนักมาก ตอนที่อยู่ EBC ที่สูงสุด 1 คืนค่ะ แต่ไม่มีใครเป็นอาการร้ายแรงค่ะ
กลุ่มของเราที่ไป มีทั้งหมด 4 คน ชาย 3 หญิง 1 ไปถึงเมืองลาซา ไม่มีอาการใดๆ ถึงโรงแรม พักสักครู่ ยังออกไปเดินเล่น ทานข้าวได้ ตอนนี้ร่างกายปรับตัวอยู่ หลังจาก 6-10 ชั่วโมง จขกท มีอาการร้อนภายใน แต่พอได้เดินเล่นช้าๆ สูดอากาศ ก็ดีขึ้นมาก และไม่เป็นอะไรอีกเลย แต่สมาชิกบางท่าน ดื่มชา และนอนหลับช่วงเย็น แถมกลางคืนหนาวโดยที่ไม่ได้ป้องกันให้ดี ทำให้มีอาการนอนไม่หลับ พักผ่อนไม่เพียงพอ รุ่งขึ้นมึนหัว และอาการไม่ดีนัก แถมนั่งรถซิ่งด้วย เลยเพลียมาก
ข้อแนะนำที่คิดว่าพอจะมีประโยชน์ค่ะ
1) นอนหลับพักผ่อนในแต่ละคืนให้เพียงพอและหลับให้สนิท ในกลุ่มของ จขกท มี 4 ท่าน โดยที่ วันแรกที่ถึงลาซา มี 2 ท่าน ดื่มชาเขียว (ปกติอยู่ กทม ดื่มแล้วหลับสบายดี) เลยทำให้หลับได้ไม่ดี แนะนำคือ พยายามงดชากาแฟในวันแรกที่ไปถึงที่สูง เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว และอย่านอนหลับช่วงบ่ายหรือเย็น เพราะถ้านอนแล้ว กลางคืนไม่หลับจะมีปัญหาได้ ส่วนตัว จขกท หลับสนิทมากๆ ในคืนแรก และทุกๆ คืน ในที่สูง ยกเว้นที่ EBC ที่หลับสนิทเป็นช่วงๆ
2) ก่อนไปที่สูง จขกท ได้ไปพบแพทย์ ที่คลินิกเวชศาสตร์ท่องเที่ยวและการเดินทาง เนื่องจากได้ยินและได้อ่านมาเยอะว่า บางคนมีอาการแพ้ที่สูงในขั้นที่รุนแรงมาก บางท่านต้องเข้าไอซียู ก็เลยอยากมาขอคำแนะนำจากคุณหมอค่ะ คุณหมอได้แนะนำให้ใช้ยา DIAMOX เพื่อป้องกันอาการแพ้ที่สูง แต่ทั้งนี้ จกท ได้พูดคุยกับน้องท่านหนึ่งที่เคยไปมาชูปิกชู โดยบินจากลิมาไปคุสโก น้องได้ทานยานี้เข้าไป พอไปถึงที่คุสโก และนั่งรถแท๊กซี่ ก็เลยเกิดอาการแพ้ เหมือนยาดึงเลือดไปเลี้ยงที่สมอง ทำให้ส่วนปลายประสาทมีอาการชา เช่นการแขนและขา ตัวเค้าคิดว่าแย่แน่ๆ แล้ว เลยนอนราบลงไปในรถแท๊กซี่ โชคดีที่มีอาการดีขึ้น เลยได้ไปถึงมาชูปิกชู ทั้งนี้อาการที่เกิดขึ้นน้องได้พูดคุยกับแพทย์ชาวอเมริกันที่เจอระหว่างทาง จึงได้รู้ว่ายามีผลต่อร่างกายเค้าอย่างไร แต่ตามที่ จขกท อ่านจากหลายๆ รีวิว ส่วนใหญ่ บางคนทานยา แล้วเกิดอาการแพ้ แต่บางคนก็ไม่มีอาการใดๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยาช่วย หรือตัวเค้าน่าจะไม่แพ้ที่สูงอยู่แล้ว จากการอ่านมาหลายๆ รีวิว และพูดคุยกับน้อง จขกท เลยตัดสินใจไม่กินยาป้องกัน อยากจะดูว่าร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร ซึ่งก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด ที่ทำให้ได้รู้ว่า ร่างกายของเราไม่เกิดอาการแพ้ที่สูงแต่อย่างใด จะมีอาการเบาๆ ช่วง 6 ชั่วโมงแรกที่อยู่ที่ลาซา ที่รู้สึกร้อนผ่าวๆ ไปทั่ว แต่พอได้เดินเล่นช้าๆ สูดอากาศก็ดีขึ้น
3) รถตู้ที่ใช้เดินทาง ขับค่อนข้างเร็ว และเหวี่ยงมาก พยายาม นั่งเฉยๆ อย่าขยับตัวมาก และไม่แนะนำให้ถ่ายรูปตามทาง ด้วยกล้องโปร ที่ต้องใช้สายตา เพราะจะทำให้มีอาการปวกหัวต่อเนื่องได้ค่ะ ทางที่ไป ค่อนข้างดีมากแล้ว ไม่ขรุขระมากนัก แต่โค้งเยอะ เพราะต้องวิ่งข้ามเขาหลายลูก ถ้าอยากถ่ายภาพข้างทาง แนะนำแค่กล้องมือถือพอนะคะ และวันแรก ตามโปรแกรม แวะหลายที่สวยๆ ให้ถ่ายรูปอยู่แล้วค่ะ
4) ถ้าวางแผนไปเที่ยวที่ทิเบตแน่ๆ พยายามรักษาสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จขกท ปั่นจักรยาน ระยะทาง 50-80 โล อาทิตย์ละ 1 ครั้งค่ะ
5) ถ้าใครรู้ว่าเมารถ ก็ให้กินยาแก้เมาตอนระหว่างนั่งรถทางไกลไว้เลย แต่อาจจะพลาดเส้นทางสวยงามข่างทางนะคะ ถ้าหลับค่ะ และให้เตรียมยาแก้ปวดหัวไว้ ถ้ามีอาการปวดหัว มีผู้ร่วมทาง 1 ท่าน ก่อนวันที่จะเดินทางไป EBC เกือบจะตัดสินใจไม่ไปแล้ว เพราะอาการไม่ดีนัก แต่พอได้ทานยาแก้ปวดหัว และหลับสนิทในคืนนั้น รุ่งขึ้นก็สดชื่นขึ้นและเดินทางต่อได้ ในที่สุดก็ไปถึง EBC ครบทุกคน โชคดีไปค่ะ เพราะจะไปอีก คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
---------------------
ค่าเงินหยวน : เอาเงินหยวน x5 ก็จะได้เงินไทยคร่าวๆ
---------------------
ซิมมือถือ : ใช้ของอันนี้เลย ใช้ได้ทีเดียว แม้แต่ในทิเบต หรือเส้นทางจากทิเบต ไปถึง EBC บางช่วงสัณญานแรงดีเลย เล่น line, FB ได้ต่อเนื่อง แต่ vdo จะช้ามาก ตามที่รู้กัน ถ้าใช้ wifi ในจีน เราจะโดนบล็อก line และ FB ในจีนเค้าใช้ wechat กันแทน line ส่วน Weibo แทน FB
****วันแรก****
วัดวูเฮา
บินตี 3 ถึงเฉิงตู เช้า เข้าที่พัก ใกล้สนามบิน ที่จองไว้ทาง booking.com ยังเช็คอินไม่ได้ ฝากกระเป๋า หาอะไรรองท้องใกล้ที่พัก ตั้งใจจะไปดูแพนด้า แต่ไม่ทัน เพราะแพนด้ากินอาหารช่วงเช้า ถ้าบ่ายจะหลับแล้ว นอนพักผ่อนกันสักครู่ ช่วงบ่ายเลยไปที่ วัดวูเฮา (Wuhou Temple) ตำนานสามก๊ก วันนี้ไม่รู้ว่ามีงานอะไร คนเยอะมาก เลยได้เข้าชมที่นี่ฟรีไปด้วย
ถนนโบราณจินหลี่
และ ถนนโบราณจินหลี่ (Jinli Street) แทน ช่วงขากลับ เริ่มใช้รถไฟใต้ดิน และรถเมล์ น้องชายเคยเรียนที่จีน พอได้ภาษา และใช้ app แผนที่ ไป๋ตู้ ช่วยได้เยอะมาก การเดินทางสะดวก ถูกมากๆ ค่ารถเมล์ 1-2 หยวนเอง ส่วนค่ารถไฟใต้ดิน ก็ไม่แพงมาก คนที่นี่ถึงได้ใช้กันเยอะ และทุกอย่างเค้าใช้ QR code กันหมดแล้ว เป็นสังคมไร้เงินจริงที่แท้จริงเลยค่ะ น้องชายบอกเฉิงตู เป็นเมืองใหม่ ดังนั้น ระบบรถไฟใต้ดิน และรถเมล์จะค่อนข้างดีมาก ไม่หลงกันเลยค่ะ ขากลับที่พัก ไปขึ้นรภไฟใต้ดินที่สนามบิน ออกมาพยายามจะหาทางใช้จักรยาน (Sharing-bikes) ที่จอดอยู่ ก็พยายามคุยกับคนจีนดูว่า ให้เค้าสแกนจักรยานให้เรา และเราจ่ายเงินสดให้เค้า พยายามกันอยู่นาน จนมีเด็กหนุ่มชาวจีน มาช่วยปลดล็อกให้เรา 2 คัน และคนทำความสะอาดสนามบินช่วย 1 คัน โดยที่ไม่ยอมเก็บตังพวกเรา ใจดีมากมาย คุยจนได้ความว่า เค้าต้องจ่ายค่าจักรยานเป็นรายเดือนอยู่แล้ว จะใช้เท่าไหร่ก้ไม่มีปัญหา แต่ไปถึงจุดหมายแล้ว ช่วยจอดและล็อกเข้าไว้อย่างเดิมแล้วกัน
เราเลยได้โอกาสปั่นจากสนามบินกลับที่พัก ก็ประมาณ 4 กิโล ปั่นกันชิวๆ มีเส้นทางจักรยานดีเลย แต่ต้องระวังนิดนึง เพราะเค้าขับคนละฝั่งกับบ้านเรา พอถึงแยก แต่ละแยกใหญ่มาก ต้องคอยปั่นตามคนท้องถิ่นกันเลย ไม่มีใครสวมหมวกกันน็อคเลย จะว่าไปเค้าก็ขับกันเร็วนะ แต่ก็ปลอดภัยพอสมควร ถึงที่พักแวะซื้อผลไม้ พวกลูกพีช แนคทารีน ลูกไหน ส้มลูกหยิกๆ (หน้าตาไม่น่ากิน แต่อร่อยมาก)สดใหม่ กรอบ และลูกใหญ่มาก แบบที่มาถึงเมืองไทยแล้ว ไม่สดขนาดนั้น ส่วนที่พัก จองมาทาง booking.com ขอห้องปลอดบุหรี่ มาถึงเค้าบอก ห้องที่มีป้ายปลอดบุหรี่น่ะ มันไม่ได้ปลอดบุหรี่หรอก ห้องทุกห้องสูบบุหรี่ได้หมด ฮ่าฮ่า แล้วจะติดทำไมเนี่ย นอนดมควันบุหรี่มือสาม (อนุภาคควันที่ติดตามที่นอน หมอน ม่านและสิ่งของภายในห้อง) ไป 2 คืนเต็มๆ จะหาที่พักใหม่ ก็คงเป็นแบบเดิม เพราะที่จีน สูบบุหรี่ได้ทุกสถานที่เลย แต่เดี๋ยวนี้ดีมาก บางสถานที่ก็ห้ามสูบแล้ว เช่น ตามพิพิธภัณฑ์ วัด สถานอนุบาลแพนด้า เค้าจะตั้งกล่องให้ทิ้งไฟแช๊ค ไว้ด้านหน้าเลย ค่อยยังชั่วหน่อย
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้