นานมาแล้ว...เจอหนังสือที่ถูกปล่อยทิ้งปล่อยขว้างเล่มหนึ่งชื่อ “ศึกสมเด็จ” เลยหยิบขึ้นมาอ่านจนจบ ตอนแรกก็ปะติดปะต่อเนื้อเรื่องอะไรไม่ค่อยจะได้ แต่ที่ได้หลังจากอ่านจบก็คือความรู้ใหม่ ว่าแม้พระสงฆ์ระดับพระราชาคณะชั้นสมเด็จหรือรองสมเด็จก็มีจิตริษยาแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ต่อมาอีกหลายปี....เมื่อสะพายย่ามเดินเข้ามาเรียนต่อที่กทม. ทำให้ได้มีโอกาสได้นมัสการพระเถระที่กล่าวถึงในหนังสือ คือพระเดชพระคุณท่านสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) หรือหลวงพ่อพระพิมลธรรมที่เคยโดนสันติบาลบังคับให้ถอดผ้าเหลืองในยุคสฤษดิ์
การจับพระเถระชั้นผู้ใหญ่ระดับสมเด็จสึกแล้วใช้กบิลบ้านเมืองลงโทษอย่างกรณีหลวงพ่อพระพิมลธรรม(อาจ ปธ.๘) ไม่ใช่พึ่งจะเกิดขึ้น ถ้ายังจำกันได้ดีช่วง “เปลี่ยนแผ่นดิน” หลังจากสิ้นยุคพระเจ้าตากสิน มีพระเถระชั้นผู้ใหญ่คือสมเด็จพระวันรัตและพระราชาคณะอีกจำนวนหนึ่งถูกจับสึกด้วย (เหตุผลทางการเมือง)
ช่วงนี้มีการนำกรณีที่หลวงพ่อพระพิมลธรรมที่ติดคุกโดยนุ่งขาวห่มขาวมาเปรียบเทียบกับคดีดังที่เกี่ยวกับพระบ่อย หลวงพ่อพยอมเป็นคนแรกๆ ที่เอ่ยถึง เสียดายที่หลวงพ่อพยอมกล่าวเปรียบเทียบกรณีพระพุทธอิสระกับหลวงพ่อพระพิมลธรรมสั้นไป สั้นจนบางคนเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่เหมือนกัน และอาจจะทำให้บางคนโดยเฉพาะศิษย์ของพุทธอิสระคาดหวังต่อไปอีกว่า คงจะจบเหมือนกรณีหลวงพ่อพระพิมลธรรม นั่นก็คือคืนความเป็นธรรมให้กับท่าน ตรงนี้ผมส่วนตัวรู้สึกผิดหวังกับหลวงพ่อพยอมอยู่ในทีที่เปรียบกรณีพุทธอิสระกับพระพิมลธรรมสั้นๆ
หลายคนอาจจะไม่ทราบว่านอกจากหลวงพ่อพระพิมลธรรมที่โดนกบิลบ้านเมืองลงโทษแล้วนั้น ยังมีพระเถระชั้นรองสมเด็จอีกรูปหนึ่งที่โดนพร้อมๆ กันนั่นก็คือ “พระศาสนโสภณ” (ปลอด ปธ.๙) ข้อห้าขัดคำสั่งสมเด็จพระสังฆราช สาเหตุที่กรณีของหลวงพ่อพระพิมลธรรมดังกว่ากรณีของพระศาสนโสภณ ก็เพราะมีการพ่วงข้อคอมมิวนิสต์เข้าไปด้วย ซึ่งเป็นข้อหลัง ข้อห้าที่หลวงพ่อพระพิมลธรรมโดนจริงๆ ก็คือเสพเมถุนกับศิษย์วัด
ถ้าจะให้สรุปสั้นๆ การจับหลวงพ่อพระพิมลธรรมเข้าคุกนั้นคงจะเนื่องมาจากการริษยาในหมู่สงฆ์ด้วยกัน แล้วไปขอมือจากฝ่ายบ้านเมืองให้มากำจัด หลวงพ่อพระพิมลธรรมเป็นพระบ้านนอกจากขอนแก่นเป็นพระสายปริยัติคือสนับสนุนการศึกษาของพระเณร แต่ก่อนท่านเป็นพระราชาคณะที่ “พระธรรมไตรโลกาจารย์” ที่วัดในอยุธยา ท่านมีชื่อเสียงด้านการพัฒนา และเมื่อตำแหน่งเจ้าอาวาส “วัดมหาธาตุ” ที่ท่าพระจันทร์ว่างลง มีพระเถระจำนวนไม่น้อยต่างก็หมายตาที่จะได้เข้าไปเป็นเจ้าอาวาส เพราะขึ้นชื่อว่า “วัดมหาธาตุ” แล้วคือวัดที่ใหญ่หรือจะเรียกว่าใหญ่สุดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยาแล้ว พระที่เป็น “ม้ามืด” กลับเป็นพระธรรมไตรโลกาจารย์ที่ถูกนิมนต์จากอยุธยาให้มาเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งต่อมาก็เลื่อนเป็นพระพิมลธรรม และสมเด็จพระพุฒาจารย์
นอกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุแล้ว ท่านก็ยังได้รับตำแหน่ง “สังฆมนตรี” ด้านการปกครอง (เหมือนรัฐมนตรีมหาดไทยประมาณนี้)อีก การกำจัดพระบ้านนอกรูปนีก็เกิดขึ้น ตอนแรกก็ถูกกล่าวหาว่ามีนอกมีในกับ “ตลาดนัดวัดมหาธาตุ” ช่วงสี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาใครๆ ก็รู้จักตลาดนัดวัดมหาธาตุ แล้วสร้างข่าวว่าท่านเสพเมถุนกับลูกศิษย์ แล้ว “ฟางเส้นสุดท้าย” ก็คือ ข้อหาคอมมิวนิสต์ ตอนที่ท่านส่งพระสองรูปออกไปศึกษาการศาสนาในต่างประเทศ ผมจำชื่อได้แค่รูปเดียวคือ ท่านพระมหานคร เขมปาลี (ปธ.๘) ซึ่งต่อมาท่านมหานครรูปนี้ก็คืออธิบดีมหาจุฬาลงกรณ์(มหาวิทยาลัยสงฆ์) ช่วงที่ผมเรียนพอดี การส่งพระมหานครออกไปดูงานและเผยแพร่พุทธศาสนาในต่างประเทศถือว่าเป็นการส่งพระไทยชุดแรกที่ไปยุโรป ทำให้พระเถระที่คอยอิจฉาท่านฉวยโอกาสแจ้งรัฐบาลว่ากำลังไปศึกษาลัทธิคอมมิวนิสต์ ทางสันติบาลเลยเข้าไปจับกุมท่านข้อห้ามคอมมิวนิสต์
ในหนังสือ “ศึกสมเด็จ” กล่าวว่ามีการกระชากลากถูกันเลยทีเดียว พระเถระชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่งซึ่งต่อมาก็คือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ปธ.๙) เข้าไปกระชากผ้าเหลืองท่านออก กระนั้นหลวงพ่อก็ไม่ยอมเปล่งวาจาลาสิกขาโดยขออาศัยชุดชาวมาห่มแทนอยู่ในคุกหลายปี จนเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ต่อมาจึงคืนความชอบธรรมและสมณศักดิ์ให้ท่าน
ถ้าพูดโดยอาวุโสแล้ว หลวงพ่อพระพิมลธรรมควรจะได้ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว พระที่ขึ้นสมเด็จพระสังฆราชหลังจากท่านออกจากคุกมาคือสมเด็จพระสังฆราชอริยวงศาคตญาน (วาสน์ วาสโน ปธ.๙) วัดราชบพิตรฯ นั้นเคยเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมคือพระธรรมปาโมกข์ ในขณะที่ท่านเป็นพระราชาคณะชั้นรองสมเด็จ และในขณะที่สังฆราชองค์ถัดมาคือสมเด็จพระญาณสังวรณ์ (เจริญ ปธ.๙) วัดบวรฯ นั้นเป็นพระราชคณะชั้นต่ำกว่าหลวงพ่ออีกถึงสี่ชั้น!!
ไม่รู้ว่ามีใครสังเกตุเหมือนผมหรือไม่ว่า พระที่จะขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั้นส่วนใหญ่จะมีพื้นเพอยู่แค่รอบกรุงเทพฯ หรือภาคกลางเช่น กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อยุธยา ราชบุรี พระจากต่างจังหวัดแม้จะมีอาวุโสทั้งพรรรษาและสมณศักดิ์จะไม่ได้มีโอกาสเลยเหมือนหลวงพ่อพระพิมลธรรมจากอีสาน หรือหลวงพ่อเกี่ยวจากใต้
....เกร็ดการเมืองสงฆ์ จากความทรงจำนำมาเล่าสู่กันฟัง.../วัชรานนท์
การจับพระเถระชั้นผู้ใหญ่ระดับสมเด็จสึกแล้วใช้กบิลบ้านเมืองลงโทษอย่างกรณีหลวงพ่อพระพิมลธรรม(อาจ ปธ.๘) ไม่ใช่พึ่งจะเกิดขึ้น ถ้ายังจำกันได้ดีช่วง “เปลี่ยนแผ่นดิน” หลังจากสิ้นยุคพระเจ้าตากสิน มีพระเถระชั้นผู้ใหญ่คือสมเด็จพระวันรัตและพระราชาคณะอีกจำนวนหนึ่งถูกจับสึกด้วย (เหตุผลทางการเมือง)
ช่วงนี้มีการนำกรณีที่หลวงพ่อพระพิมลธรรมที่ติดคุกโดยนุ่งขาวห่มขาวมาเปรียบเทียบกับคดีดังที่เกี่ยวกับพระบ่อย หลวงพ่อพยอมเป็นคนแรกๆ ที่เอ่ยถึง เสียดายที่หลวงพ่อพยอมกล่าวเปรียบเทียบกรณีพระพุทธอิสระกับหลวงพ่อพระพิมลธรรมสั้นไป สั้นจนบางคนเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่เหมือนกัน และอาจจะทำให้บางคนโดยเฉพาะศิษย์ของพุทธอิสระคาดหวังต่อไปอีกว่า คงจะจบเหมือนกรณีหลวงพ่อพระพิมลธรรม นั่นก็คือคืนความเป็นธรรมให้กับท่าน ตรงนี้ผมส่วนตัวรู้สึกผิดหวังกับหลวงพ่อพยอมอยู่ในทีที่เปรียบกรณีพุทธอิสระกับพระพิมลธรรมสั้นๆ
หลายคนอาจจะไม่ทราบว่านอกจากหลวงพ่อพระพิมลธรรมที่โดนกบิลบ้านเมืองลงโทษแล้วนั้น ยังมีพระเถระชั้นรองสมเด็จอีกรูปหนึ่งที่โดนพร้อมๆ กันนั่นก็คือ “พระศาสนโสภณ” (ปลอด ปธ.๙) ข้อห้าขัดคำสั่งสมเด็จพระสังฆราช สาเหตุที่กรณีของหลวงพ่อพระพิมลธรรมดังกว่ากรณีของพระศาสนโสภณ ก็เพราะมีการพ่วงข้อคอมมิวนิสต์เข้าไปด้วย ซึ่งเป็นข้อหลัง ข้อห้าที่หลวงพ่อพระพิมลธรรมโดนจริงๆ ก็คือเสพเมถุนกับศิษย์วัด
ถ้าจะให้สรุปสั้นๆ การจับหลวงพ่อพระพิมลธรรมเข้าคุกนั้นคงจะเนื่องมาจากการริษยาในหมู่สงฆ์ด้วยกัน แล้วไปขอมือจากฝ่ายบ้านเมืองให้มากำจัด หลวงพ่อพระพิมลธรรมเป็นพระบ้านนอกจากขอนแก่นเป็นพระสายปริยัติคือสนับสนุนการศึกษาของพระเณร แต่ก่อนท่านเป็นพระราชาคณะที่ “พระธรรมไตรโลกาจารย์” ที่วัดในอยุธยา ท่านมีชื่อเสียงด้านการพัฒนา และเมื่อตำแหน่งเจ้าอาวาส “วัดมหาธาตุ” ที่ท่าพระจันทร์ว่างลง มีพระเถระจำนวนไม่น้อยต่างก็หมายตาที่จะได้เข้าไปเป็นเจ้าอาวาส เพราะขึ้นชื่อว่า “วัดมหาธาตุ” แล้วคือวัดที่ใหญ่หรือจะเรียกว่าใหญ่สุดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยาแล้ว พระที่เป็น “ม้ามืด” กลับเป็นพระธรรมไตรโลกาจารย์ที่ถูกนิมนต์จากอยุธยาให้มาเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งต่อมาก็เลื่อนเป็นพระพิมลธรรม และสมเด็จพระพุฒาจารย์
นอกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุแล้ว ท่านก็ยังได้รับตำแหน่ง “สังฆมนตรี” ด้านการปกครอง (เหมือนรัฐมนตรีมหาดไทยประมาณนี้)อีก การกำจัดพระบ้านนอกรูปนีก็เกิดขึ้น ตอนแรกก็ถูกกล่าวหาว่ามีนอกมีในกับ “ตลาดนัดวัดมหาธาตุ” ช่วงสี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาใครๆ ก็รู้จักตลาดนัดวัดมหาธาตุ แล้วสร้างข่าวว่าท่านเสพเมถุนกับลูกศิษย์ แล้ว “ฟางเส้นสุดท้าย” ก็คือ ข้อหาคอมมิวนิสต์ ตอนที่ท่านส่งพระสองรูปออกไปศึกษาการศาสนาในต่างประเทศ ผมจำชื่อได้แค่รูปเดียวคือ ท่านพระมหานคร เขมปาลี (ปธ.๘) ซึ่งต่อมาท่านมหานครรูปนี้ก็คืออธิบดีมหาจุฬาลงกรณ์(มหาวิทยาลัยสงฆ์) ช่วงที่ผมเรียนพอดี การส่งพระมหานครออกไปดูงานและเผยแพร่พุทธศาสนาในต่างประเทศถือว่าเป็นการส่งพระไทยชุดแรกที่ไปยุโรป ทำให้พระเถระที่คอยอิจฉาท่านฉวยโอกาสแจ้งรัฐบาลว่ากำลังไปศึกษาลัทธิคอมมิวนิสต์ ทางสันติบาลเลยเข้าไปจับกุมท่านข้อห้ามคอมมิวนิสต์
ในหนังสือ “ศึกสมเด็จ” กล่าวว่ามีการกระชากลากถูกันเลยทีเดียว พระเถระชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่งซึ่งต่อมาก็คือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ปธ.๙) เข้าไปกระชากผ้าเหลืองท่านออก กระนั้นหลวงพ่อก็ไม่ยอมเปล่งวาจาลาสิกขาโดยขออาศัยชุดชาวมาห่มแทนอยู่ในคุกหลายปี จนเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ต่อมาจึงคืนความชอบธรรมและสมณศักดิ์ให้ท่าน
ถ้าพูดโดยอาวุโสแล้ว หลวงพ่อพระพิมลธรรมควรจะได้ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว พระที่ขึ้นสมเด็จพระสังฆราชหลังจากท่านออกจากคุกมาคือสมเด็จพระสังฆราชอริยวงศาคตญาน (วาสน์ วาสโน ปธ.๙) วัดราชบพิตรฯ นั้นเคยเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมคือพระธรรมปาโมกข์ ในขณะที่ท่านเป็นพระราชาคณะชั้นรองสมเด็จ และในขณะที่สังฆราชองค์ถัดมาคือสมเด็จพระญาณสังวรณ์ (เจริญ ปธ.๙) วัดบวรฯ นั้นเป็นพระราชคณะชั้นต่ำกว่าหลวงพ่ออีกถึงสี่ชั้น!!
ไม่รู้ว่ามีใครสังเกตุเหมือนผมหรือไม่ว่า พระที่จะขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั้นส่วนใหญ่จะมีพื้นเพอยู่แค่รอบกรุงเทพฯ หรือภาคกลางเช่น กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อยุธยา ราชบุรี พระจากต่างจังหวัดแม้จะมีอาวุโสทั้งพรรรษาและสมณศักดิ์จะไม่ได้มีโอกาสเลยเหมือนหลวงพ่อพระพิมลธรรมจากอีสาน หรือหลวงพ่อเกี่ยวจากใต้