ธรรมชาติของพลังงานบวกและพลังงานลบในตัวเรา
โดยธรรมชาติของพลังงานบวกและพลังงานลบในตัวเราจะมีการแสดงออกที่แตกต่างกัน แต่มาจากความคิดความต้องการที่ต้องการแก้ไขปัญหาที่ตัวเองมีอยู่เหมือนกัน
1. เลือกทำมาจากฐานของพลังงานบวกที่มากหรือน้อยเกินไป+เลือกทำตามความต้องการอยู่ในขอบเขตของความสะดวกสบายและขอบเขตของความเคยชินเก่าๆ และ ความไม่ต้องการออกจากขอบเขตของความสะดวกสบายและขอบเขตของความเคยชินเก่าๆของเราเอง โดยการพยายามค้นคว้าหาทางหรือหาวิธีแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองโดยเลือกทำจาก 1. ศึกษาค้นคว้าจากผู้รู้ครูอาจารย์หรือตำราหนังสือทั่วไปหรือจากอินเตอร์เน็ต 2. ศึกษาจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองรวมทั้งพฤติกรรมหรือการกระทำที่คนอื่นแสดงออกทั้งกับตัวเราและกับผู้อื่น
2. เลือกทำมาจากฐานของพลังงานลบที่มากหรือน้อยเกินไป+เลือกทำตามความต้องการอยู่ในขอบเขตของความสะดวกสบายและขอบเขตของความเคยชินเก่าๆของตัวเอง โดยการยกปัญหาของตัวเองให้เป็นปัญหาของคนอื่น 1. ด้วยการกล่าวหากล่าวโทษว่าเป็นความผิดของผู้อื่น 2. การพยายามสร้างปัญหาให้กับผู้อื่นเพื่อให้ผู้อื่นช่วยแก้ปัญหานั้นให้
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นวนเวียนเป็นวงกลมคนที่เลือกข้อ1 ก็ต้องได้รับประสบการณ์ที่มีทั้งดีและไม่ดีจากคนที่เลือกข้อ1และข้อ2 และคนที่เลือกข้อ2 ก็ต้องได้รับประสบการณ์ที่มีทั้งดีและไม่ดีจากคนที่เลือกข้อ1และข้อ2 เพราะเราคือวัฐจักรของตัวเราเองและเราคือวัฐจักรของกันและกัน ซึ่งทั้งสองข้อมาจากความคิดความต้องการที่ต้องการแก้ไขปัญหาซึ่งเป็นธรรมชาติของพลังงานบวกและพลังงานลบ เมื่อเป็นธรรมชาติของพลังงานบวกและพลังงานลบจึงยังไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาที่แท้จริงมาจากการที่คนที่ใช้พลังงานลบที่ต้องการแก้ปัญหาด้วยการกล่าวหากล่าวโทษว่าเป็นความผิดของผู้อื่น และการพยายามสร้างปัญหาให้กับผู้อื่นเพื่อให้ผู้อื่นช่วยแก้ปัญหานั้นให้ แต่ไม่ยอมเรียนรู้และพัฒนาความคิดความรู้สึกและการกระทำของตัวเองให้สามารถเปลี่ยนจากพลังงานลบเป็นพลังงานบวก เปลี่ยนจากความพยายามในการร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเป็นการพยายามช่วยเหลือตัวเองด้วยการคิดเองทำเองแทน
ความเป็นคนใจร้อนหรือความเป็นคนใจเย็นอยู่ที่เราเลือกจะเป็น ถ้าเราเป็นคนใจเย็นเราและคนอื่นที่อยู่รอบข้างก็จะรู้สึกสบาย แต่ถ้าเราเป็นคนใจร้อนเราและคนอื่นที่อยู่รอบข้างก็จะรู้สึกไม่สบาย ถ้าเราบอกว่าในเวลาที่คนอื่นส่งความใจร้อนมาให้จะให้เราใจเย็นอยู่ได้อย่างไร นี่คือความคิดที่แสดงถึงความไม่เคารพและไม่รับผิดชอบต่อความคิดความรู้สึกและการกระทำของตัวเองเพราะเราสามารถเลือกที่จะตอบกลับพลังงานที่ส่งมาถึงเราด้วยระดับของพลังงานเดียวกันหรือระดับพลังงานที่ตำ่กว่าหรือระดับของพลังงานที่อยู่เหนือกว่าขึ้นไปหนึ่งระดับหรือมากกว่าได้ทั้งหมดขึ้นอยู่ที่เราว่าเราอยากสร้างและรับสถานการณ์แบบไหน การกล่าวโทษผู้อื่นและการพยายามสร้างปัญหาให้กับผู้อื่นเพื่อให้ผู้อื่นช่วยแก้ปัญหานั้นให้ ไม่ได้ทำให้เราออกจากปัญหาได้มีแต่จะทำให้ปัญหาขยายวงกว้างขึ้นและฝังรากลึกขึ้น การเปลี่ยนแปลงไปสู่สถานะที่ดีกว่าของตัวเองและผู้อื่นไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการรับส่งสารในระดับที่เท่ากันและเท่าเดิม (คิดและทำแต่เรื่องเดิมๆ)
ธรรมชาติของพลังงานบวกและพลังงานลบในตัวเรา
โดยธรรมชาติของพลังงานบวกและพลังงานลบในตัวเราจะมีการแสดงออกที่แตกต่างกัน แต่มาจากความคิดความต้องการที่ต้องการแก้ไขปัญหาที่ตัวเองมีอยู่เหมือนกัน
1. เลือกทำมาจากฐานของพลังงานบวกที่มากหรือน้อยเกินไป+เลือกทำตามความต้องการอยู่ในขอบเขตของความสะดวกสบายและขอบเขตของความเคยชินเก่าๆ และ ความไม่ต้องการออกจากขอบเขตของความสะดวกสบายและขอบเขตของความเคยชินเก่าๆของเราเอง โดยการพยายามค้นคว้าหาทางหรือหาวิธีแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองโดยเลือกทำจาก 1. ศึกษาค้นคว้าจากผู้รู้ครูอาจารย์หรือตำราหนังสือทั่วไปหรือจากอินเตอร์เน็ต 2. ศึกษาจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองรวมทั้งพฤติกรรมหรือการกระทำที่คนอื่นแสดงออกทั้งกับตัวเราและกับผู้อื่น
2. เลือกทำมาจากฐานของพลังงานลบที่มากหรือน้อยเกินไป+เลือกทำตามความต้องการอยู่ในขอบเขตของความสะดวกสบายและขอบเขตของความเคยชินเก่าๆของตัวเอง โดยการยกปัญหาของตัวเองให้เป็นปัญหาของคนอื่น 1. ด้วยการกล่าวหากล่าวโทษว่าเป็นความผิดของผู้อื่น 2. การพยายามสร้างปัญหาให้กับผู้อื่นเพื่อให้ผู้อื่นช่วยแก้ปัญหานั้นให้
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นวนเวียนเป็นวงกลมคนที่เลือกข้อ1 ก็ต้องได้รับประสบการณ์ที่มีทั้งดีและไม่ดีจากคนที่เลือกข้อ1และข้อ2 และคนที่เลือกข้อ2 ก็ต้องได้รับประสบการณ์ที่มีทั้งดีและไม่ดีจากคนที่เลือกข้อ1และข้อ2 เพราะเราคือวัฐจักรของตัวเราเองและเราคือวัฐจักรของกันและกัน ซึ่งทั้งสองข้อมาจากความคิดความต้องการที่ต้องการแก้ไขปัญหาซึ่งเป็นธรรมชาติของพลังงานบวกและพลังงานลบ เมื่อเป็นธรรมชาติของพลังงานบวกและพลังงานลบจึงยังไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาที่แท้จริงมาจากการที่คนที่ใช้พลังงานลบที่ต้องการแก้ปัญหาด้วยการกล่าวหากล่าวโทษว่าเป็นความผิดของผู้อื่น และการพยายามสร้างปัญหาให้กับผู้อื่นเพื่อให้ผู้อื่นช่วยแก้ปัญหานั้นให้ แต่ไม่ยอมเรียนรู้และพัฒนาความคิดความรู้สึกและการกระทำของตัวเองให้สามารถเปลี่ยนจากพลังงานลบเป็นพลังงานบวก เปลี่ยนจากความพยายามในการร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเป็นการพยายามช่วยเหลือตัวเองด้วยการคิดเองทำเองแทน
ความเป็นคนใจร้อนหรือความเป็นคนใจเย็นอยู่ที่เราเลือกจะเป็น ถ้าเราเป็นคนใจเย็นเราและคนอื่นที่อยู่รอบข้างก็จะรู้สึกสบาย แต่ถ้าเราเป็นคนใจร้อนเราและคนอื่นที่อยู่รอบข้างก็จะรู้สึกไม่สบาย ถ้าเราบอกว่าในเวลาที่คนอื่นส่งความใจร้อนมาให้จะให้เราใจเย็นอยู่ได้อย่างไร นี่คือความคิดที่แสดงถึงความไม่เคารพและไม่รับผิดชอบต่อความคิดความรู้สึกและการกระทำของตัวเองเพราะเราสามารถเลือกที่จะตอบกลับพลังงานที่ส่งมาถึงเราด้วยระดับของพลังงานเดียวกันหรือระดับพลังงานที่ตำ่กว่าหรือระดับของพลังงานที่อยู่เหนือกว่าขึ้นไปหนึ่งระดับหรือมากกว่าได้ทั้งหมดขึ้นอยู่ที่เราว่าเราอยากสร้างและรับสถานการณ์แบบไหน การกล่าวโทษผู้อื่นและการพยายามสร้างปัญหาให้กับผู้อื่นเพื่อให้ผู้อื่นช่วยแก้ปัญหานั้นให้ ไม่ได้ทำให้เราออกจากปัญหาได้มีแต่จะทำให้ปัญหาขยายวงกว้างขึ้นและฝังรากลึกขึ้น การเปลี่ยนแปลงไปสู่สถานะที่ดีกว่าของตัวเองและผู้อื่นไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการรับส่งสารในระดับที่เท่ากันและเท่าเดิม (คิดและทำแต่เรื่องเดิมๆ)