กระทู้แรก รวบรวมทุน และ timeline ไปเรียนฟรียุโรป "โตแล้วไปไหน ตอนที่ 1: Timeline และรวมทุนเรียนฟรีในยุโรป"
https://ppantip.com/topic/37552171
กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่สามต่อจากตอนที่แล้ว "บันทึกเรื่องราว ขอทุนฟรีไปเรียนนอก ตอนที่ 2: สมัครทุนไปนอก เขียนจดหมาย SoP ขอ recommendation letter"
https://ppantip.com/topic/37691012
............................................................................................................................................................................................................
ข้อ 6 Statement of Purpose/ Motivation Letter/ Personal statement อันนี้แล้วแต่คนเรียกเลยค่ะ หลักๆมันก็คือจดหมายแนะนำตัวเรานั่นเอง ว่าเราเป็นใคร มาจากไหน จบอะไรมา แล้วต้องการจะมาทำอะไรที่โปรแกรมที่เราสมัคร ทำไมถึงอยากเรียน ฯลฯ
จขกท ใช้เวลากับการเขียนจดหมายมากที่สุดเลยค่ะ เพราะถือว่าส่วนนี้เป็นสวนที่สำคัญที่สุด ว่าจะทำตัวเองให้ดูน่าสนใจ น่าสอน น่าทำงานด้วยแค่ไหน จขกท ไม่เคยเขียนจดหมายแบบนี้มาก่อน และไม่เคยเห็นจดหมายของคนอื่นด้ววยเช่นกัน จขกท ก็เลยไป search หาวิธีการเขียน SoP จาก website ต่างๆ ทั้งเว็บไทย เว็บนอกค่ะ ทุกเว็บก็บอกเหมือนกันว่าหลักๆแล้วมันควรจะ ...
- “Personal” คือ มันต้องเป็นเรื่องราวของเราจริงๆ ไม่ได้ copy มาจากเรื่องของคนอื่น หรือสำนวนของคนอื่น ความอยากเรียนนั้นต้องเป็นความอยากเรียนของเรา passion ของเรา ความประทับใจของเรา
- Specific คือ เนื้อหามันต้องเฉพาะเจาะจงว่าเราเขียนจดหมายฉบับนี้ เพื่อสมัครโปรแกรมนี้เท่านั้น ไม่ใช่เขียนจดหมายฉบับเดียวแล้วร่อนไปหลายๆที่ ดังนั้นต้องไปศึกษามาดีๆค่ะ ว่าโปรแกรมที่เราจะสมัครนั้นมีจุดเด่นเรื่องอะไร สอนเรื่องอะไร มี Prof ชื่ออะไร ทำวิจัยเรื่องอะไรอยู่ค่ะ ไม่ใช่เขียนจดหมายไปแบบลอยๆ
- ระวังคำหรือสำนวนที่ใช้กันจนเกร่อ หรือ cliche อย่าไปลอกข้อความหรือ quote ของใคร มาไว้ใน SoP ของเราค่ะ เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา พื้นที่กระดาษมีแค่หน้าเดียว เราไม่ควรเสียพื้นที่ในการโฆษณาตัวเองให้กับคำคมของคนอื่นค่ะ
นอกจากเนื้อหาแล้ว ความยากอีกอย่างหนึ่งก็คือการเรียบเรียงและการใช้ภาษาค่ะ ว่าจะเรียบเรียงเรื่องราวอย่างไรให้เข้าใจง่าย ประทับใจคนอ่าน และครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดภายในความยาว 1 หน้ากระดาษ อันนี้คนใช้ภาษาเก่งก็จะได้เปรียบค่ะ จขกท ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษ เลยใช้เวลาท่องเว็บ อ่านตัวอย่าง SoP ของคนอื่นๆที่เอามาแชร์ในเว็บมากมาย ชอบเทคนิคการเล่าเรื่องแบบไหนก็จดเอาไว้ เจอ keyword ดีๆที่คิดว่ามันตรงกับตัวเองก็เก็บเอาไว้ แล้วเอามาเขียนเองค่ะ
แม้จะรู้ว่าต้องเขียนอะไรแล้ว แต่ จขกท พบว่ามันยากมากเลยที่จะเริ่มเขียน และก็ไม่มีเว็บไหนสอนด้วยว่าควรเริ่มยังไง เราเลยขอแชร์สิ่งที่เราทำนะคะ เผื่อจะมีประโยชน์กับคนอื่นค่ะ
ตอนแรก จขกท ก็เริ่มจากการเขียนโครงเรื่องที่เราอยากจะบอกก่อน โดยไม่แคร์เรื่องภาษาหรือการเรียบเรียงเลยค่ะ จขกท เริ่มเขียนเป็น bullet ก่อนค่ะ เช่น
- My name is xxx.
- I am graduated in xxx from xxx with GPA xxx.
- My senior project/thesis was about ………
- I am interested in xxx at xxx University because ………
- My future career is …../ My ultimate goal is……
ที่เขียนออกมาก่อนเพราะสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องใส่ลงไปในจดหมายค่ะ หลังจากนั้นค่อยมาดูว่าจะเรียบเรียงยังไง
อันที่จริง จขกท ดูหลายเว็บนะคะ แต่เว็บที่ จขกท ดูบ่อยสุดคือ
https://www.studential.com/university/applying/UCAS-application-guide/personal-statement-examples ค่ะ มีตัวอย่างมากมาย แบ่งตามสาขาวิชา แบ่งตามมหาวิทยาลัยที่สมัคร มีคอมเมนต์ด้วยว่าได้หรือไม่ได้นะคะ เข้าไปอ่าน SoP ที่ติดมหาวิทยาลัยดังๆซักพักหนึ่งก็จะเริ่มเห็นวิธีการเล่าเรื่องที่ชัดเจน การเรียบเรียงความคิด เรียบเรียงภาษาให้คมค่ะ เราก็ใช้กระบวนการคิดเดียวกันนั้นมาเขียน SoP ของเราเองค่ะ นอกจากเว็บนี้ เราก็ google ไปเรื่อยๆค่ะ ใช้ keyword ‘Example personal statement’/‘motivation letter techniques’ ก็จะได้ tips เยอะแยะมากมายค่ะ
อ้อ อีกเรื่องหนึ่งที่ควรทำในช่วงเดียวกับการเขียน SoP คือการส่งอีเมล์หาอาจารย์ที่เราอยากไปเรียนด้วย หรือ prospective professor นั่นเอง อย่างน้อยเพื่อที่จะได้รู้ว่าอาจารย์ที่เราอยากไปทำงานด้วยนั้น รับนักศึกษาในปีการศึกษาถัดไปหรือไม่ (ถ้าเขาตอบกลับมาชัดๆเลยว่าไม่รับ เราก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาเขียนใบสมัครโปรแกรมนั้นๆค่ะ เอาเวลาไปสมัครที่อื่นเลยดีกว่า) ถ้าอาจารย์ใจดีตอบกลับมา เราก็จะได้รู้ว่าตอนนี้ที่กลุ่มวิจัยนั้น เขากำลังทำงานวิจัยเรื่องอะไร ไปถึงไหนแล้ว มีงานส่วนไหนที่เราจะไปทำได้บ้าง ได้ฟีลลิ่งว่าคนที่เราจะไปทำงานด้วยในอนาคตนั้นเป็นยังไง อันนี้เราก็จะได้มาเขียน SoP ให้ตรงกับความต้องการของมหาวิทยาลัยมากยิ่งขึ้น และการที่เราเขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์ก่อนนั้น ก็ยังเป็นการแนะนำตัวเราให้อาจารย์รู้จักก่อนที่เราจะยื่นใบสมัครด้วย (จขกท เคยอ่านเจอว่ามีบางคนที่เขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์แล้ว อาจารย์ถูกใจ ช่วยเขียนจดหมายขอทุนให้อีกต่างหากค่ะ)
จขกท เขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์ที่ จขกท อยากทำงานด้วย 3 ท่านค่ะ ตอบมาสองในสามเลย คนแรกเป็นคนที่ จขกท อยากทำงานด้วยมากที่สุด ตรงสาขา ตรงตความสนใจของ จขกท มากๆ จขกท ใช้เวลาเป็นเดือนในอ่านเว็บของแล็บว่าอาจารย์คนนี้ทำงานวิจัยอะไรมาบ้าง อ่านเปเปอร์ของอาจารย์ท่านนี้คร่าวๆเกือบทุกเปเปอร์ที่จะไปโหลดมาได้ เพื่อที่จะ impress อาจารย์เวลาอีเมล์คุยกัน ตอนส่งอีเมล์ จขกท ก็ร่างอีเมล์นานมาก อ่านแล้วอ่านอีก ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าแล้วส่งอีเมล์ไป เนื้อหาคร่าวๆในอีเมล์ก็ประมานนี้ค่ะ (เขียนให้เป็นแนวสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง อย่าลอกไปใช้นะคะ เพราะคนอ่านจะรู้ได้ว่าเราเขียนเอง หรือไปก็อปข้อความคนอื่นมา เดี๋ยวนี้มันเช็คกันง่ายค่ะ)
My name is xxxx. I was a xx student at xxx university in xxx. I am planning to attend the xxx at the University of xxx, with a focus on the xxxx.
I graduated from the xxx with a xxx GPA in 20xx. I have conducted undergraduate research on xxx with xxx research group. I really enjoyed it and I developed a great interest in xxx during my study. I read your projects in the xxxx and I am particularly interested in xxx.
I hope you don’t mind getting in touch. I would like to inquire whether you are currently accepting graduate students. If you are, would you willing to communicate to me a bit more by email about my graduate school plans? I have read through the xxxx website in detail, and it seems to match perfectly with my interests.
I attached my CV, transcript, and samples of work herewith. Please let me know if there is any information I can provide. I know you are very busy so I appreciate any time you can give me. Thank you very much.
ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้น อาจารย์ตอบกลับมาเลยค่ะ อาจารย์ตอบว่า กำลังจะเกษียณค่ะ ไม่รับเด็กแล้วค่ะ จขกท จะร้องไห้ อึ้ง นอนไม่หลับ ทำอะไรไม่ถูกไปสามวันเลยค่ะ ไม่รู้จะเอายังไงต่อดี หาอาจารย์คนที่ทำเรื่องเดียวกันก็ไม่มีแล้ว ก็เลยต้องเปลี่ยนเรื่องไปสมัครกลุ่มวิจัยอื่นแทน (ซึ่ง จขกท ก็ต้องใช้เวลาศึกษางานของอาจารย์ใหม่ทั้งหมดเลยค่ะ นอนดึกไปอีกเป็นเดือน เวลาพักกลางวันก็รีบกินข้าว เอาเปเปอร์ไปนั่งอ่านในห้องสมุด เลิกงานกลับบ้านก็รีบมาอ่านหนังสือ ยอมรับว่าเป็นช่วงที่หนักมากและเครียดมากเลยค่ะ)
พอ จขกท ศึกษางานอาจารย์ท่านใหม่เสร็จในอีกเกือบเดือนถัดมา จขกท ก็ส่งอีเมล์ไปหาอาจารย์ท่านนั้นค่ะ ปรากฏว่ารอสองอาทิตย์ก็ยังไม่ได้คำตอบกลับมาค่ะ เริ่มกังวล หลอนมากค่ะ ผวาทุกครั้งที่อีเมล์เข้า กลัวอาจารย์ตอบว่าไม่รับ กลัวอาจารย์จะถามคำถามยากๆกลับมา กลัวไปหมด เราอ่านหนังสือเรื่องที่เราสมัครทุกวัน (เราไม่ค่อยถนัดด้านนี้) ทั้งพักกลางวันช่วงทำงาน หลังเลิกงาน หลังกินข้าว ก่อนนอน ฯลฯ พออาจารย์ไม่ตอบเราไม่รู้จะทำยังไง ก็ถามกูเกิลอีกนั่นแหละค่ะ ได้ว่ามีความเป็นไปได้หลายสถานการณ์ คือ
- ถ้าเราเขียนอีเมล์แบบกราดๆ ไม่เฉพาะเจาะจง ไม่ระบุชื่ออาจารย์ ไม่แสดงความตั้งใจชัดเจนว่าอยากทำงานกับคนๆนี้ หรือประวัติเราไม่เข้าตา ไม่น่าสนใจ อาจารย์อาจไม่สนใจเรา แล้วก็ไม่สนใจที่จะตอบด้วย
- อาจารย์งานยุ่งมากๆ เกินกว่าที่จะตอบ
- อาจารย์ใช้ฟิลเตอร์อีเมล์ ทำให้เมล์เราเข้า junk mail จนเขาไม่เห็นอีเมล์ของเรา
วิธีแก้และข้อแนะนำที่ จขกท ได้มาก็คือ
- ใช้application track จดหมายของเรา ว่าถูกเปิดอ่านหรือยัง (โดยที่ไม่ทำให้ผู้รับรู้ว่าเราtrack) อันนี้ จขกท ไม่ได้ใช้นะคะ ไม่รู้ว่ามันละเมิดความเป็นส่วนตัวเค้ามั้ย และไม่รู้ว่าทำยังไง
- อย่าส่งอีเมล์วันหยุด เพราะมันจะไปกองกันเยอะๆในกล่องข้อความของอาจารย์ เขาอาจจะมองผ่านไปเลยก็ได้ ให้ส่งบ่ายวันจันทร์ หรือวันอังคารไปแล้ว เมล์อาจารย์จะได้โล่งๆ
- อย่าแนบไฟล์ไปในอีเมล์เพราะมันเปลืองพื้นที่ในเมล์บอกซ์ของอาจารย์ เมล์ใหญ่ๆอาจถูกลบทิ้งโดยไม่อ่านได้ง่ายๆ
- เขียนจดหมายให้เจาะจง ระบุชื่ออาจารย์ไปเลย ไม่ใช่ dir sir/madam เฉยๆ เขียนเนื้อหาจดหมายที่บ่งบอกว่าเราอ่านงานเขามาอย่างดี และถ่อมตัว ระวังมากๆเรื่องมารยาท
- ถ้าอีเมล์แรกเค้าไม่ตอบ ให้ส่งอีเมล์สองตามไป (ให้เว้นจากเมล์แรกสักหนึ่งหรือสองอาทิตย์) อย่าเพิ่งท้อ แต่รอบนี้ให้ specific ยิ่งกว่าเดิม ตอนแรกเราก็ไม่รู้จะเขียนยังไง แต่ก็พอได้ตัวอย่างมาจากอินเตอร์เน็ตแหละค่ะ ลองใช้ keyword: “follow up + email + propestive supervisor” ก็จะเจอกระทู้มากมายใน quora ที่เป็นประโยชน์ จขกท จำไม่ได้แล้วว่าสุดท้ายเขียนไปว่ายังไง น่าจะประมาณนี้ค่ะ
Dear Prof. xxx,
This is a follow up of my original communication sent on <<Date>>, inquiring about a possible position within your research group.
I am interested in xxx. I read your work about xxxx and find it interesting. I enjoy very much learning xxxx. Thus, this is an area I could see myself exploring further in research as a graduate student.
I will be applying to xxx in 20xx and would very much like the opportunity to join your research group. I would welcome a chance to discuss possible research opportunity by email, or on the phone, anytime at your convenience.
The webpage below contains my CV to highlight some of my interests, experiences, and my past works:
<<link ไปที่ CV online ของเราใน one drive >>
พอส่งไปก็ยังเงียบอยู่ค่ะ จขกท เลยทำใจนิดๆว่าไม่ได้แล้ว สำหรับมหาวิทยาลัยนี้ (แต่สุดท้ายเขาติดต่อมาขอสัมภาษณ์ค่ะ จขกท เลยไม่แน่ใจว่าเค้าไม่เห็นอีเมล์หรือเขาตั้งใจไม่ตอบ) ส่วนของที่อื่น พอส่งไป เขาก็ตอบมาใน 3-4วันค่ะ บางท่านบอกว่าสนใจ มีทุนอยู่ ขอทราบรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเราเพิ่มเติม บางคนก็บอกให้ติดต่อมาทีหลัง ตอนใกล้ๆจะเปิดเทอม อันนี้ได้รับการตอบรับดีก็ลุยเลยค่ะ อันไหนอาจารย์ปฏิเวธเราก็ไม่เสียเวลาค่ะ หาอันใหม่สมัครโลด
ข้อ 7 คะแนนภาษาอังกฤษ อันนี้ขอพูดถึงแต่ IELTS นะคะ เพราะจขกท ไม่เคยสอบ TOEFL ลองกลับไปอ่านกระทู้ที่ จขกท แปะลิงค์ไว้ได้เลยค่ะ
เล่าประสบการณ์สอบ IELTS (British Council) เตรียมตัวเอง ไม่ได้เรียนพิเศษค่ะ
https://ppantip.com/topic/36904704
รีวิวสอบ IELTS เพิ่ม Writing จาก 6.5 ไป 7.5 ในหนึ่งเดือน (อ่านเองค่ะ)
https://ppantip.com/topic/37166429
บันทึกเรื่องราว ขอทุนฟรีไปเรียนนอก โตแล้วไปไหน ตอนที่ 3: เขียนจดหมายแนะนำตัว (Statement of Perpose: SoP)
https://ppantip.com/topic/37552171
กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่สามต่อจากตอนที่แล้ว "บันทึกเรื่องราว ขอทุนฟรีไปเรียนนอก ตอนที่ 2: สมัครทุนไปนอก เขียนจดหมาย SoP ขอ recommendation letter"
https://ppantip.com/topic/37691012
............................................................................................................................................................................................................
ข้อ 6 Statement of Purpose/ Motivation Letter/ Personal statement อันนี้แล้วแต่คนเรียกเลยค่ะ หลักๆมันก็คือจดหมายแนะนำตัวเรานั่นเอง ว่าเราเป็นใคร มาจากไหน จบอะไรมา แล้วต้องการจะมาทำอะไรที่โปรแกรมที่เราสมัคร ทำไมถึงอยากเรียน ฯลฯ
จขกท ใช้เวลากับการเขียนจดหมายมากที่สุดเลยค่ะ เพราะถือว่าส่วนนี้เป็นสวนที่สำคัญที่สุด ว่าจะทำตัวเองให้ดูน่าสนใจ น่าสอน น่าทำงานด้วยแค่ไหน จขกท ไม่เคยเขียนจดหมายแบบนี้มาก่อน และไม่เคยเห็นจดหมายของคนอื่นด้ววยเช่นกัน จขกท ก็เลยไป search หาวิธีการเขียน SoP จาก website ต่างๆ ทั้งเว็บไทย เว็บนอกค่ะ ทุกเว็บก็บอกเหมือนกันว่าหลักๆแล้วมันควรจะ ...
- “Personal” คือ มันต้องเป็นเรื่องราวของเราจริงๆ ไม่ได้ copy มาจากเรื่องของคนอื่น หรือสำนวนของคนอื่น ความอยากเรียนนั้นต้องเป็นความอยากเรียนของเรา passion ของเรา ความประทับใจของเรา
- Specific คือ เนื้อหามันต้องเฉพาะเจาะจงว่าเราเขียนจดหมายฉบับนี้ เพื่อสมัครโปรแกรมนี้เท่านั้น ไม่ใช่เขียนจดหมายฉบับเดียวแล้วร่อนไปหลายๆที่ ดังนั้นต้องไปศึกษามาดีๆค่ะ ว่าโปรแกรมที่เราจะสมัครนั้นมีจุดเด่นเรื่องอะไร สอนเรื่องอะไร มี Prof ชื่ออะไร ทำวิจัยเรื่องอะไรอยู่ค่ะ ไม่ใช่เขียนจดหมายไปแบบลอยๆ
- ระวังคำหรือสำนวนที่ใช้กันจนเกร่อ หรือ cliche อย่าไปลอกข้อความหรือ quote ของใคร มาไว้ใน SoP ของเราค่ะ เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา พื้นที่กระดาษมีแค่หน้าเดียว เราไม่ควรเสียพื้นที่ในการโฆษณาตัวเองให้กับคำคมของคนอื่นค่ะ
นอกจากเนื้อหาแล้ว ความยากอีกอย่างหนึ่งก็คือการเรียบเรียงและการใช้ภาษาค่ะ ว่าจะเรียบเรียงเรื่องราวอย่างไรให้เข้าใจง่าย ประทับใจคนอ่าน และครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดภายในความยาว 1 หน้ากระดาษ อันนี้คนใช้ภาษาเก่งก็จะได้เปรียบค่ะ จขกท ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษ เลยใช้เวลาท่องเว็บ อ่านตัวอย่าง SoP ของคนอื่นๆที่เอามาแชร์ในเว็บมากมาย ชอบเทคนิคการเล่าเรื่องแบบไหนก็จดเอาไว้ เจอ keyword ดีๆที่คิดว่ามันตรงกับตัวเองก็เก็บเอาไว้ แล้วเอามาเขียนเองค่ะ
แม้จะรู้ว่าต้องเขียนอะไรแล้ว แต่ จขกท พบว่ามันยากมากเลยที่จะเริ่มเขียน และก็ไม่มีเว็บไหนสอนด้วยว่าควรเริ่มยังไง เราเลยขอแชร์สิ่งที่เราทำนะคะ เผื่อจะมีประโยชน์กับคนอื่นค่ะ
ตอนแรก จขกท ก็เริ่มจากการเขียนโครงเรื่องที่เราอยากจะบอกก่อน โดยไม่แคร์เรื่องภาษาหรือการเรียบเรียงเลยค่ะ จขกท เริ่มเขียนเป็น bullet ก่อนค่ะ เช่น
- My name is xxx.
- I am graduated in xxx from xxx with GPA xxx.
- My senior project/thesis was about ………
- I am interested in xxx at xxx University because ………
- My future career is …../ My ultimate goal is……
ที่เขียนออกมาก่อนเพราะสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องใส่ลงไปในจดหมายค่ะ หลังจากนั้นค่อยมาดูว่าจะเรียบเรียงยังไง
อันที่จริง จขกท ดูหลายเว็บนะคะ แต่เว็บที่ จขกท ดูบ่อยสุดคือ
https://www.studential.com/university/applying/UCAS-application-guide/personal-statement-examples ค่ะ มีตัวอย่างมากมาย แบ่งตามสาขาวิชา แบ่งตามมหาวิทยาลัยที่สมัคร มีคอมเมนต์ด้วยว่าได้หรือไม่ได้นะคะ เข้าไปอ่าน SoP ที่ติดมหาวิทยาลัยดังๆซักพักหนึ่งก็จะเริ่มเห็นวิธีการเล่าเรื่องที่ชัดเจน การเรียบเรียงความคิด เรียบเรียงภาษาให้คมค่ะ เราก็ใช้กระบวนการคิดเดียวกันนั้นมาเขียน SoP ของเราเองค่ะ นอกจากเว็บนี้ เราก็ google ไปเรื่อยๆค่ะ ใช้ keyword ‘Example personal statement’/‘motivation letter techniques’ ก็จะได้ tips เยอะแยะมากมายค่ะ
อ้อ อีกเรื่องหนึ่งที่ควรทำในช่วงเดียวกับการเขียน SoP คือการส่งอีเมล์หาอาจารย์ที่เราอยากไปเรียนด้วย หรือ prospective professor นั่นเอง อย่างน้อยเพื่อที่จะได้รู้ว่าอาจารย์ที่เราอยากไปทำงานด้วยนั้น รับนักศึกษาในปีการศึกษาถัดไปหรือไม่ (ถ้าเขาตอบกลับมาชัดๆเลยว่าไม่รับ เราก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาเขียนใบสมัครโปรแกรมนั้นๆค่ะ เอาเวลาไปสมัครที่อื่นเลยดีกว่า) ถ้าอาจารย์ใจดีตอบกลับมา เราก็จะได้รู้ว่าตอนนี้ที่กลุ่มวิจัยนั้น เขากำลังทำงานวิจัยเรื่องอะไร ไปถึงไหนแล้ว มีงานส่วนไหนที่เราจะไปทำได้บ้าง ได้ฟีลลิ่งว่าคนที่เราจะไปทำงานด้วยในอนาคตนั้นเป็นยังไง อันนี้เราก็จะได้มาเขียน SoP ให้ตรงกับความต้องการของมหาวิทยาลัยมากยิ่งขึ้น และการที่เราเขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์ก่อนนั้น ก็ยังเป็นการแนะนำตัวเราให้อาจารย์รู้จักก่อนที่เราจะยื่นใบสมัครด้วย (จขกท เคยอ่านเจอว่ามีบางคนที่เขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์แล้ว อาจารย์ถูกใจ ช่วยเขียนจดหมายขอทุนให้อีกต่างหากค่ะ)
จขกท เขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์ที่ จขกท อยากทำงานด้วย 3 ท่านค่ะ ตอบมาสองในสามเลย คนแรกเป็นคนที่ จขกท อยากทำงานด้วยมากที่สุด ตรงสาขา ตรงตความสนใจของ จขกท มากๆ จขกท ใช้เวลาเป็นเดือนในอ่านเว็บของแล็บว่าอาจารย์คนนี้ทำงานวิจัยอะไรมาบ้าง อ่านเปเปอร์ของอาจารย์ท่านนี้คร่าวๆเกือบทุกเปเปอร์ที่จะไปโหลดมาได้ เพื่อที่จะ impress อาจารย์เวลาอีเมล์คุยกัน ตอนส่งอีเมล์ จขกท ก็ร่างอีเมล์นานมาก อ่านแล้วอ่านอีก ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าแล้วส่งอีเมล์ไป เนื้อหาคร่าวๆในอีเมล์ก็ประมานนี้ค่ะ (เขียนให้เป็นแนวสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง อย่าลอกไปใช้นะคะ เพราะคนอ่านจะรู้ได้ว่าเราเขียนเอง หรือไปก็อปข้อความคนอื่นมา เดี๋ยวนี้มันเช็คกันง่ายค่ะ)
My name is xxxx. I was a xx student at xxx university in xxx. I am planning to attend the xxx at the University of xxx, with a focus on the xxxx.
I graduated from the xxx with a xxx GPA in 20xx. I have conducted undergraduate research on xxx with xxx research group. I really enjoyed it and I developed a great interest in xxx during my study. I read your projects in the xxxx and I am particularly interested in xxx.
I hope you don’t mind getting in touch. I would like to inquire whether you are currently accepting graduate students. If you are, would you willing to communicate to me a bit more by email about my graduate school plans? I have read through the xxxx website in detail, and it seems to match perfectly with my interests.
I attached my CV, transcript, and samples of work herewith. Please let me know if there is any information I can provide. I know you are very busy so I appreciate any time you can give me. Thank you very much.
ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้น อาจารย์ตอบกลับมาเลยค่ะ อาจารย์ตอบว่า กำลังจะเกษียณค่ะ ไม่รับเด็กแล้วค่ะ จขกท จะร้องไห้ อึ้ง นอนไม่หลับ ทำอะไรไม่ถูกไปสามวันเลยค่ะ ไม่รู้จะเอายังไงต่อดี หาอาจารย์คนที่ทำเรื่องเดียวกันก็ไม่มีแล้ว ก็เลยต้องเปลี่ยนเรื่องไปสมัครกลุ่มวิจัยอื่นแทน (ซึ่ง จขกท ก็ต้องใช้เวลาศึกษางานของอาจารย์ใหม่ทั้งหมดเลยค่ะ นอนดึกไปอีกเป็นเดือน เวลาพักกลางวันก็รีบกินข้าว เอาเปเปอร์ไปนั่งอ่านในห้องสมุด เลิกงานกลับบ้านก็รีบมาอ่านหนังสือ ยอมรับว่าเป็นช่วงที่หนักมากและเครียดมากเลยค่ะ)
พอ จขกท ศึกษางานอาจารย์ท่านใหม่เสร็จในอีกเกือบเดือนถัดมา จขกท ก็ส่งอีเมล์ไปหาอาจารย์ท่านนั้นค่ะ ปรากฏว่ารอสองอาทิตย์ก็ยังไม่ได้คำตอบกลับมาค่ะ เริ่มกังวล หลอนมากค่ะ ผวาทุกครั้งที่อีเมล์เข้า กลัวอาจารย์ตอบว่าไม่รับ กลัวอาจารย์จะถามคำถามยากๆกลับมา กลัวไปหมด เราอ่านหนังสือเรื่องที่เราสมัครทุกวัน (เราไม่ค่อยถนัดด้านนี้) ทั้งพักกลางวันช่วงทำงาน หลังเลิกงาน หลังกินข้าว ก่อนนอน ฯลฯ พออาจารย์ไม่ตอบเราไม่รู้จะทำยังไง ก็ถามกูเกิลอีกนั่นแหละค่ะ ได้ว่ามีความเป็นไปได้หลายสถานการณ์ คือ
- ถ้าเราเขียนอีเมล์แบบกราดๆ ไม่เฉพาะเจาะจง ไม่ระบุชื่ออาจารย์ ไม่แสดงความตั้งใจชัดเจนว่าอยากทำงานกับคนๆนี้ หรือประวัติเราไม่เข้าตา ไม่น่าสนใจ อาจารย์อาจไม่สนใจเรา แล้วก็ไม่สนใจที่จะตอบด้วย
- อาจารย์งานยุ่งมากๆ เกินกว่าที่จะตอบ
- อาจารย์ใช้ฟิลเตอร์อีเมล์ ทำให้เมล์เราเข้า junk mail จนเขาไม่เห็นอีเมล์ของเรา
วิธีแก้และข้อแนะนำที่ จขกท ได้มาก็คือ
- ใช้application track จดหมายของเรา ว่าถูกเปิดอ่านหรือยัง (โดยที่ไม่ทำให้ผู้รับรู้ว่าเราtrack) อันนี้ จขกท ไม่ได้ใช้นะคะ ไม่รู้ว่ามันละเมิดความเป็นส่วนตัวเค้ามั้ย และไม่รู้ว่าทำยังไง
- อย่าส่งอีเมล์วันหยุด เพราะมันจะไปกองกันเยอะๆในกล่องข้อความของอาจารย์ เขาอาจจะมองผ่านไปเลยก็ได้ ให้ส่งบ่ายวันจันทร์ หรือวันอังคารไปแล้ว เมล์อาจารย์จะได้โล่งๆ
- อย่าแนบไฟล์ไปในอีเมล์เพราะมันเปลืองพื้นที่ในเมล์บอกซ์ของอาจารย์ เมล์ใหญ่ๆอาจถูกลบทิ้งโดยไม่อ่านได้ง่ายๆ
- เขียนจดหมายให้เจาะจง ระบุชื่ออาจารย์ไปเลย ไม่ใช่ dir sir/madam เฉยๆ เขียนเนื้อหาจดหมายที่บ่งบอกว่าเราอ่านงานเขามาอย่างดี และถ่อมตัว ระวังมากๆเรื่องมารยาท
- ถ้าอีเมล์แรกเค้าไม่ตอบ ให้ส่งอีเมล์สองตามไป (ให้เว้นจากเมล์แรกสักหนึ่งหรือสองอาทิตย์) อย่าเพิ่งท้อ แต่รอบนี้ให้ specific ยิ่งกว่าเดิม ตอนแรกเราก็ไม่รู้จะเขียนยังไง แต่ก็พอได้ตัวอย่างมาจากอินเตอร์เน็ตแหละค่ะ ลองใช้ keyword: “follow up + email + propestive supervisor” ก็จะเจอกระทู้มากมายใน quora ที่เป็นประโยชน์ จขกท จำไม่ได้แล้วว่าสุดท้ายเขียนไปว่ายังไง น่าจะประมาณนี้ค่ะ
Dear Prof. xxx,
This is a follow up of my original communication sent on <<Date>>, inquiring about a possible position within your research group.
I am interested in xxx. I read your work about xxxx and find it interesting. I enjoy very much learning xxxx. Thus, this is an area I could see myself exploring further in research as a graduate student.
I will be applying to xxx in 20xx and would very much like the opportunity to join your research group. I would welcome a chance to discuss possible research opportunity by email, or on the phone, anytime at your convenience.
The webpage below contains my CV to highlight some of my interests, experiences, and my past works:
<<link ไปที่ CV online ของเราใน one drive >>
พอส่งไปก็ยังเงียบอยู่ค่ะ จขกท เลยทำใจนิดๆว่าไม่ได้แล้ว สำหรับมหาวิทยาลัยนี้ (แต่สุดท้ายเขาติดต่อมาขอสัมภาษณ์ค่ะ จขกท เลยไม่แน่ใจว่าเค้าไม่เห็นอีเมล์หรือเขาตั้งใจไม่ตอบ) ส่วนของที่อื่น พอส่งไป เขาก็ตอบมาใน 3-4วันค่ะ บางท่านบอกว่าสนใจ มีทุนอยู่ ขอทราบรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเราเพิ่มเติม บางคนก็บอกให้ติดต่อมาทีหลัง ตอนใกล้ๆจะเปิดเทอม อันนี้ได้รับการตอบรับดีก็ลุยเลยค่ะ อันไหนอาจารย์ปฏิเวธเราก็ไม่เสียเวลาค่ะ หาอันใหม่สมัครโลด
ข้อ 7 คะแนนภาษาอังกฤษ อันนี้ขอพูดถึงแต่ IELTS นะคะ เพราะจขกท ไม่เคยสอบ TOEFL ลองกลับไปอ่านกระทู้ที่ จขกท แปะลิงค์ไว้ได้เลยค่ะ
เล่าประสบการณ์สอบ IELTS (British Council) เตรียมตัวเอง ไม่ได้เรียนพิเศษค่ะ
https://ppantip.com/topic/36904704
รีวิวสอบ IELTS เพิ่ม Writing จาก 6.5 ไป 7.5 ในหนึ่งเดือน (อ่านเองค่ะ)
https://ppantip.com/topic/37166429