ทริป อิตาลี 14 วัน ตอนที่4 ตามรอย"โรมิโอแอนด์จูเลียต" ที่Verona และชม Duomo di Milano
ลิงค์ตอนที่1
https://ppantip.com/topic/37689577
ลิงค์ตอนที่2
https://ppantip.com/topic/37690919
ลิงค์ตอนที่3
https://ppantip.com/topic/37692948
นี่คือตอนสุดท้ายของทริป อิตาลี 14 วัน โรม, ฟลอเร้นซ์ , ปิซ่า, เวนิส, มิลาน, เวโรน่า แล้วค่ะ
เราเดินทางโดยรถไฟความเร็วสูง จากเวนิสไปมิลาน ใช้เวลาสามชั่วโมงถึงมิลานก็บ่ายสามโมงกว่า เราเลือกพักโรงแรมใกล้ๆสถานีรถไฟ Milano centrale ตามสูตรคือหลังจากเก็บกระเป๋าก็ออกไปเดินชมบ้านเมืองเขา เรากะว่าจะเดินเล่นกันไปเรื่อยๆแล้วก็กลับ แต่ก็เดินกันจริงจังจนไปถึง Duomo
มหาวิหาร Duomo di Milano ยิ่งใหญ่สวยงามสมคำร่ำลือจริงๆ บนยอดแหลมๆมีรูปปั้นของเซนต์ต่างๆตั้งอยู่ และรูปปั้นนั้นไม่ใช่ตัวเล็กๆเลย ใหญ่กว่าคนจริงสองสามเท่า ดูแล้วก็เห็นถึงความตั้งใจและทุ่มเทด้วยศรัทธาที่ยิ่งใหญ่
วันนี้เรามีเวลาแค่เดินเล่น แต่คาดโทษไว้แล้วว่าวันสุดท้ายในมิลานเราจะมาชมภายในมหาวิหารดูโอโม และขึ้นข้างบนยอดของวิหาร และ พิพิธภัณฑ์ดูโอโม จะเก็บให้หมดเลย
แต่พรุ่งนี้เราจะไปตามรอย โรมิโอแอนด์จูเลียตที่เวโรน่าก่อนนะ
วันนี้เราต้องตื่นแต่เช้าจริงๆและต้องรีบกินอาหารเช้าของโรงแรมตั้งแต่เวลาเปิดเลยที่เดียว เพราะซื้อตั๋วรถไฟไปเวโรน่า เที่ยว 8.45 ไว้ ขาไปเราซื้อตั๋วรถไฟชั้นสองใช้เวลาสองชั่วโมง แต่ตอนขากลับได้ตั๋วรถไฟเร็วสูงในราคาเท่าชั้นสอง ใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมง
เราถึงสถานี Verona porta Nuova ประมาณสิบโมงกว่า เราเดินไปโคลอสเซี่ยมน้อย อากาศมืดครึ้มอีกแล้ว แต่ดีที่ฝนไม่ตก
เดินตรงไปอย่างเดียวเลยค่ะ
สักพักก็ถึงโคลอสเซี่ยมน้อย
เราไม่ได้เข้าไปชมโคลอสเซี่ยม แค่ดูรอบๆ แต่บอกว่าโคลอสเซี่ยมนี้ยังใช้จัดการแสดงละคร จัดงานต่างๆอยู่ เห็นในใบปิดประกาศแล้วดูมีชีวิตชีวามากกว่า โคลอสเซี่ยมใหญ่ที่โรม ที่ความยิ่งใหญ่ได้กลายเป็นเพียงอดีตไปแล้ว เราว่ามันดีมากเลย อย่าปล่อยให้เขากลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง เหลือเพียงร่องรอยความรุ่งเรือง คืนชีวิตให้กับเขาด้วยการใช้งานอย่างที่ควรจะเป็น
ถนนทางไปบ้านของจูเลียต
มีร้านแบรนด์เนมเยอะมาก
สองข้างทางมีร้านค้าแบรนด์เนมเยอะมากมากันครบครันทุกแบรนด์เลย
แล้วเราก็เดินมาถึงบ้านของจูเลียต Casa di Guilietta (๋Juliet 's House)
รูป
ทางเข้า
เดินเข้าไปผนังสองข้างเต็มไปด้วยศิลปะ??
คนเยอะมากค่ะ เพิ่งรู้ว่าบ้านของจูเลียตเป็นที่นิยมของฝรั่งเหมือนกัน
บ้านนี้คือบ้านที่เช็คสเปียร์ใช้เป็นฉากในการเขียนวรรณกรรมเรื่องโรมิโอแอนด์จูเลียต ซึ่งในวรรณกรรมบ้านของจูเลียตใช้ฉากที่นี่นั่นเอง มีระเบียงที่จูเลียตออกมาพบกับโรมิโอด้วย ระเบียงในรูปเล็กๆน่ะค่ะ
รูป
มีความเชื่อที่ว่าถ้าใครมาจับนมจูเลียตแล้วจะสมหวังในความรัก ดูสิ...นมจูเลียตขาววอกเลย5555555
ใครจะขึ้นไปถ่ายรูปบนระเบียงก็จ่ายตังค์แล้วขึ้นไปได้ค่ะ เราขอยืนดูก็พอ
รูปปั้นของจูเลียต
คนรอถ่ายรูปเยอะมากกกกกกก แต่เราก็มีโอกาสได้ถ่าย อิอิ
ได้ถ่ายรูปกับจูเลียต ดีใจมาก เพราะคนเยอะมากไม่คิดว่าจะฝ่าฝูงชนเข้ามาถ่ายได้ พอดีมีโอกาสเลยแชะซะเลย
บทบรรยายของเชคสเปียร์ ที่บรรยายฉากที่โรมิโอพบจูเลียตที่ระเบียงแห่งนี้
“But soft! What Light Through Yonder Window Breaks?
It is my lady: Oh it is my Love!”
แล้วก็ตามกระแส คือต้องคล้องกุญแจใจไว้ที่นี่ เอามั่ง
รูป
ฝากเอาไว้ก่อน ถ้ามีโอกาสได้กลับมาอีก จะมาไขคืนนะ
เรากับแฟนอินโรมิโอแอนด์จูเลียต เพราะ สมัยจีบกันใหม่ๆ (ย้อนไปยี่สิบปีเลยจ้า) เราไปดูหนังเรื่องโรมิโอจูเลียต (เวอร์ชั่น ลีโอนาโด ดิคาปริโอ) ด้วยกันแล้วเราอินมากชอบมาก คลั่งไคล้ลีโออยู่พักใหญ่ๆ เวลาเขียนจดหมายหากัน (ใช่ค่ะ สมัยนั้นต้องเขียนจดหมายเพราะมือถือยังไม่แพร่หาย) ถึงขนาดจ่าหน้าซองถึงเราว่า Juliet พิมพ์ไปก็อายไปนะเนี่ย 5555555 ยังไม่หมดแฟนรู้ว่าเราคลั่งไคล้มากก็ไปหาโปสเตอร์หนังเรื่องนี้มาให้ แผ่นใหญ่มาก ผ่านไปยี่สิบปีทุกวันนี้ก็ยังแปะไว้ข้างฝาห้องไม่เคยแกะออกเลย
มาอิตาลีเที่ยวนี้เราเลยตั้งใจมาตามรอยบ้านของจูเลียตให้ได้ แล้วก็รู้สึกได้เติมเต็มความรู้สึกหลายๆอย่าง ทุกวันนี้รูปปั้นจูเลียตเป็นตัวแทนของความรักนิรันดร์ แต่จะสมหวังหรือไม่นั้นคงแล้วแต่โชคนำพา.......
รูป
หลังจากเสียทรัพย์ไปกับของที่ระลึกแล้ว เราก็ออกมาเดินเล่น
ร้านค้าแถวนี้มีแต่อาตี๋ อาาหมวยนะคะและสินค้าจากจีนด้วยรึเปล่าก็ไม่รู้ แหล่งท่องเที่ยวในอิตาลีก็มีแต่คนต่างชาติเป็นเจ้าของอ่ะค่ะก็คนจีนตามสูตร ที่ไหนมีคนเยอะที่นั่นพี่จีนไม่พลาด อ้อ..พี่แขกก็ด้วย
ประตูเมืองโบราณเก่าแก่มาก อาคารพวกนี้เก่าแก่หลายร้อยปี
น้ำพุนี้เล่นกิมมิคได้น่ารักมาก
เราเดินไปถึงสะพาน Ponte scaligero วิวสวยมากกกกกกกกกกกก อากาศก็ดี
วิวบนสะพาน
ปืนขึ้นไปชมวิว
เหมือนกรอบภาพวาดเลย
เราเดินเล่นกันอยู่นานมาก เดินบ้างพักบ้าง เวโรน่าเป็นเมืองที่โรแมนติคมาก และนักท่องเที่ยวก็ชอบมากันเป็นคู่ๆ
เราขอเตือนว่าถ้ามาคนเดียวจะเหงามาก หรือใครอยากจะลองดูก็ได้นะคะ
เราใช้เวลาอยู่เวโรน่าทั้งวัน เพราะอากาศดี บ้านเมืองสวยงาม สวนสาธารณะมีมาก ริมน้ำก็มีที่ให้นั่งชมวิว เรานั่งจิบกาแฟในสวน มีคนผิวดำเดินป้วนเปี้ยนไปมา (ตามเมืองท่องเที่ยวมีทุกที่) ก็อย่าไปกลัวค่ะ เราว่าแฟนเราน่ากลัวกว่า 55555 ทริคคือทำหน้าดุดุเข้าไว้ อย่าไปทำว่ากลัวหรือล่อกแล่ก มันก็จะไม่กล้ามายุ่งกะเรา ถึงแฟนเราจะหน้าดุแต่จริงๆแล้วนางเป็นคนขี้ใจอ่อนมากกว่าเราซะอีก เวลาเจอคนเร่ร่อนขอทาน นางจะให้เงินเขาตลอดอ่ะ มีครั้งหนึ่งเราซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ตเข้าคิวจ่ายเงินอยู่ มีลุงแก่ๆแต่งตัวโทรมๆอยู่คิวหน้าเรา แกซื้อพิซซ่าชิ้นเดียว หนึ่งยูโรกว่าๆ เห็นแกหยิบเหรียญสิบเซ็น ยี่สิบเซ็นออกมาจ่ายหลายเหรียญมาก เสร็จแล้วแกก็เดินออกไป เราก็จ่ายเงินต่อพอออกมาเราก็เดินเข้าโรงแรมเห็นลุงแกนั่งขอทานอยู่ใต้สะพาน มีลังกระดาษเป็นที่นอน แฟนเราก็เลยค้นหาเหรียญให้ไปหนึ่งยูโร ลุงแกก็ยิ้มให้ แล้วหลังจากวันนั้นมาเราพักโรงแรมนั้นสามคืน แฟนเราก็ให้เงินแกทุกวัน แล้วแต่ว่าจะมีเหรียญอะไร จนวันที่เราย้ายโรงแรม ลุงแกเห็นเราลากกระเป๋าผ่าน แฟนเราก็ให้เงินแกก็พูดเป็นนภาษาอิตาลีประมาณอวยพรให้ นี่คือความใจดีที่ขัดกับหน้าตา แต่เวลาต้องเสียเงินเข้าห้องน้ำครั้งละ 1ยูโร แฟนเราบ่นมากเลย จนป่านนี้ก็ยังบ่นว่าจะฉี่ทีต้องจ่ายเงิน 38-39บาท 555555
เราเพิ่งเคยเห็นต้นมะกอกตัวเป็นๆนี่แหละ
เรากลับมิลานด้วยรถไฟเที่ยว 18.00 น. ถึงมิลาน 19.00น พรุ่งนี้เป็นที่เราจะได้เที่ยววันสุดท้ายในอิตาลี เราจะไป Duomo di Milano กันค่ะ เดี๋ยวมาต่อในกระทู้นี้นะคะ
ทริปอิตาลี 14 วัน ตอนที่ 4 ตามรอย "โรมิโอแอนด์จูเลียต" ที่ Verona และชม Duomo di Milan
ลิงค์ตอนที่1 https://ppantip.com/topic/37689577
ลิงค์ตอนที่2 https://ppantip.com/topic/37690919
ลิงค์ตอนที่3 https://ppantip.com/topic/37692948
นี่คือตอนสุดท้ายของทริป อิตาลี 14 วัน โรม, ฟลอเร้นซ์ , ปิซ่า, เวนิส, มิลาน, เวโรน่า แล้วค่ะ
เราเดินทางโดยรถไฟความเร็วสูง จากเวนิสไปมิลาน ใช้เวลาสามชั่วโมงถึงมิลานก็บ่ายสามโมงกว่า เราเลือกพักโรงแรมใกล้ๆสถานีรถไฟ Milano centrale ตามสูตรคือหลังจากเก็บกระเป๋าก็ออกไปเดินชมบ้านเมืองเขา เรากะว่าจะเดินเล่นกันไปเรื่อยๆแล้วก็กลับ แต่ก็เดินกันจริงจังจนไปถึง Duomo
มหาวิหาร Duomo di Milano ยิ่งใหญ่สวยงามสมคำร่ำลือจริงๆ บนยอดแหลมๆมีรูปปั้นของเซนต์ต่างๆตั้งอยู่ และรูปปั้นนั้นไม่ใช่ตัวเล็กๆเลย ใหญ่กว่าคนจริงสองสามเท่า ดูแล้วก็เห็นถึงความตั้งใจและทุ่มเทด้วยศรัทธาที่ยิ่งใหญ่
วันนี้เรามีเวลาแค่เดินเล่น แต่คาดโทษไว้แล้วว่าวันสุดท้ายในมิลานเราจะมาชมภายในมหาวิหารดูโอโม และขึ้นข้างบนยอดของวิหาร และ พิพิธภัณฑ์ดูโอโม จะเก็บให้หมดเลย
แต่พรุ่งนี้เราจะไปตามรอย โรมิโอแอนด์จูเลียตที่เวโรน่าก่อนนะ
วันนี้เราต้องตื่นแต่เช้าจริงๆและต้องรีบกินอาหารเช้าของโรงแรมตั้งแต่เวลาเปิดเลยที่เดียว เพราะซื้อตั๋วรถไฟไปเวโรน่า เที่ยว 8.45 ไว้ ขาไปเราซื้อตั๋วรถไฟชั้นสองใช้เวลาสองชั่วโมง แต่ตอนขากลับได้ตั๋วรถไฟเร็วสูงในราคาเท่าชั้นสอง ใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมง
เราถึงสถานี Verona porta Nuova ประมาณสิบโมงกว่า เราเดินไปโคลอสเซี่ยมน้อย อากาศมืดครึ้มอีกแล้ว แต่ดีที่ฝนไม่ตก
เดินตรงไปอย่างเดียวเลยค่ะ
สักพักก็ถึงโคลอสเซี่ยมน้อย
เราไม่ได้เข้าไปชมโคลอสเซี่ยม แค่ดูรอบๆ แต่บอกว่าโคลอสเซี่ยมนี้ยังใช้จัดการแสดงละคร จัดงานต่างๆอยู่ เห็นในใบปิดประกาศแล้วดูมีชีวิตชีวามากกว่า โคลอสเซี่ยมใหญ่ที่โรม ที่ความยิ่งใหญ่ได้กลายเป็นเพียงอดีตไปแล้ว เราว่ามันดีมากเลย อย่าปล่อยให้เขากลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง เหลือเพียงร่องรอยความรุ่งเรือง คืนชีวิตให้กับเขาด้วยการใช้งานอย่างที่ควรจะเป็น
ถนนทางไปบ้านของจูเลียต
มีร้านแบรนด์เนมเยอะมาก
สองข้างทางมีร้านค้าแบรนด์เนมเยอะมากมากันครบครันทุกแบรนด์เลย
แล้วเราก็เดินมาถึงบ้านของจูเลียต Casa di Guilietta (๋Juliet 's House)
รูป ทางเข้า
เดินเข้าไปผนังสองข้างเต็มไปด้วยศิลปะ??
คนเยอะมากค่ะ เพิ่งรู้ว่าบ้านของจูเลียตเป็นที่นิยมของฝรั่งเหมือนกัน
บ้านนี้คือบ้านที่เช็คสเปียร์ใช้เป็นฉากในการเขียนวรรณกรรมเรื่องโรมิโอแอนด์จูเลียต ซึ่งในวรรณกรรมบ้านของจูเลียตใช้ฉากที่นี่นั่นเอง มีระเบียงที่จูเลียตออกมาพบกับโรมิโอด้วย ระเบียงในรูปเล็กๆน่ะค่ะ
รูปมีความเชื่อที่ว่าถ้าใครมาจับนมจูเลียตแล้วจะสมหวังในความรัก ดูสิ...นมจูเลียตขาววอกเลย5555555
ใครจะขึ้นไปถ่ายรูปบนระเบียงก็จ่ายตังค์แล้วขึ้นไปได้ค่ะ เราขอยืนดูก็พอ
รูปปั้นของจูเลียต
คนรอถ่ายรูปเยอะมากกกกกกก แต่เราก็มีโอกาสได้ถ่าย อิอิ
ได้ถ่ายรูปกับจูเลียต ดีใจมาก เพราะคนเยอะมากไม่คิดว่าจะฝ่าฝูงชนเข้ามาถ่ายได้ พอดีมีโอกาสเลยแชะซะเลย
บทบรรยายของเชคสเปียร์ ที่บรรยายฉากที่โรมิโอพบจูเลียตที่ระเบียงแห่งนี้
“But soft! What Light Through Yonder Window Breaks?
It is my lady: Oh it is my Love!”
แล้วก็ตามกระแส คือต้องคล้องกุญแจใจไว้ที่นี่ เอามั่ง
รูป
ฝากเอาไว้ก่อน ถ้ามีโอกาสได้กลับมาอีก จะมาไขคืนนะ
เรากับแฟนอินโรมิโอแอนด์จูเลียต เพราะ สมัยจีบกันใหม่ๆ (ย้อนไปยี่สิบปีเลยจ้า) เราไปดูหนังเรื่องโรมิโอจูเลียต (เวอร์ชั่น ลีโอนาโด ดิคาปริโอ) ด้วยกันแล้วเราอินมากชอบมาก คลั่งไคล้ลีโออยู่พักใหญ่ๆ เวลาเขียนจดหมายหากัน (ใช่ค่ะ สมัยนั้นต้องเขียนจดหมายเพราะมือถือยังไม่แพร่หาย) ถึงขนาดจ่าหน้าซองถึงเราว่า Juliet พิมพ์ไปก็อายไปนะเนี่ย 5555555 ยังไม่หมดแฟนรู้ว่าเราคลั่งไคล้มากก็ไปหาโปสเตอร์หนังเรื่องนี้มาให้ แผ่นใหญ่มาก ผ่านไปยี่สิบปีทุกวันนี้ก็ยังแปะไว้ข้างฝาห้องไม่เคยแกะออกเลย
มาอิตาลีเที่ยวนี้เราเลยตั้งใจมาตามรอยบ้านของจูเลียตให้ได้ แล้วก็รู้สึกได้เติมเต็มความรู้สึกหลายๆอย่าง ทุกวันนี้รูปปั้นจูเลียตเป็นตัวแทนของความรักนิรันดร์ แต่จะสมหวังหรือไม่นั้นคงแล้วแต่โชคนำพา.......
รูป
หลังจากเสียทรัพย์ไปกับของที่ระลึกแล้ว เราก็ออกมาเดินเล่น
ร้านค้าแถวนี้มีแต่อาตี๋ อาาหมวยนะคะและสินค้าจากจีนด้วยรึเปล่าก็ไม่รู้ แหล่งท่องเที่ยวในอิตาลีก็มีแต่คนต่างชาติเป็นเจ้าของอ่ะค่ะก็คนจีนตามสูตร ที่ไหนมีคนเยอะที่นั่นพี่จีนไม่พลาด อ้อ..พี่แขกก็ด้วย
ประตูเมืองโบราณเก่าแก่มาก อาคารพวกนี้เก่าแก่หลายร้อยปี
น้ำพุนี้เล่นกิมมิคได้น่ารักมาก
เราเดินไปถึงสะพาน Ponte scaligero วิวสวยมากกกกกกกกกกกก อากาศก็ดี
วิวบนสะพาน
ปืนขึ้นไปชมวิว
เหมือนกรอบภาพวาดเลย
เราเดินเล่นกันอยู่นานมาก เดินบ้างพักบ้าง เวโรน่าเป็นเมืองที่โรแมนติคมาก และนักท่องเที่ยวก็ชอบมากันเป็นคู่ๆ
เราขอเตือนว่าถ้ามาคนเดียวจะเหงามาก หรือใครอยากจะลองดูก็ได้นะคะ
เราใช้เวลาอยู่เวโรน่าทั้งวัน เพราะอากาศดี บ้านเมืองสวยงาม สวนสาธารณะมีมาก ริมน้ำก็มีที่ให้นั่งชมวิว เรานั่งจิบกาแฟในสวน มีคนผิวดำเดินป้วนเปี้ยนไปมา (ตามเมืองท่องเที่ยวมีทุกที่) ก็อย่าไปกลัวค่ะ เราว่าแฟนเราน่ากลัวกว่า 55555 ทริคคือทำหน้าดุดุเข้าไว้ อย่าไปทำว่ากลัวหรือล่อกแล่ก มันก็จะไม่กล้ามายุ่งกะเรา ถึงแฟนเราจะหน้าดุแต่จริงๆแล้วนางเป็นคนขี้ใจอ่อนมากกว่าเราซะอีก เวลาเจอคนเร่ร่อนขอทาน นางจะให้เงินเขาตลอดอ่ะ มีครั้งหนึ่งเราซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ตเข้าคิวจ่ายเงินอยู่ มีลุงแก่ๆแต่งตัวโทรมๆอยู่คิวหน้าเรา แกซื้อพิซซ่าชิ้นเดียว หนึ่งยูโรกว่าๆ เห็นแกหยิบเหรียญสิบเซ็น ยี่สิบเซ็นออกมาจ่ายหลายเหรียญมาก เสร็จแล้วแกก็เดินออกไป เราก็จ่ายเงินต่อพอออกมาเราก็เดินเข้าโรงแรมเห็นลุงแกนั่งขอทานอยู่ใต้สะพาน มีลังกระดาษเป็นที่นอน แฟนเราก็เลยค้นหาเหรียญให้ไปหนึ่งยูโร ลุงแกก็ยิ้มให้ แล้วหลังจากวันนั้นมาเราพักโรงแรมนั้นสามคืน แฟนเราก็ให้เงินแกทุกวัน แล้วแต่ว่าจะมีเหรียญอะไร จนวันที่เราย้ายโรงแรม ลุงแกเห็นเราลากกระเป๋าผ่าน แฟนเราก็ให้เงินแกก็พูดเป็นนภาษาอิตาลีประมาณอวยพรให้ นี่คือความใจดีที่ขัดกับหน้าตา แต่เวลาต้องเสียเงินเข้าห้องน้ำครั้งละ 1ยูโร แฟนเราบ่นมากเลย จนป่านนี้ก็ยังบ่นว่าจะฉี่ทีต้องจ่ายเงิน 38-39บาท 555555
เราเพิ่งเคยเห็นต้นมะกอกตัวเป็นๆนี่แหละ
เรากลับมิลานด้วยรถไฟเที่ยว 18.00 น. ถึงมิลาน 19.00น พรุ่งนี้เป็นที่เราจะได้เที่ยววันสุดท้ายในอิตาลี เราจะไป Duomo di Milano กันค่ะ เดี๋ยวมาต่อในกระทู้นี้นะคะ