ทริปอิตาลี 14 วัน โรม, ฟลอเร้นซ์ , ปิซ่า, เวนิส, มิลาน, เวโรน่า
ตอนที่ 1 Rome , Vatican Museum , St.Peter Basilica ,Colosseum , Palatine Hill , Trevi fountain , Santa Maria maggiore
เราออกเดินทางวันที่ 30 เม.ย 2561 – 13 พ.ค 2561
ก่อนหน้านี้เราได้เตรียมตัวสำหรับทริปนี้ประมาณห้าเดือน รวมถึงระยะเวลาในการเตรียมเอกสารยื่นขอวีซ่าเชงเก้นด้วย เมื่อได้วีซ่ามาแล้ว (ไม่เกินห้าวันหลังจากยื่น) ก็จัดการซื้อตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรม ซื้อตั๋วรถไฟความเร็วสูง ซื้อตั๋วพิพิธภัณฑ์ (ที่คาดว่าคนจะเยอะ) ไว้ล่วงหน้า เช่น พิพิธภัณฑ์วาติกัน อันนี้บุ๊คมาร์กไว้เลยว่าต้องซื้อล่วงหน้า เพราะไปเห็นแถวเข้าคิวซื้อตั๋วมาแล้วยาวเป็นกิโลเลย แถบต้องยืนตากแดดไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมงแน่ๆ ดีใจที่เชื่อรีวิวเลยซื้อตั๋วไปก่อนเดินเข้าประตูไปได้เลยไม่ต้องต่อคิวใดใด เราซื้อล่วงหน้าก็มี พิพิธภัณฑ์วาติกัน ที่โรม , Uffizi Gallerry , Palazzo vechio , ที่ Florence. แค่สามที่นอกนั้นไปต่อคิวเอาได้ก็ไม่ยาวมากเท่าไหร่
เราเดินทางกับแฟนสองคน บินสายการบิน Etihad ไปต่อเครื่องที่อาบูดาบี รอต่อเครื่องสามชั่วโมง สายการบินนี้ก็พอใช้ได้แต่เที่ยวขาไปไม่ค่อยประทับใจ ขากลับดีกว่าขามาเยอะ เหมือนคนละสายการบินเลย
เราถึงสนามบิน Fiumicino Airport ประมาณบ่ายสองโมง ออกมาซื้อตั๋วรถไฟเข้าสถานีรถไฟ Roma Termini กว่าจะรู้วิธีซื้อ แฟนเราต้องไปยืนดูเขากดตั๋วที่ตู้ จนฝรั่งที่กดตั๋วอยู่กลัว ระแวงว่าเป็นพวกเร่ร่อนมาขอเงิน 555555 แล้วเราก็กดมาได้ ไม่ยากอย่างที่คิด ดูเขากดสองสามคนก็พอเข้าใจ แต่ก่อนจะขึ้นรถไฟต้องเอาตั๋วไป valid ที่เครื่องในสถานีก่อนค่อยขึ้นนะคะ เรื่องนี้ค่อนข้างเคร่งเพราะถ้านายตรวจมาตรวจแล้วไม่ได้ปั๊ม (valid) ก็จะโดนปรับได้
รูป
รถไฟวิ่งถึงสถานี Roma Termini ประมาณ45นาที สถานีนี้เป็นศูนย์กลางของโรมเลยค่ะ ใหญ่โตมากมีร้านค้าร้านอาหารเยอะแยะ ชั้นG มีซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วย เราใช้บริการทุกวันเลย (สามวันในโรม) สะดวกดี
รูป
รร.ที่เราพักเดินจากสถานีประมาณ สามบล็อกถนนก็ถึง เช็คอินเสร็จเรานอนสลบจนถึงเช้า เพราะเหนื่อยจากการนั่งเครื่องบินยาวๆ ขอพักเอาแรงให้เต็มที่เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องไปพิพิธภัณฑ์วาติกันเป็นที่แรก
รุ่งเช้าทานอาหารเช้าของโรงแรมเติมพลังให้เต็มที่ เราซื้อบัตร Roma Pass 48 hour ได้เข้า Museum ฟรีหนึ่งแห่ง เราเลยตกลงว่จะเอาไว้เข้า Colosseum พรุ่งนี้ แต่บัตรพาสยังไงก็ใช้เข้าวาติกันไม่ได้นะคะ ไม่รวมค่ะ เรานั่งเมโทรไปไม่กี่สถานีก็ถึง เดินไปอีกพอสมควรก็เห็นนครวาติกันแต่ไกลๆ OMG คนเข้าคิวรอซื้อตั๋วยาวเป็นกิโล เลื้อยไปตามถนนแบบไม่เห็นปลายแถวเลยค่ะ ดีที่เราซื้อตั๋วออนไลน์มาแล้วนัดเวลาไว้คือ เก้าโมงครึ่ง เดินเข้าช่องพิเศษ online ticket ได้เลยไม่มีคิว (แต่ต้องเข้าตามเวลาที่นัดมานะคะ) เข้าไปก็แลกใบที่ปริ๊นมาเป็นตั๋วจริงเรียบร้อย เข้าห้องน้ำอะไรให้เสร็จก็เตรียมตัวลุยค่ะ
รูป
พิพิธภัฑ์วาติกัน
ด้วยแฟนเป็นคนที่ชอบเที่ยวพิพิธภัณฑ์ และเรียนโรงเรียนคริสต์มาตั้งแต่เด็ก (แต่เป็นพุทธ) ก็พอมีความรู้เรื่องประวัติภาพวาด(ทางศาสนา)ต่างๆพอสมควร เราสงสัยอะไรก็ถามแฟนได้ แฟนเราดูละเอียด ดูนาน เราจึงใช้เวลาไปกับวาติกันนานโข ตั้งแต่เก้าโมงครึ่งจนถึงบ่ายสามกว่าๆเลยค่ะ แต่แอบเห็นกรุ๊ปทัวร์เขาดูแล้วไปกันเร็วมากๆ มีหลายส่วนที่เขาไม่แวะ เขาแวะดูแค่ส่วนไฮไลท์เท่านั้น แต่เราแวะดูมันทุกอย่างไม่ข้ามสักอย่างเดียว แหม...ตั๋วแพงนะคะเอาให้คุ้มค่ะ เมื่อยก็หามุมนั่งพัก เผอิญมีส่วนที่เป็นสวนมีน้ำพุเล็กๆเราก็นั่งพักกินแซนวิชกันคนละห่อ ก็มีแรงเดินต่อ
รูป
รูปเพียงบางส่วนเอาลงไม่หมดนะคะ มีภาพวาดหนึ่งที่แฟนเราประทับใจมากและไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง (นางบอกว่านางไม่คิดว่าจะมีวาสนาได้เข้ามาดู เอ๊ะ....555555555) ด้วยที่นางเรียนโรงเรียนคริสต์มาตั้งแต่อนุบาลจนจบม.หก แม้จะไม่ได้เป็นคริสต์แต่ก็ซึมซับอะไรหลายๆอย่างมา เช่นเรื่องภาพวาดทางศาสนาที่สำคัญๆ บางรูปได้เห็นมาตั้งแต่เด็ก ร่ำเรียนมาก็เยอะ พอได้มาเห็นจริงอยู่บนเพดานของนครวาติกัน นางก็อึ้งและซาบซึ้งดื่มด่ำไปกับภาพนั้น เราให้เวลาเขาเต็มที่ถึงแม้จะเมื่อยมาก และคนเยอะมากก็ตาม
รูป school of Athens
รูปนี้ชื่อ School of Athens คนวาดคือ ราฟาเอล จิตรกรคนสำคัญของยุคเรเนสซอง ยุคนี้เราไม่มีความรู้เลยเพราะมีแต่ภาพวาดเกี่ยวกับศาสนาซึ่งเป็นยุคที่โรมันคาทอลิค ครอบคลุมทุกอย่าง แม้แต่ศิลปกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม (เราสนใจศิลปะยุคสมัยใหม่ขึ้นมาหน่อยเช่น แวนโกะต์ โมเน่ จึงไม่มีความรู้เรื่องสมัยนี้เลย) แฟนเราเป็นคนอธิบายรูปนี้ให้เราฟัง ในรูปมีนักปราชญ์คนสำคัญในยุกกรีกอยู่หลายคนเช่น เพลโต กับ อริสโตเติ้ล สองคนกลางภาพ กำลังถกปรัญากันออกรส เพลโตชี้ขึ้นบนฟ้ามือถือหนังสือ ที่เขาเป็นคนแต่ง(ชื่ออะไรไปค้นกูเกิ้ลเอานะคะ) อริสโตเติ้ลชี้นิ้วลงดินมือถือหนังสือที่ตัวเองแต่งเหมือนกัน และในรูปนั้นก็มีนักปราชญ์ นักปรัชญาที่มีชื่อเสียงอีกหลายคน โสเครติส ก็มี ราฟาเอล คนวาดภาพนี้ก็วาดตัวเองอยู่ในนั้นแต่เราไม่รู้ว่าคนไหนใครรู้ก็บอกได้นะคะ
เสพภาพวาดกันจนปวดคอไปกันแล้ว จุดไฮไลท์อีกที่คือ คริสติน ชาเปล โบสถ์ศักดิ์สิทธ์ที่วาติกันใช้ประกอบพิธีสำคัญๆ เช่นการคัดเลือกพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ก็คัดเลือกกันในนี้ เขาห้ามถ่ายรูปเลยไม่มีภาพมาให้ดู
เนื่องจากวาติกันนั้นใหญ่โตมโหฬาร ก็เดินชมกันจนปวดเมื่อย คุ้มค่าตั๋วกันเลยล่ะค่ะ บ่ายสามกว่าๆก็ออกมา นั่งเล่นแถว เซนต์ปีเตอร์ ชมความใหญ่โตของนครวาติกัน
แล้วก็จะกลับไปพักผ่อนแต่...ระหว่างทางเราเจอ Castle sent angelo ซึ่งไม่ได้อยู่ในแผน เราเห็นว่ามีเวลาก็เลยจ่ายตังค์เข้าไปชมเสียหน่อย ปราสาทนี้เป็นป้อมปราสาทเก่าแก่ และเคยเป้นที่พำนักของโป๊ปบางพระองค์ยามที่โรมมีภัยสงคราม
รูป
ชอบมุมนีมากค่ะ เห็นนครวาติกันสวยมาก ขอโทษนะคะรูปใหญ่ไปนิดย่อรูปไม่เป็น
ออกจากปราสาทก็เกือบหนึ่งทุ่มยังมีแดดสว่างโร่ ฤดูนี้กลางวันยาวนานมากสามทุ่มยังไม่มืด เลยมีเวลาเที่ยวเยอะ เรากลับถึงโรงแรมเกือบสองทุ่มก็หมดแรงค่ะ
ทริป อิตาลี 14 วัน โรม, ฟลอเร้นซ์ , ปิซ่า, เวนิส, มิลาน, เวโรน่า ตอนที่1
ตอนที่ 1 Rome , Vatican Museum , St.Peter Basilica ,Colosseum , Palatine Hill , Trevi fountain , Santa Maria maggiore
เราออกเดินทางวันที่ 30 เม.ย 2561 – 13 พ.ค 2561
ก่อนหน้านี้เราได้เตรียมตัวสำหรับทริปนี้ประมาณห้าเดือน รวมถึงระยะเวลาในการเตรียมเอกสารยื่นขอวีซ่าเชงเก้นด้วย เมื่อได้วีซ่ามาแล้ว (ไม่เกินห้าวันหลังจากยื่น) ก็จัดการซื้อตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรม ซื้อตั๋วรถไฟความเร็วสูง ซื้อตั๋วพิพิธภัณฑ์ (ที่คาดว่าคนจะเยอะ) ไว้ล่วงหน้า เช่น พิพิธภัณฑ์วาติกัน อันนี้บุ๊คมาร์กไว้เลยว่าต้องซื้อล่วงหน้า เพราะไปเห็นแถวเข้าคิวซื้อตั๋วมาแล้วยาวเป็นกิโลเลย แถบต้องยืนตากแดดไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมงแน่ๆ ดีใจที่เชื่อรีวิวเลยซื้อตั๋วไปก่อนเดินเข้าประตูไปได้เลยไม่ต้องต่อคิวใดใด เราซื้อล่วงหน้าก็มี พิพิธภัณฑ์วาติกัน ที่โรม , Uffizi Gallerry , Palazzo vechio , ที่ Florence. แค่สามที่นอกนั้นไปต่อคิวเอาได้ก็ไม่ยาวมากเท่าไหร่
เราเดินทางกับแฟนสองคน บินสายการบิน Etihad ไปต่อเครื่องที่อาบูดาบี รอต่อเครื่องสามชั่วโมง สายการบินนี้ก็พอใช้ได้แต่เที่ยวขาไปไม่ค่อยประทับใจ ขากลับดีกว่าขามาเยอะ เหมือนคนละสายการบินเลย
เราถึงสนามบิน Fiumicino Airport ประมาณบ่ายสองโมง ออกมาซื้อตั๋วรถไฟเข้าสถานีรถไฟ Roma Termini กว่าจะรู้วิธีซื้อ แฟนเราต้องไปยืนดูเขากดตั๋วที่ตู้ จนฝรั่งที่กดตั๋วอยู่กลัว ระแวงว่าเป็นพวกเร่ร่อนมาขอเงิน 555555 แล้วเราก็กดมาได้ ไม่ยากอย่างที่คิด ดูเขากดสองสามคนก็พอเข้าใจ แต่ก่อนจะขึ้นรถไฟต้องเอาตั๋วไป valid ที่เครื่องในสถานีก่อนค่อยขึ้นนะคะ เรื่องนี้ค่อนข้างเคร่งเพราะถ้านายตรวจมาตรวจแล้วไม่ได้ปั๊ม (valid) ก็จะโดนปรับได้
รูป รถไฟวิ่งถึงสถานี Roma Termini ประมาณ45นาที สถานีนี้เป็นศูนย์กลางของโรมเลยค่ะ ใหญ่โตมากมีร้านค้าร้านอาหารเยอะแยะ ชั้นG มีซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วย เราใช้บริการทุกวันเลย (สามวันในโรม) สะดวกดี
รูป รร.ที่เราพักเดินจากสถานีประมาณ สามบล็อกถนนก็ถึง เช็คอินเสร็จเรานอนสลบจนถึงเช้า เพราะเหนื่อยจากการนั่งเครื่องบินยาวๆ ขอพักเอาแรงให้เต็มที่เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องไปพิพิธภัณฑ์วาติกันเป็นที่แรก
รุ่งเช้าทานอาหารเช้าของโรงแรมเติมพลังให้เต็มที่ เราซื้อบัตร Roma Pass 48 hour ได้เข้า Museum ฟรีหนึ่งแห่ง เราเลยตกลงว่จะเอาไว้เข้า Colosseum พรุ่งนี้ แต่บัตรพาสยังไงก็ใช้เข้าวาติกันไม่ได้นะคะ ไม่รวมค่ะ เรานั่งเมโทรไปไม่กี่สถานีก็ถึง เดินไปอีกพอสมควรก็เห็นนครวาติกันแต่ไกลๆ OMG คนเข้าคิวรอซื้อตั๋วยาวเป็นกิโล เลื้อยไปตามถนนแบบไม่เห็นปลายแถวเลยค่ะ ดีที่เราซื้อตั๋วออนไลน์มาแล้วนัดเวลาไว้คือ เก้าโมงครึ่ง เดินเข้าช่องพิเศษ online ticket ได้เลยไม่มีคิว (แต่ต้องเข้าตามเวลาที่นัดมานะคะ) เข้าไปก็แลกใบที่ปริ๊นมาเป็นตั๋วจริงเรียบร้อย เข้าห้องน้ำอะไรให้เสร็จก็เตรียมตัวลุยค่ะ
รูป พิพิธภัฑ์วาติกัน
ด้วยแฟนเป็นคนที่ชอบเที่ยวพิพิธภัณฑ์ และเรียนโรงเรียนคริสต์มาตั้งแต่เด็ก (แต่เป็นพุทธ) ก็พอมีความรู้เรื่องประวัติภาพวาด(ทางศาสนา)ต่างๆพอสมควร เราสงสัยอะไรก็ถามแฟนได้ แฟนเราดูละเอียด ดูนาน เราจึงใช้เวลาไปกับวาติกันนานโข ตั้งแต่เก้าโมงครึ่งจนถึงบ่ายสามกว่าๆเลยค่ะ แต่แอบเห็นกรุ๊ปทัวร์เขาดูแล้วไปกันเร็วมากๆ มีหลายส่วนที่เขาไม่แวะ เขาแวะดูแค่ส่วนไฮไลท์เท่านั้น แต่เราแวะดูมันทุกอย่างไม่ข้ามสักอย่างเดียว แหม...ตั๋วแพงนะคะเอาให้คุ้มค่ะ เมื่อยก็หามุมนั่งพัก เผอิญมีส่วนที่เป็นสวนมีน้ำพุเล็กๆเราก็นั่งพักกินแซนวิชกันคนละห่อ ก็มีแรงเดินต่อ
รูป
รูปเพียงบางส่วนเอาลงไม่หมดนะคะ มีภาพวาดหนึ่งที่แฟนเราประทับใจมากและไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง (นางบอกว่านางไม่คิดว่าจะมีวาสนาได้เข้ามาดู เอ๊ะ....555555555) ด้วยที่นางเรียนโรงเรียนคริสต์มาตั้งแต่อนุบาลจนจบม.หก แม้จะไม่ได้เป็นคริสต์แต่ก็ซึมซับอะไรหลายๆอย่างมา เช่นเรื่องภาพวาดทางศาสนาที่สำคัญๆ บางรูปได้เห็นมาตั้งแต่เด็ก ร่ำเรียนมาก็เยอะ พอได้มาเห็นจริงอยู่บนเพดานของนครวาติกัน นางก็อึ้งและซาบซึ้งดื่มด่ำไปกับภาพนั้น เราให้เวลาเขาเต็มที่ถึงแม้จะเมื่อยมาก และคนเยอะมากก็ตาม
รูป school of Athens
รูปนี้ชื่อ School of Athens คนวาดคือ ราฟาเอล จิตรกรคนสำคัญของยุคเรเนสซอง ยุคนี้เราไม่มีความรู้เลยเพราะมีแต่ภาพวาดเกี่ยวกับศาสนาซึ่งเป็นยุคที่โรมันคาทอลิค ครอบคลุมทุกอย่าง แม้แต่ศิลปกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม (เราสนใจศิลปะยุคสมัยใหม่ขึ้นมาหน่อยเช่น แวนโกะต์ โมเน่ จึงไม่มีความรู้เรื่องสมัยนี้เลย) แฟนเราเป็นคนอธิบายรูปนี้ให้เราฟัง ในรูปมีนักปราชญ์คนสำคัญในยุกกรีกอยู่หลายคนเช่น เพลโต กับ อริสโตเติ้ล สองคนกลางภาพ กำลังถกปรัญากันออกรส เพลโตชี้ขึ้นบนฟ้ามือถือหนังสือ ที่เขาเป็นคนแต่ง(ชื่ออะไรไปค้นกูเกิ้ลเอานะคะ) อริสโตเติ้ลชี้นิ้วลงดินมือถือหนังสือที่ตัวเองแต่งเหมือนกัน และในรูปนั้นก็มีนักปราชญ์ นักปรัชญาที่มีชื่อเสียงอีกหลายคน โสเครติส ก็มี ราฟาเอล คนวาดภาพนี้ก็วาดตัวเองอยู่ในนั้นแต่เราไม่รู้ว่าคนไหนใครรู้ก็บอกได้นะคะ
เสพภาพวาดกันจนปวดคอไปกันแล้ว จุดไฮไลท์อีกที่คือ คริสติน ชาเปล โบสถ์ศักดิ์สิทธ์ที่วาติกันใช้ประกอบพิธีสำคัญๆ เช่นการคัดเลือกพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ก็คัดเลือกกันในนี้ เขาห้ามถ่ายรูปเลยไม่มีภาพมาให้ดู
เนื่องจากวาติกันนั้นใหญ่โตมโหฬาร ก็เดินชมกันจนปวดเมื่อย คุ้มค่าตั๋วกันเลยล่ะค่ะ บ่ายสามกว่าๆก็ออกมา นั่งเล่นแถว เซนต์ปีเตอร์ ชมความใหญ่โตของนครวาติกัน
แล้วก็จะกลับไปพักผ่อนแต่...ระหว่างทางเราเจอ Castle sent angelo ซึ่งไม่ได้อยู่ในแผน เราเห็นว่ามีเวลาก็เลยจ่ายตังค์เข้าไปชมเสียหน่อย ปราสาทนี้เป็นป้อมปราสาทเก่าแก่ และเคยเป้นที่พำนักของโป๊ปบางพระองค์ยามที่โรมมีภัยสงคราม
รูป
ชอบมุมนีมากค่ะ เห็นนครวาติกันสวยมาก ขอโทษนะคะรูปใหญ่ไปนิดย่อรูปไม่เป็น
ออกจากปราสาทก็เกือบหนึ่งทุ่มยังมีแดดสว่างโร่ ฤดูนี้กลางวันยาวนานมากสามทุ่มยังไม่มืด เลยมีเวลาเที่ยวเยอะ เรากลับถึงโรงแรมเกือบสองทุ่มก็หมดแรงค่ะ