1. นักวิจัยหญิงผู้มากับความหวังใหม่
ย้อนกลับไปเมื่อสี่ปีก่อน ในเดือนมกราคม ปี 2014
วงการนักวิจัย Stem Cell ทั่วโลกต่างก็พากันตื่นเต้นกับ Paper เรื่องการสร้าง STAP cell ซึ่งมีอยู่สองฉบับด้วยกัน และถูกตีพิมพ์ใน วารสารวิทยาศาสตร์ระดับโลกอย่าง Nature ทีมผู้วิจัยใน Paper 2 ดังกล่าว ได้อ้างถึงเทคนิคใหม่ในการสร้าง Stem cell ด้วยการนำ Cell ธรรมดาของหนู มาแช่ในสารละลายที่เป็นกรดอ่อนๆ และทำให้เซลล์นั้น เปลี่ยนสภาพกลับไปเป็นเซลล์ต้นกำเนิดได้ Stem Cell ที่ได้จากการวิจัยนี้นั้น ถูกเรียกว่า Stimulus-triggered acquisition of pluripotency หรือ STAP cell นั้นเอง
ความสำเร็จดังกล่าว ได้ทำให้หัวหน้าทีมนักวิจัยอย่าง ดร. ฮารุโกะ โอโบคาตะ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วญี่ปุ่นในชั่วข้ามคืน
เพราะเมื่อสองปีที่ผ่านมา ซึ่งก็คือปี 2012 นั้น คนญี่ปุ่นทั่วประเทศก็ได้ภาคภูมิใจจากการที่ ชินยะ ยามานากะ นักวิจัยชาวญี่ปุ่นได้คว้ารางวัลโนเบลสาขาแพทยศาสตร์ร่วมกับ Sir John Gurdon นักวิจัยชาวอังกฤษจากการวิจัยเรื่อง การสร้าง Stem cell แบบ IPS cells หรือ Induced Pluripotent Stem Cells มาแล้ว
อย่างไรก็ตาม เทคนิคการสร้าง STAP cell นั้น เมื่อเทียบกับเทคนิคการสร้าง IPS cell นั้น นับว่ารวดเร็วกว่า และซับซ้อนน้อยกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็หมายความว่า รางวัลโนเบลที่ได้รับการยกย่องไปทั่วโลกนั้น ก็ไม่ไกลเกินเอื้อมมือของ ดร. ฮารุโกะ โอโบคาตะ คนนี้แล้ว
ไม่เพียงแค่นั้น ด้วยความที่เธอเป็นนักวิจัยสาววัย 30 และหน้าตาและการแต่งตัวก็ถือว่าน่ารักพอตัว เธอก็กลายเป็นขวัญใจของชาวญี่ปุ่นในเวลาอันไม่นานนัก ในขณะเดียวกัน ผู้หญิงชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย ก็มองด้วยสายตาอันเปี่ยมความหวังว่า ยุคแห่งพลังสตรี กำลังจะมาเยือนประเทศญี่ปุ่นแล้ว
อาจจะไม่ได้สวยขนาดดารา แต่ Square Enix ก็เคยเอาเธอไปทำเป็นตัวละครในเกมมาแล้วนะ
-----------------------------------
2. นางฟ้าแห่งวงการวิทย์ตกสวรรค์
แต่แล้ว ชะตาชีวิตของเธอก็ถึงคราวพลิกผัน หลังจากที่ผลงานของเธอได้รับตีพิมพ์ใน Nature ได้ไม่นาน นักวิจัยรายอื่นๆ ได้ทดลองตามวิธีการของเธอ แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เลยทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งข้อสงสัยในงานวิจัยต่างๆของเธอ และก่อเป็นกระแสตามล่าหาความจริง ซึ่งทำให้มีการค้นพบเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลหลายประกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเรื่อง การลอกผลงาน (Plagiarism) ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะบทความเรื่อง STAP cell เท่านั้น แต่ยังลาม
ไปถึงวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเธออีกด้วย
สวรรค์ที่เคยมองเห็นอยู่รำไร ก็กลายพลันหายวับ และมรสุมต่างๆ ก็พากันถาโถมเข้ามาสู่ ดร. ฮารุโกะ โอโบคาตะ อย่างต่อเนื่อง
1 เมษายน 2014 RIKEN หน่วยงานวิจัยต้นสังกัดของเธอ ออกมาแถลงว่า เธอได้ประพฤติผิดจริยธรรมการวิจัย ด้วยการปั้นข้อมูลเท็จ และดัดแปลงภาพการทดลอง
9 เมษายน 2014 ดร. ฮารุโกะ โอโบคาตะ ออกมาแถลงการณ์ด้วยน้ำตานองหน้า แต่เธอก็ยังคงยืนยันว่า "STAP cell มีอยู่จริงนะคะ"
(STAP 細胞はあります)
4 มิถุนายน 2014 เธอยินยอมให้ทาง Nature ถอนผลงาน Paper ทั้งสองฉบับของเธอออก
5 สิงหาคม 2014 ดร. โยชิกิ ซาซาอิ ที่ปรึกษาของ ฮารุโกะ โอโบคาตะ และผู้เขียนร่วม paper เรื่อง Stap Cell ตัดสินใจฆ่าตัวตาย โดยข้อความหนึ่งที่อยู่ในจดหมายลาตายเขียนไว้ว่า "สร้าง Stap Cell ขึ้นมาใหม่ให้ได้นะ"
ธันวาคม 2014 ฮารุโกะ ลาออกจากสถาบัน RIKEN หลังจากที่ได้พยายามทำการทดลองสร้าง STAP cell ขึ้นมาใหม่ มาเป็นเวลากว่า 3 เดือน แต่ไม่สำเร็จ ทั้งๅที่ก่อนหน้านี้ เธอเคยกล่าวว่า เธอเคยทดลองสร้าง STAP Cell ใหม่เป็นผลสำเร็จมากว่า 200 ครั้ง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการทดลองรอบแก้ตัวนี้ ทาง RIKEN กำหนดให้เธอทำการทดลองในห้องทดลองติดกล้อง และมีนักวิทยาศาสตร์รายอื่นสังเกตการณ์ด้วย
ตุลาคม 2015 มหาวิทยาลัยวาเซดะ ที่ซึ่งเธอสำเร็จการศึกษาปริญญาเอกนั้น ตัดสินใจถอนวุฒิปริญญาเอกของเธอออก
นี่นับเป็นช่วงเวลาอันมืดมน เธอเริ่มหลบลี้หนีหน้าผู้คน ว่ากันว่า มีผู้ประกอบการหัวใสรายหนึ่งถึงขั้นมาเสนอเงินหลักหลายสิบล้านเยนเพื่อทาบทามเธอไปเล่นหนัง AV เลยทีเดียว
ท่าทีของสาธารณชนชาวญี่ปุ่นที่มีต่อเธอนั้น ก็มีแตกต่างกันไป ในขณะที่คนส่วนใหญ่รู้สึกผิดหวัง โกรธแค้น หรือเย้ยหยันเธอในฐานะ ผู้หญิงโกหกคนหนึ่ง แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อย ที่ยังเชื่อว่า เธอนั้นเป็นคนมีฝีมือที่ถูกกลั่นแกล้งโดยวงการวิชาชีพที่ผู้ชายเป็นใหญ่ และเธอก็ยังพยายามอยู่ที่จะกลับมาอีกครั้ง บางคนก็บอกว่า มีข่าววงในว่า สถาบันวิจัยหลายสถาบันทั้งในและนอกประเทศกำลังพยายามทาบทามเธอไปทำงานด้วยอยู่
ในช่วงต้นปี 2016 ฮารุโกะ โอโบคาตะ ได้พยายามกลับมาอีกครั้งด้วยการเปิดตัว หนังสือชื่อ "เรื่องราววันนั้น" (あの日)ที่พยายามกล่าวถึงประเด็นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิทยานิพนธ์ ปริญญาเอก การทดลองสร้าง Stap cell ใหม่ที่ล้มเหลว หนังสือนับว่าประสบความสำเร็จในยอดขาย โดยได้เป็นหนังสือขายดีอันดับหนึ่ง บน Amazon.jp และเป็นที่คาดการณ์ว่า เธอน่าจะได้ค่าลิขสิทธิ์หนังสือประมาณ 7 ล้านเยน
ในปีเดียวกันนั้น เธอก็ได้จัดทำเว็บไซต์ภาษาอังกฤษชื่อ STAP hope page เพื่อเป็นเวทีในการเผยแพร่ข้อมูลวิธีการทดลองทำ STAP Cell โดยที่หวังว่าจะมีนักวิจัยสักกลุ่ม นำข้อมูลของเธอไปต่อยอดจนเป็นผลสำเร็จ ในเว็บ เธอได้กล่าวว่า ตอนนี้เธอยังต้องเข้ารับการรักษาอาการเจ็บป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจอยู่ แต่เธอก็จะพยายาม เพิ่มเติมข้อมูลต่างๆเข้าไปเมื่อมีโอกาส
อย่างไรก็ตาม การ updateข้อมูลบนเว็บไซต์ ก็หยุดอยู่เพียง เดือนเมษายน 2016 เท่านั้น และไม่มีข้อมูลอะไรต่ออีก
และแล้ว ชื่อของ ฮารุโกะ โอโบคาตะก็เริ่มจางหายไปกับกาลเวลา
-----------------------------------------------------
3. การกลับมาอีกครั้งของ ฮารุโกะ โอโบคาตะ
หลังจากที่กาลเวลาล่วงเลยไป 4 ปีหลังจากกรณี Stap Cell ฮารุโกะ โอโบคาตะ ก็ได้กลับมาเป็น Talk of the town อีกครั้ง
โดยในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เธอได้เปิดตัวหนังสือเล่มใหม่เรื่อง "ไดอารี่ ของ ฮารุโกะ โอโบคาตะ" ซึ่งเล่าเรื่องราว 650 วันหลังจากที่เธอลาออกจาก Riken คำโปรยของหนังสือเขียนไว้ว่า "ท่ามกลางความสิ้นหวัง ประกายแสงแห่งการฟื้นคืนได้ถูกจุดขึ้น"
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นที่ฮือฮา ไม่ใช่แค่หนังสืออย่างเดียว แต่เป็นรูปประกอบของผู้เขียนที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นต้องตะลึง
ในขณะที่กระแสความตะลึงยังไม่จางหายไป เดือนพฤษภาคมนี้นี่เอง ฮารุโกะ โอโบคาตะก็ปรากฎตัวอีกครั้งใน Shunkan Bunshun
นิตยสาร Tabloid ที่เป็นแฟนๆวงการไอดอลญี่ปุ่นคงรู้จักกันดีในฐานะที่เป็นคู่อาฆาตของวง AKB48
โดยในคราวนี้ เธอได้ตกลงที่จะถ่ายแบบลงในวารสารด้วย
การปรากฎตัวในปี 2018 นี้ได้ทำให้เกิดความฮือฮาขึ้นในหมู่ชาวญี่ปุ่นอีกครั้งหนึ่ง
บางคนก็อึ้งที่เธอสวยขึ้นเป็นกอง
บางคนก็ตั้งข้อสังเกตว่า เธอไม่เพียงสวยขึ้น แต่รวยขึ้นด้วย เพราะชุดที่ใส่เป็นแบรนด์กุชชี่ ตัวละประมาณสองแสนกว่าเยน
คนที่เห็นใจเธอ ก็ยินดีว่า เธอคงเข้มแข็งขึ้นจากการฟันฝ่ามรสุมชีวิตแล้ว และพร้อมที่จะกลับมาสู่วงการวิทยาศาสตร์และกู้ชื่อเสียงให้ตัวเองอีกครั้ง
คนที่เกลียดเธอ ก็บอกว่า เอาเวลาทำสวยไปเขียนวิทยานิพนธ์เถอะ / ใจหิน ไม่เห็นใจครอบครัวผู้ตายเลย
สายฮาบางคนก็เล่นมุขว่า เธอทดลอง STAP cell ได้สำเร็จ และทดลองใช้กับตัวเอง
สายหื่นบางคนก็บอกว่า คราวหน้าขอชุดว่ายน้ำหน่อยนะครัช
หลังจากอ่านข่าวเร็วๆนี้ของ ฮารุโกะ โอโบคาตะ แล้ว
อยู่ๆพล็อตละคร/นิยาย เกี่ยวกับ พระเอก/นางเอกที่เจอเหตุอัปยศ แล้วไปฝึกปรือตัวเองมาจนแข็งแกร่งขึ้น และกู้เกียรติกลับมาให้ตนเองสำเร็จ ก็เข้ามาในหัวของผมทันที
ชีวิตของ ฮารุโกะ โอโบคาตะ คนนี้ จะเป็นไปตามพล็อตดังกล่าวหรือไม่
หรือว่า ในละครชีวิตเรื่องนี้ เธอจะเป็นเพียงนางร้าย ที่มีคนเห็นใจเพียงเพราะความสวยน่ารักเท่านั้น
นับจากนี้ไป เธอจะกลับไปเดินเส้นทางของนักวิทยาศาสตร์ต่อ และกลับมาสร้างผลงานวิจัยใหม่ๆหรือไม่ (ถ้าทำสำเร็จคงได้อารมณ์ น้องเฌอปรางรุ่นใหญ่ วัย 34 แทน) หรือจะไปเอาดีกับการเป็นนักเขียนแทน
เรื่องนี้คงต้องดูต่อไปยาวๆครับ
แต่ที่แน่ๆผมคงลองหาหนังสือของเธอมาอ่านดูครับ ชีวิตคงดราม่าจริงๆ
การกลับมาที่"น่าตะลึง"ของ "ฮารุโกะ โอโบคาตะ" นางฟ้าตกสวรรค์แห่งวงการวิทย์ญี่ปุ่น
ย้อนกลับไปเมื่อสี่ปีก่อน ในเดือนมกราคม ปี 2014
วงการนักวิจัย Stem Cell ทั่วโลกต่างก็พากันตื่นเต้นกับ Paper เรื่องการสร้าง STAP cell ซึ่งมีอยู่สองฉบับด้วยกัน และถูกตีพิมพ์ใน วารสารวิทยาศาสตร์ระดับโลกอย่าง Nature ทีมผู้วิจัยใน Paper 2 ดังกล่าว ได้อ้างถึงเทคนิคใหม่ในการสร้าง Stem cell ด้วยการนำ Cell ธรรมดาของหนู มาแช่ในสารละลายที่เป็นกรดอ่อนๆ และทำให้เซลล์นั้น เปลี่ยนสภาพกลับไปเป็นเซลล์ต้นกำเนิดได้ Stem Cell ที่ได้จากการวิจัยนี้นั้น ถูกเรียกว่า Stimulus-triggered acquisition of pluripotency หรือ STAP cell นั้นเอง
ความสำเร็จดังกล่าว ได้ทำให้หัวหน้าทีมนักวิจัยอย่าง ดร. ฮารุโกะ โอโบคาตะ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วญี่ปุ่นในชั่วข้ามคืน
เพราะเมื่อสองปีที่ผ่านมา ซึ่งก็คือปี 2012 นั้น คนญี่ปุ่นทั่วประเทศก็ได้ภาคภูมิใจจากการที่ ชินยะ ยามานากะ นักวิจัยชาวญี่ปุ่นได้คว้ารางวัลโนเบลสาขาแพทยศาสตร์ร่วมกับ Sir John Gurdon นักวิจัยชาวอังกฤษจากการวิจัยเรื่อง การสร้าง Stem cell แบบ IPS cells หรือ Induced Pluripotent Stem Cells มาแล้ว
อย่างไรก็ตาม เทคนิคการสร้าง STAP cell นั้น เมื่อเทียบกับเทคนิคการสร้าง IPS cell นั้น นับว่ารวดเร็วกว่า และซับซ้อนน้อยกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็หมายความว่า รางวัลโนเบลที่ได้รับการยกย่องไปทั่วโลกนั้น ก็ไม่ไกลเกินเอื้อมมือของ ดร. ฮารุโกะ โอโบคาตะ คนนี้แล้ว
ไม่เพียงแค่นั้น ด้วยความที่เธอเป็นนักวิจัยสาววัย 30 และหน้าตาและการแต่งตัวก็ถือว่าน่ารักพอตัว เธอก็กลายเป็นขวัญใจของชาวญี่ปุ่นในเวลาอันไม่นานนัก ในขณะเดียวกัน ผู้หญิงชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย ก็มองด้วยสายตาอันเปี่ยมความหวังว่า ยุคแห่งพลังสตรี กำลังจะมาเยือนประเทศญี่ปุ่นแล้ว
อาจจะไม่ได้สวยขนาดดารา แต่ Square Enix ก็เคยเอาเธอไปทำเป็นตัวละครในเกมมาแล้วนะ
-----------------------------------
2. นางฟ้าแห่งวงการวิทย์ตกสวรรค์
แต่แล้ว ชะตาชีวิตของเธอก็ถึงคราวพลิกผัน หลังจากที่ผลงานของเธอได้รับตีพิมพ์ใน Nature ได้ไม่นาน นักวิจัยรายอื่นๆ ได้ทดลองตามวิธีการของเธอ แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เลยทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งข้อสงสัยในงานวิจัยต่างๆของเธอ และก่อเป็นกระแสตามล่าหาความจริง ซึ่งทำให้มีการค้นพบเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลหลายประกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเรื่อง การลอกผลงาน (Plagiarism) ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะบทความเรื่อง STAP cell เท่านั้น แต่ยังลาม
ไปถึงวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเธออีกด้วย
สวรรค์ที่เคยมองเห็นอยู่รำไร ก็กลายพลันหายวับ และมรสุมต่างๆ ก็พากันถาโถมเข้ามาสู่ ดร. ฮารุโกะ โอโบคาตะ อย่างต่อเนื่อง
1 เมษายน 2014 RIKEN หน่วยงานวิจัยต้นสังกัดของเธอ ออกมาแถลงว่า เธอได้ประพฤติผิดจริยธรรมการวิจัย ด้วยการปั้นข้อมูลเท็จ และดัดแปลงภาพการทดลอง
9 เมษายน 2014 ดร. ฮารุโกะ โอโบคาตะ ออกมาแถลงการณ์ด้วยน้ำตานองหน้า แต่เธอก็ยังคงยืนยันว่า "STAP cell มีอยู่จริงนะคะ"
(STAP 細胞はあります)
4 มิถุนายน 2014 เธอยินยอมให้ทาง Nature ถอนผลงาน Paper ทั้งสองฉบับของเธอออก
5 สิงหาคม 2014 ดร. โยชิกิ ซาซาอิ ที่ปรึกษาของ ฮารุโกะ โอโบคาตะ และผู้เขียนร่วม paper เรื่อง Stap Cell ตัดสินใจฆ่าตัวตาย โดยข้อความหนึ่งที่อยู่ในจดหมายลาตายเขียนไว้ว่า "สร้าง Stap Cell ขึ้นมาใหม่ให้ได้นะ"
ธันวาคม 2014 ฮารุโกะ ลาออกจากสถาบัน RIKEN หลังจากที่ได้พยายามทำการทดลองสร้าง STAP cell ขึ้นมาใหม่ มาเป็นเวลากว่า 3 เดือน แต่ไม่สำเร็จ ทั้งๅที่ก่อนหน้านี้ เธอเคยกล่าวว่า เธอเคยทดลองสร้าง STAP Cell ใหม่เป็นผลสำเร็จมากว่า 200 ครั้ง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการทดลองรอบแก้ตัวนี้ ทาง RIKEN กำหนดให้เธอทำการทดลองในห้องทดลองติดกล้อง และมีนักวิทยาศาสตร์รายอื่นสังเกตการณ์ด้วย
ตุลาคม 2015 มหาวิทยาลัยวาเซดะ ที่ซึ่งเธอสำเร็จการศึกษาปริญญาเอกนั้น ตัดสินใจถอนวุฒิปริญญาเอกของเธอออก
นี่นับเป็นช่วงเวลาอันมืดมน เธอเริ่มหลบลี้หนีหน้าผู้คน ว่ากันว่า มีผู้ประกอบการหัวใสรายหนึ่งถึงขั้นมาเสนอเงินหลักหลายสิบล้านเยนเพื่อทาบทามเธอไปเล่นหนัง AV เลยทีเดียว
ท่าทีของสาธารณชนชาวญี่ปุ่นที่มีต่อเธอนั้น ก็มีแตกต่างกันไป ในขณะที่คนส่วนใหญ่รู้สึกผิดหวัง โกรธแค้น หรือเย้ยหยันเธอในฐานะ ผู้หญิงโกหกคนหนึ่ง แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อย ที่ยังเชื่อว่า เธอนั้นเป็นคนมีฝีมือที่ถูกกลั่นแกล้งโดยวงการวิชาชีพที่ผู้ชายเป็นใหญ่ และเธอก็ยังพยายามอยู่ที่จะกลับมาอีกครั้ง บางคนก็บอกว่า มีข่าววงในว่า สถาบันวิจัยหลายสถาบันทั้งในและนอกประเทศกำลังพยายามทาบทามเธอไปทำงานด้วยอยู่
ในช่วงต้นปี 2016 ฮารุโกะ โอโบคาตะ ได้พยายามกลับมาอีกครั้งด้วยการเปิดตัว หนังสือชื่อ "เรื่องราววันนั้น" (あの日)ที่พยายามกล่าวถึงประเด็นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิทยานิพนธ์ ปริญญาเอก การทดลองสร้าง Stap cell ใหม่ที่ล้มเหลว หนังสือนับว่าประสบความสำเร็จในยอดขาย โดยได้เป็นหนังสือขายดีอันดับหนึ่ง บน Amazon.jp และเป็นที่คาดการณ์ว่า เธอน่าจะได้ค่าลิขสิทธิ์หนังสือประมาณ 7 ล้านเยน
ในปีเดียวกันนั้น เธอก็ได้จัดทำเว็บไซต์ภาษาอังกฤษชื่อ STAP hope page เพื่อเป็นเวทีในการเผยแพร่ข้อมูลวิธีการทดลองทำ STAP Cell โดยที่หวังว่าจะมีนักวิจัยสักกลุ่ม นำข้อมูลของเธอไปต่อยอดจนเป็นผลสำเร็จ ในเว็บ เธอได้กล่าวว่า ตอนนี้เธอยังต้องเข้ารับการรักษาอาการเจ็บป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจอยู่ แต่เธอก็จะพยายาม เพิ่มเติมข้อมูลต่างๆเข้าไปเมื่อมีโอกาส
อย่างไรก็ตาม การ updateข้อมูลบนเว็บไซต์ ก็หยุดอยู่เพียง เดือนเมษายน 2016 เท่านั้น และไม่มีข้อมูลอะไรต่ออีก
และแล้ว ชื่อของ ฮารุโกะ โอโบคาตะก็เริ่มจางหายไปกับกาลเวลา
-----------------------------------------------------
3. การกลับมาอีกครั้งของ ฮารุโกะ โอโบคาตะ
หลังจากที่กาลเวลาล่วงเลยไป 4 ปีหลังจากกรณี Stap Cell ฮารุโกะ โอโบคาตะ ก็ได้กลับมาเป็น Talk of the town อีกครั้ง
โดยในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เธอได้เปิดตัวหนังสือเล่มใหม่เรื่อง "ไดอารี่ ของ ฮารุโกะ โอโบคาตะ" ซึ่งเล่าเรื่องราว 650 วันหลังจากที่เธอลาออกจาก Riken คำโปรยของหนังสือเขียนไว้ว่า "ท่ามกลางความสิ้นหวัง ประกายแสงแห่งการฟื้นคืนได้ถูกจุดขึ้น"
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นที่ฮือฮา ไม่ใช่แค่หนังสืออย่างเดียว แต่เป็นรูปประกอบของผู้เขียนที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นต้องตะลึง
ในขณะที่กระแสความตะลึงยังไม่จางหายไป เดือนพฤษภาคมนี้นี่เอง ฮารุโกะ โอโบคาตะก็ปรากฎตัวอีกครั้งใน Shunkan Bunshun
นิตยสาร Tabloid ที่เป็นแฟนๆวงการไอดอลญี่ปุ่นคงรู้จักกันดีในฐานะที่เป็นคู่อาฆาตของวง AKB48
โดยในคราวนี้ เธอได้ตกลงที่จะถ่ายแบบลงในวารสารด้วย
การปรากฎตัวในปี 2018 นี้ได้ทำให้เกิดความฮือฮาขึ้นในหมู่ชาวญี่ปุ่นอีกครั้งหนึ่ง
บางคนก็อึ้งที่เธอสวยขึ้นเป็นกอง
บางคนก็ตั้งข้อสังเกตว่า เธอไม่เพียงสวยขึ้น แต่รวยขึ้นด้วย เพราะชุดที่ใส่เป็นแบรนด์กุชชี่ ตัวละประมาณสองแสนกว่าเยน
คนที่เห็นใจเธอ ก็ยินดีว่า เธอคงเข้มแข็งขึ้นจากการฟันฝ่ามรสุมชีวิตแล้ว และพร้อมที่จะกลับมาสู่วงการวิทยาศาสตร์และกู้ชื่อเสียงให้ตัวเองอีกครั้ง
คนที่เกลียดเธอ ก็บอกว่า เอาเวลาทำสวยไปเขียนวิทยานิพนธ์เถอะ / ใจหิน ไม่เห็นใจครอบครัวผู้ตายเลย
สายฮาบางคนก็เล่นมุขว่า เธอทดลอง STAP cell ได้สำเร็จ และทดลองใช้กับตัวเอง
สายหื่นบางคนก็บอกว่า คราวหน้าขอชุดว่ายน้ำหน่อยนะครัช
หลังจากอ่านข่าวเร็วๆนี้ของ ฮารุโกะ โอโบคาตะ แล้ว
อยู่ๆพล็อตละคร/นิยาย เกี่ยวกับ พระเอก/นางเอกที่เจอเหตุอัปยศ แล้วไปฝึกปรือตัวเองมาจนแข็งแกร่งขึ้น และกู้เกียรติกลับมาให้ตนเองสำเร็จ ก็เข้ามาในหัวของผมทันที
ชีวิตของ ฮารุโกะ โอโบคาตะ คนนี้ จะเป็นไปตามพล็อตดังกล่าวหรือไม่
หรือว่า ในละครชีวิตเรื่องนี้ เธอจะเป็นเพียงนางร้าย ที่มีคนเห็นใจเพียงเพราะความสวยน่ารักเท่านั้น
นับจากนี้ไป เธอจะกลับไปเดินเส้นทางของนักวิทยาศาสตร์ต่อ และกลับมาสร้างผลงานวิจัยใหม่ๆหรือไม่ (ถ้าทำสำเร็จคงได้อารมณ์ น้องเฌอปรางรุ่นใหญ่ วัย 34 แทน) หรือจะไปเอาดีกับการเป็นนักเขียนแทน
เรื่องนี้คงต้องดูต่อไปยาวๆครับ
แต่ที่แน่ๆผมคงลองหาหนังสือของเธอมาอ่านดูครับ ชีวิตคงดราม่าจริงๆ