ความเดิมตอนที่แล้ว
https://ppantip.com/topic/37675314
ห้องแคนทีนในเวลาบ่ายสองครึ่ง ยังคงมีพนักงานกะเช้าที่เพิ่งเคลียร์งานของตัวเองเสร็จมานั่งรับประทานอาหารกันอยู่อย่างประปราย
เมนูมื้อเที่ยงวันนี้คือข้าวมันไก่ ได้น้ำซุบร้อนๆ ที่เพิ่งถูกยกขึ้นจากเตาด้วยความกรุณาของป้ากุ๊กช่วยอุ่นให้อีกรอบ รับประทานคู่กับพริกดอกเขียวและต้นหอมอ่อนกรุบกริบกับแตงกวาสไลซ์ขนาดพอคำ เพียงเท่านี้มื้อเที่ยงที่ปีกุนโหยหามาตั้งนานก็กลายเป็นของขวัญอันล้ำค่า พอจะชดเชยกับศักดิ์ศรีความเป็นลูกช่างที่เพิ่งสูญเสียไปได้ทันที
เมล็ดข้าวสีขาวหม่นมันวาวพร้อมกับไก่ต้มสุกราดซอสเต้าเจี้ยวผสมขิงปั่นสูตรป้ากุ๊กปริมาณพูนช้อน ถูกเธอตักเสิร์ฟเข้าปากอย่างเนิบช้า หญิงสาวค่อยๆ พริ้มตาลงอย่างแสนสุข ปล่อยให้เมล็ดข้าวและชิ้นไก่ถูกบดเคี้ยวอย่างละเมียดละไม กลิ่นรากผักชีและขิงแก่ที่ถูกผสมอยู่ในซอสเต้าเจี้ยวส่งกลิ่นหอมอบอวลอยู่ในปาก
อืมม์... ช่างเป็นมื้อเที่ยงที่ดีงามอะไรเช่นนี้... ปีกุนคิดกับตัวเองขณะเคี้ยวหมดไปได้เพียงแค่หนึ่งคำ และกำลังจะเอื้อมตักซุปหอมกรุ่นควันร้อนๆ ขึ้นจากถ้วย หากแต่กลับต้องชะงักมือด้วยเสียงเรียกอันแหบแห้งที่ดังมาจากด้านหลัง
“ลูกหมู” ลุงยามหอบแฮ่ก “กินข้าวอยู่นี่เอง วอหาช่างไม่มีใครตอบสักคน มีเรื่องให้ช่วย”
"อีกแล้วเหรอ!" หญิงสาวพ่นลมหายใจยาวเหยียด “คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ”
“จับแมว”
“ห๊ะ จับแมว!”
ลุงยามพยักหน้า "ลูกแมวมันปีนขึ้นไปเดินเล่นอยู่บนกิ่งต้นมะเดื่อริมระเบียงห้องลูกค้าวีไอพี แม่บ้านช่วยกันเอื้อมจับแล้ว แต่เอื้อมจับไม่ถึง วอตามนายอูคนสวน นายอูก็ไม่ตอบวอเหมือนกัน สงสัยปีนขึ้นไปเกี่ยวลูกมะพร้าวอยู่บนยอด ลุงเลยโดนหน้าฟร้อนท์ใช้ให้มาตามช่างช่วยปีนขึ้นไปจับให้ที"
"มันก็แค่แมวไหม ไม่ใช่งูเขียวหางไหม้สักหน่อย" เธอพูดพร้อมๆ กับมือที่ตักข้าวมันไก่ใส่ปากอีกคำ เน้นชิ้นที่เนื้อแน่นๆหนังหนาๆเลยรอบนี้
ลุงยามทำหน้าเศร้า
"แต่แขกห้องนั้นเขากลัวแมวมาก ช่วยไปจับลงมาให้หน่อยเถอะ"
"เดี๋ยวพอแมวมันเดินเล่นจนเบื่อ มันก็กลับลงมาเองละน่า ลุงอย่าห่วงเลย"
ลุงยามส่ายหน้า ดวงตาแห้งกร้านโรยล้ามีแววว่าจะร้องไห้
"รอจนแมวมันเบื่อแล้วลงมาเองไม่ได้หรอกลูกหมู ต้องรีบจับลงมาให้ได้ตอนนี้เลย นะลูกหมูนะ ลุงขอร้อง"
เห้อะ! ที่นี่พองานอะไรๆ ที่หาแผนกไหนช่วยทำไม่ได้ ก็เอามาโยนลงที่แผนกช่าง.... เธอบ่นอยู่ในใจ ขณะสบสายตาเหนื่อยล้าของลุงยาม
“ส่วนลุงเองก็ไม่ว่างเลย” ลุงยามรีบออกตัวทันที
“จ้า... ลูกหมูรู้" เธอย่นหน้า
...เธอล่ะเชื่อเลย! จะมีที่ไหนแร้นแค้นขาดแคลนพนักงานได้เท่าที่นีอีกไหมฮึ?... รปภ.มีกันอยู่แค่กะละสองนาย เฝ้าประตูหน้าคอยแลกบัตรคนนึง อีกคนอยู่ประตูหลังทางเข้าออกของพนักงานกับรอรถเทศบาลมาเก็บขยะ ส่วนคนสวน ที่นี่ก็มีอยู่เพียงคนเดียว เป็นแรงงานต่างด้าว สัปดาห์หนึ่งมีเจ็ดวัน พี่แกก็ล่อทำงานซะทั้งเจ็ดวัน ไม่เคยลาพักร้อน ลากิจ ลาป่วย ขณะที่แผนกช่าง มีกันทั้งหมดหกคน ก็แข่งกันหยุดงานซะจริง ...หยุดอย่างกับจะเอาโล่ ทั้งลากิจ ลาป่วย ลากลับบ้านต่างจังหวัด!!!
ปีกุนตัดใจจากมื้อเที่ยงที่กำลังอร่อย ชำเลืองมองหาป้ากุ๊ก แกเดินเก็บเช็ดทำความสะอาดหน้าเตาอยู่หลังครัว หันมาเห็นเธอเข้าก็พยักพเยิดถาม
"งานเข้าอีกละสิ? เออๆไปเหอะเดี๋ยวป้าเก็บจานนี้ของเราเอาไว้ให้ อย่าลืมกลับมากินล่ะ"
"ขอบคุณจ้ะป้า” เธอส่งเสียงบอกพลางรวบช้อน ลุกขึ้นพร้อมกับบ่นไปตลอดทาง
"จับงูก็ช่าง ตีรังแตนก็ช่าง นี่จับแมวก็ช่าง...เบื่อจริง!"
ถึงปากของเธอจะบ่นปาวๆว่าเบื่อ แต่เจ้าตัวก็เดินกลับมาถึงแผนกช่างจนได้ เหลียวมองทั่วออฟฟิศไม่เจอใครทั้งๆ ที่เวลานี้พี่หยัด ช่างกะบ่ายต้องมาเข้าเวรแล้วสิ
เดินอ้อมโต๊ะพี่เอ๋ไปอ่านสมุด log-bookงานช่าง กวาดสายตาลวกๆ งานล่าสุดที่ถูกเรียกใช้คือซ่อมชักโครกห้องน้ำล็อบบี้ ระบุเวลาเริ่มออกไปดำเนินการ 14:35 น. ก็เมื่อครู่นี้เองนะสิ เดาว่าพี่หยัดยังซ่อมไม่เสร็จ เพราะส้วมที่นี่เก่าเท่ากับส้วมยุคหลังสงครามโลก น่าจะต้องใช้เวลาซ่อมยาวนาน พี่เขียวไม่อยู่ แอบส่งข้อความไลน์ส่วนตัวมาบอกว่าขอโดดงานสักชั่วโมงไปดูถ่ายทอดสดวัวชนแมทสำคัญ เดิมพันไว้เยอะ ปีกุนรับปากว่าจะไม่บอกใคร แต่ถึงไม่บอก บรรดาเพื่อนๆ ทีมช่างต่างก็ทราบดี เท่าๆ กับที่พี่เขียวเองก็รู้อยู่แก่ใจ
ส่วนพี่เอ๋หัวหน้าช่าง ไม่อยู่เช่นเดียวกัน ลากลับบ้านตจว. สรุปคือเหลือเธอเพียงคนเดียวสำหรับภารกิจจับแมวลงจากต้นมะเดื่อ
... ดีจริง ๆ ใช่ไหมล่ะ ทำงานอยู่แผนกช่าง ถูกใช้ไปขับรถบ้างล่ะ มาจับแมวบ้างล่ะ อีกหน่อยคงถูกเรียกไปช่วยทำสวนแทนนายอู แรงงานต่างด้าวที่อยู่มาไม่เคยลากลับบ้านเกิดภูมิลำเนาเลยสักครั้ง
บันไดสแตนเลสรุ่นสไลด์ความสูงได้สามเมตร ถูกแบกทุลักทุเลออกจากโรงเก็บด้านหลังห้องสโตร์
ปีกุนยกมันขึ้นใส่ท้ายรถบั๊กกี้สองตอนที่ต่อกะบะท้ายเอาไว้เพื่องานแผนกช่างโดยเฉพาะ
เอาเหอะวะ! จับตุ๊กแก จับงูเขียว จับลูกค้าเมาอาละวาด ยังเคยจับมาแล้วเลย นี่แค่จับแมว งานง่ายกว่านี้ไม่มีอีกละ
รถบั๊กกี้บรรทุกบันไดถูกจอดเทียบกับริมทางเดินหน้าตึกA ต้นมะเดื่อที่ลุงยามพูดถึงคือต้นไม้เก่าแก่ต้นเดียวที่เหลืออยู่นับจากต้นตะเคียนที่ถูกลมพายุพัดจนหักโค่นเหลือแต่ตอเมื่อฤดูฝนที่ผ่านมา
ปีกุนลงมาอุ้มบันไดออกจากท้ายรถ แบกขึ้นพิงกับไหล่ขวา แค่บันไดสแตนเลส ถือด้วยแรงเพียงมือเดียวก็ยังไหว
จากรถที่จอดอยู่เดินมาถึงต้นมะเดื่อที่มีเสียงแมวเจ้าปัญหากำลังส่งเสียงร้องแง้วๆบอกทิศทางอยู่เบื้องบน ไม่ชักช้า เธอจับบันไดสไลด์พาดเฉียงกับต้นมะเดื่อ ก่อนจะพาร่างโปร่งบางที่น้ำหนักตัวไม่ถึงห้าสิบกิโลไต่ขึ้นอย่างคล่องแคล่ว
"แง้ว...แง้ว..." อาสาเฉพาะกิจเลียนเสียงแม่แมวขณะค่อยๆตะกายร่างขึ้นไปเกาะกิ่งมะเดื่อ
ลูกแมวหน้าตาน่าเอ็นดู จ้องมองเธอกลับมาตาแป๋ว เนื้อตัวสั่นเทา
"ไม่ต้องกลัวนะ...มานี่มา" มือเรียวยาวยื่นออกไป ลุ้นแทบขาดใจตอนที่เจ้าลูกแมวจดๆ จ้องๆ ที่มือของเธอ
"มาสิจ้ะ แง้วๆ...มาเร้วเด็กดีมาหาพี่คนสวยนี่มา"
"แง้ว..." ลูกแมวส่งเสียงตอบ ขณะยืนมองมือเธอ ทำหน้าลังเล
"แง้ววววว" คราวนี้ปีกุนลากเสียงให้นุ่มนวลและทอดยาว "แง้ว...แง้วๆ"
ในที่สุดเสียงเลียนแบบแม่แมวของเธอก็คงจะเริ่มคล้ายขึ้นมาบ้าง หรือไม่ก็เป็นเพราะกลิ่นไก่ที่อวลตลบออกมาจากลมปากของเธอ ที่ช่วยให้เจ้าลูกแมวน้อยยอมเดินไต่ลงบนฝ่ามือที่เธอส่งไป
ทันทีที่ได้ลูกแมวมา เธอก็รีบกอดมันไว้แนบกับอก มันคงกำลังตกใจเสียขวัญถึงได้ส่งเสียงร้องแง้วๆ และตัวสั่นเทิ้มตลอดเวลา
"ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ เดี๋ยวจะพาไปหาแม่" เธอบอก ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะรับรู้ด้วยการขานแง้วรับคำเธอ ลำคอน้อยๆ แหงนขึ้นเอียงๆ เหมือนเด็กน้อยที่คอไม่ค่อยแข็งแรง เพื่อมองหน้าเธอ สัญญาณแห่งมิตรภาพบังเกิดขึ้นทันทีผ่านดวงตากลมแป๋ว ชนิดที่บรรดาทาสแมวเห็นแล้วต้องใจละลาย
ปีกุนยิ้มตอบผ่านสายตาเป็นมิตร และด้วยความรู้สึกอิ่มล้นพ้นใจที่สามารถปฏิบัติภารกิจนี้ได้สำเร็จ ทำให้เธอลืมข้าวมันไก่จานโตที่ยังกินค้างไว้ไปเสียสนิท
จากกิ่งก้านอวบหนาของต้นมะเดื่อ เจ้าของร่างบางที่ใบหน้าโชกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อผุดพราวไต่กลับลงบันไดอย่างคล่องแคล่วว่องไว
หญิงสาวรวบเก็บบันไดและถือไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างอุ้มลูกแมวตัวน้อยไว้แนบแน่น ราวกับว่าเธอนี่แหละเป็นเจ้าของของมัน
อาการรีบร้อนเดินกลับไปที่รถของเธอทำให้ไมทันเหลียวหลังกลับขึ้นมามองว่ายังมีสายตาเข้มคู่หนึ่งของชายร่างสูง ที่ยืนอยู่ตรงระเบียงกระจกห้องพัก
เอรายกมือขึ้นกอดอก ขณะหรี่มองตามหญิงสาวที่ในมือพะรุงพะรังไปด้วยบันไดสแตนเลสขนาดใหญ่กับลูกแมว ที่กำลังก้าวไวๆไปจนถึงรถซึ่งเป็นบั๊กกี้แบบเปิดโล่ง ไม่มีประตูปิด เธอพาดบันไดเก็บใส่ท้ายรถอย่างชำนิชำนาญ
คิ้วเข้มดกของเขาขมวดขึ้นเล็กน้อยตอนที่เห็นหญิงสาวยัดลูกแมวใส่ลงกระเป๋าหน้าท้องชุดเอี๊ยมซึ่งมีลักษณะคล้ายชุดช่างประปา ก่อนจะใช้มือทั้งสองรวบผมหางม้ายาวกระเซอะกระเซิงตลบขึ้น และม้วนวนจนเป็นมวยสูง
ผมทรงบันสีดำขลับนั้น สอดรับกับลำคอขาวยาวระหงภายใต้ใบหน้าแบบไทยๆ ของเธอ ส่งผลให้เอราเผลออมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ซึ่งอันที่จริง อย่าให้ต้องพูดตรงๆ เลยว่า เอราเผลออมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวนานกว่าสิบห้านาทีแล้ว นับตั้งแต่ตอนที่หญิงสาวเอาบันไดพาดต้นไม้เพื่อไต่ขึ้นมาคุยกับลูกแมว คุยกันเป็นวรรคเป็นเวรดูรู้ความ อย่างกับว่าทั้งคนและแมวต่างเคยเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักเดียวกัน
ลูกช่างสาวร่างบางพร้อมลูกแมวน้อยในอ้อมกอด เดินกลับเข้าออฟฟิศหลังจากจอดรถและวางพักบันไดไว้หลังโรงจอดอย่างลวกๆ เพื่อรีบเข้ามาเอาน้องแมวเก็บในที่ปลอดภัย แต่ต้องผงะให้กับใบหน้าดำคล้ำของพี่ประหยัด ซึ่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อนเบาะนวมเก่าผุหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อพิมพ์ส่งรายงายประจำวัน
ปีกุนผงะ รีบซ่อนอาการหน้าตื่น ตายล่ะหว่า!... พี่หยัดน่ะ เพฌชฆาตมือหนึ่งของแผนกช่าง เธอรีบซุกลูกแมวกลับลงกระเป๋าหน้าท้องเกือบไม่ทัน
นึกถึงวีรกรรมของพี่หยัดแล้วหัวใจเธอเสียววาบ พี่แกเคยจับงูเหลือมริมระเบียงห้องแขกได้ เมื่อต้นเดือนก่อน แทนที่จะปล่อยมันคืนสู่ป่า ดันเอากลับบ้านไปทำงูเหลือมคั่วกลิ้ง แถมแพ็คใส่กล่องเรี่ยมเร้เรไรเอามาฝากเพื่อนๆ ในออฟฟิศ ปีกุนแทบผงะหงายหลังตึง
จิ้งจก ตุ๊กแก แม้ตะกวดก็ไม่เว้น พี่แกห้ำหั่นจนมันไม่บาดเจ็บสาหัสก็ตายโหงโก้งขวิด...ศัพท์เฉพาะการที่พี่เขียวชอบบ่นแขวะวีรกรรมอำมหิตของพี่หยัด
แล้วก็เมื่อวานสดๆร้อนๆ พี่หยัดจับหมาแม่ลูกอ่อนได้หลังล้อบบี้ เอามันใส่ปี๊บไปปล่อยวัด
ปีกุนสุดจะหาทางช่วย ทำไงได้ ที่นี่มันรีสอร์ทห้าดาวไม่ใช่สถานรับเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน
ขณะที่พี่หยัดกำลังก้มหน้าก้มตาพิมพ์รายงานประจำวัน ปีกุนก็เลยพยายามเดินอ้อมหลังเก้าอี้พี่แกเพื่อจะหลบเข้าห้องสโตร์ กะจะหาลังกระดาษเล็กๆ ซ่อนน้องแมวเอาไว้ก่อน
ร่างบางที่เกือบถอดจิตหรือทำตัวโปร่งแสงได้ของปีกุน กำลังจะรอดพ้นเส้นทางสายตาของพี่หยัดได้อยู่แล้วเชียว แต่ดั๊น! น้องแมวน้อยเจ้ากรรมคงหิวจัด เลยส่งเสียงร้องแง้วขึ้นแหลมปรี้ด ปีกุนสะดุ้งวาบ เหลียวมองพบหน้าเข้มคล้ำของพี่หยัด ส่งยิ้มสบตาพี่แกแบบปริบๆ
"ม่ายต้องหย็อบ!" พี่หยัดตำหนิเสียงดุ มือยังคงรัวแป้นพิมพ์รายงานประจำวัน แต่สายตาชำเลืองมองเธอ
"ไปเอาแมวแค่ไหนมาแล้วหราว ไหนเอามาให้แลทิ?"
ปีกุนยิ้มแหยๆ ล้วงลูกแมวขึ้นมาหน้าเจื่อนจ๋อย
"หมูจับมันลงมาจากต้นไม้ข้างห้องแขกวีไอพีตะกี้ พี่หยัดอย่าเอามันไปปล่อยวัดเลยนะจ๊ะ ดูสิ มันยังเด็กอยู่เลย ปล่อยไปคงอดตายแน่ๆ"
มือเล็กของเธอลูบลงบนหัวกลมๆ ของแมวเพื่อโชว์ความไร้เดียงสาของมันให้พี่หยัดดู ซึ่งเจ้าแมวน้อยก็ช่างแสดงความน่าสงสารได้สมบทบาทด้วยการแหงนคอมองเธอแววตาละห้อย ปากน้อยๆ ส่งเสียงร้องแง้วตลอดเวลาอย่างกับจะขอนมกิน
พี่หยัดละมือจากรายงานประจำวัน เสียงเข้มขึงขังตามสไตล์คนปักษ์ใต้ถามเธอกลับมาอีก
"ไม่ให้เอาไปหลง แล้วใครจะเอาไปรักษา"
ปีกุนหน้าม่อย ...แมวมันไม่ได้เจ็บป่วยอะไร คำว่า 'รักษา' ในรูปประโยคของพี่หยัดคือถามว่าแล้วใครจะเป็นคนดูแล
"เดี๋ยวหมูช่วยเลี้ยงให้พลางๆ รอจนมันโตพอที่จะดูแลตัวเองได้ พี่หยัดค่อยเอาไปปล่อย ได้มั๊ย นะพี่หยัดนะ" เธอส่งสายตาวิงวอน เท่าๆกับเสียงร้องแง้วๆของเจ้าลูกแมวกำลังวิงวอน
พี่หยัดแบะปาก
"แล้วจะเอาไปไว้แค่ไหนนั่น!"
คนถูกถามยิ้มกว้าง
"ที่หอพักจ้ะ" เธอตอบกระตือรือร้น "ป้าดวงน่ะใจดี ยอมให้เลี้ยงได้อยู่แล้ว"
เพราะป้าดวง คนเฝ้าหอพักพนักงาน มักจะใจดีเสมอกับใครก็ตามที่ยอมจ่ายใต้โต๊ะให้ป้าแกเพื่อเป็นค่าปิดปาก สำหรับคนที่ฝืนกฎของหอพักเรื่องสัตว์เลี้ยง ซึ่งทุกคนต้องดูแลสัตว์เลี้ยงของตัวเองให้อยู่แต่ในห้องปราศจากเสียงรบกวนและขับถ่ายเรี่ยราดให้พนักงานคนอื่นเอาไปฟ้องหัวหน้าฝ่ายบุคคลเท่านั่นก็เป็นอันพอ
"เออๆ ตามใจ อยากทำไอ้ไหรก็ทำ แต่ระวังหิดนะ พี่เอ๋กะม่ายโย่ หามีใครคอยคุ้มกะลาหัวเราไม่นะ " พี่หยัดตักเตือน แววตาคาดโทษ
ปีกุนผงกคอรับคำอย่างเชื่อฟัง
ซ่อมให้ไหม? หัวใจ Boss is trouble - 4
ห้องแคนทีนในเวลาบ่ายสองครึ่ง ยังคงมีพนักงานกะเช้าที่เพิ่งเคลียร์งานของตัวเองเสร็จมานั่งรับประทานอาหารกันอยู่อย่างประปราย
เมนูมื้อเที่ยงวันนี้คือข้าวมันไก่ ได้น้ำซุบร้อนๆ ที่เพิ่งถูกยกขึ้นจากเตาด้วยความกรุณาของป้ากุ๊กช่วยอุ่นให้อีกรอบ รับประทานคู่กับพริกดอกเขียวและต้นหอมอ่อนกรุบกริบกับแตงกวาสไลซ์ขนาดพอคำ เพียงเท่านี้มื้อเที่ยงที่ปีกุนโหยหามาตั้งนานก็กลายเป็นของขวัญอันล้ำค่า พอจะชดเชยกับศักดิ์ศรีความเป็นลูกช่างที่เพิ่งสูญเสียไปได้ทันที
เมล็ดข้าวสีขาวหม่นมันวาวพร้อมกับไก่ต้มสุกราดซอสเต้าเจี้ยวผสมขิงปั่นสูตรป้ากุ๊กปริมาณพูนช้อน ถูกเธอตักเสิร์ฟเข้าปากอย่างเนิบช้า หญิงสาวค่อยๆ พริ้มตาลงอย่างแสนสุข ปล่อยให้เมล็ดข้าวและชิ้นไก่ถูกบดเคี้ยวอย่างละเมียดละไม กลิ่นรากผักชีและขิงแก่ที่ถูกผสมอยู่ในซอสเต้าเจี้ยวส่งกลิ่นหอมอบอวลอยู่ในปาก
อืมม์... ช่างเป็นมื้อเที่ยงที่ดีงามอะไรเช่นนี้... ปีกุนคิดกับตัวเองขณะเคี้ยวหมดไปได้เพียงแค่หนึ่งคำ และกำลังจะเอื้อมตักซุปหอมกรุ่นควันร้อนๆ ขึ้นจากถ้วย หากแต่กลับต้องชะงักมือด้วยเสียงเรียกอันแหบแห้งที่ดังมาจากด้านหลัง
“ลูกหมู” ลุงยามหอบแฮ่ก “กินข้าวอยู่นี่เอง วอหาช่างไม่มีใครตอบสักคน มีเรื่องให้ช่วย”
"อีกแล้วเหรอ!" หญิงสาวพ่นลมหายใจยาวเหยียด “คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ”
“จับแมว”
“ห๊ะ จับแมว!”
ลุงยามพยักหน้า "ลูกแมวมันปีนขึ้นไปเดินเล่นอยู่บนกิ่งต้นมะเดื่อริมระเบียงห้องลูกค้าวีไอพี แม่บ้านช่วยกันเอื้อมจับแล้ว แต่เอื้อมจับไม่ถึง วอตามนายอูคนสวน นายอูก็ไม่ตอบวอเหมือนกัน สงสัยปีนขึ้นไปเกี่ยวลูกมะพร้าวอยู่บนยอด ลุงเลยโดนหน้าฟร้อนท์ใช้ให้มาตามช่างช่วยปีนขึ้นไปจับให้ที"
"มันก็แค่แมวไหม ไม่ใช่งูเขียวหางไหม้สักหน่อย" เธอพูดพร้อมๆ กับมือที่ตักข้าวมันไก่ใส่ปากอีกคำ เน้นชิ้นที่เนื้อแน่นๆหนังหนาๆเลยรอบนี้
ลุงยามทำหน้าเศร้า
"แต่แขกห้องนั้นเขากลัวแมวมาก ช่วยไปจับลงมาให้หน่อยเถอะ"
"เดี๋ยวพอแมวมันเดินเล่นจนเบื่อ มันก็กลับลงมาเองละน่า ลุงอย่าห่วงเลย"
ลุงยามส่ายหน้า ดวงตาแห้งกร้านโรยล้ามีแววว่าจะร้องไห้
"รอจนแมวมันเบื่อแล้วลงมาเองไม่ได้หรอกลูกหมู ต้องรีบจับลงมาให้ได้ตอนนี้เลย นะลูกหมูนะ ลุงขอร้อง"
เห้อะ! ที่นี่พองานอะไรๆ ที่หาแผนกไหนช่วยทำไม่ได้ ก็เอามาโยนลงที่แผนกช่าง.... เธอบ่นอยู่ในใจ ขณะสบสายตาเหนื่อยล้าของลุงยาม
“ส่วนลุงเองก็ไม่ว่างเลย” ลุงยามรีบออกตัวทันที
“จ้า... ลูกหมูรู้" เธอย่นหน้า
...เธอล่ะเชื่อเลย! จะมีที่ไหนแร้นแค้นขาดแคลนพนักงานได้เท่าที่นีอีกไหมฮึ?... รปภ.มีกันอยู่แค่กะละสองนาย เฝ้าประตูหน้าคอยแลกบัตรคนนึง อีกคนอยู่ประตูหลังทางเข้าออกของพนักงานกับรอรถเทศบาลมาเก็บขยะ ส่วนคนสวน ที่นี่ก็มีอยู่เพียงคนเดียว เป็นแรงงานต่างด้าว สัปดาห์หนึ่งมีเจ็ดวัน พี่แกก็ล่อทำงานซะทั้งเจ็ดวัน ไม่เคยลาพักร้อน ลากิจ ลาป่วย ขณะที่แผนกช่าง มีกันทั้งหมดหกคน ก็แข่งกันหยุดงานซะจริง ...หยุดอย่างกับจะเอาโล่ ทั้งลากิจ ลาป่วย ลากลับบ้านต่างจังหวัด!!!
ปีกุนตัดใจจากมื้อเที่ยงที่กำลังอร่อย ชำเลืองมองหาป้ากุ๊ก แกเดินเก็บเช็ดทำความสะอาดหน้าเตาอยู่หลังครัว หันมาเห็นเธอเข้าก็พยักพเยิดถาม
"งานเข้าอีกละสิ? เออๆไปเหอะเดี๋ยวป้าเก็บจานนี้ของเราเอาไว้ให้ อย่าลืมกลับมากินล่ะ"
"ขอบคุณจ้ะป้า” เธอส่งเสียงบอกพลางรวบช้อน ลุกขึ้นพร้อมกับบ่นไปตลอดทาง
"จับงูก็ช่าง ตีรังแตนก็ช่าง นี่จับแมวก็ช่าง...เบื่อจริง!"
ถึงปากของเธอจะบ่นปาวๆว่าเบื่อ แต่เจ้าตัวก็เดินกลับมาถึงแผนกช่างจนได้ เหลียวมองทั่วออฟฟิศไม่เจอใครทั้งๆ ที่เวลานี้พี่หยัด ช่างกะบ่ายต้องมาเข้าเวรแล้วสิ
เดินอ้อมโต๊ะพี่เอ๋ไปอ่านสมุด log-bookงานช่าง กวาดสายตาลวกๆ งานล่าสุดที่ถูกเรียกใช้คือซ่อมชักโครกห้องน้ำล็อบบี้ ระบุเวลาเริ่มออกไปดำเนินการ 14:35 น. ก็เมื่อครู่นี้เองนะสิ เดาว่าพี่หยัดยังซ่อมไม่เสร็จ เพราะส้วมที่นี่เก่าเท่ากับส้วมยุคหลังสงครามโลก น่าจะต้องใช้เวลาซ่อมยาวนาน พี่เขียวไม่อยู่ แอบส่งข้อความไลน์ส่วนตัวมาบอกว่าขอโดดงานสักชั่วโมงไปดูถ่ายทอดสดวัวชนแมทสำคัญ เดิมพันไว้เยอะ ปีกุนรับปากว่าจะไม่บอกใคร แต่ถึงไม่บอก บรรดาเพื่อนๆ ทีมช่างต่างก็ทราบดี เท่าๆ กับที่พี่เขียวเองก็รู้อยู่แก่ใจ
ส่วนพี่เอ๋หัวหน้าช่าง ไม่อยู่เช่นเดียวกัน ลากลับบ้านตจว. สรุปคือเหลือเธอเพียงคนเดียวสำหรับภารกิจจับแมวลงจากต้นมะเดื่อ
... ดีจริง ๆ ใช่ไหมล่ะ ทำงานอยู่แผนกช่าง ถูกใช้ไปขับรถบ้างล่ะ มาจับแมวบ้างล่ะ อีกหน่อยคงถูกเรียกไปช่วยทำสวนแทนนายอู แรงงานต่างด้าวที่อยู่มาไม่เคยลากลับบ้านเกิดภูมิลำเนาเลยสักครั้ง
บันไดสแตนเลสรุ่นสไลด์ความสูงได้สามเมตร ถูกแบกทุลักทุเลออกจากโรงเก็บด้านหลังห้องสโตร์
ปีกุนยกมันขึ้นใส่ท้ายรถบั๊กกี้สองตอนที่ต่อกะบะท้ายเอาไว้เพื่องานแผนกช่างโดยเฉพาะ
เอาเหอะวะ! จับตุ๊กแก จับงูเขียว จับลูกค้าเมาอาละวาด ยังเคยจับมาแล้วเลย นี่แค่จับแมว งานง่ายกว่านี้ไม่มีอีกละ
รถบั๊กกี้บรรทุกบันไดถูกจอดเทียบกับริมทางเดินหน้าตึกA ต้นมะเดื่อที่ลุงยามพูดถึงคือต้นไม้เก่าแก่ต้นเดียวที่เหลืออยู่นับจากต้นตะเคียนที่ถูกลมพายุพัดจนหักโค่นเหลือแต่ตอเมื่อฤดูฝนที่ผ่านมา
ปีกุนลงมาอุ้มบันไดออกจากท้ายรถ แบกขึ้นพิงกับไหล่ขวา แค่บันไดสแตนเลส ถือด้วยแรงเพียงมือเดียวก็ยังไหว
จากรถที่จอดอยู่เดินมาถึงต้นมะเดื่อที่มีเสียงแมวเจ้าปัญหากำลังส่งเสียงร้องแง้วๆบอกทิศทางอยู่เบื้องบน ไม่ชักช้า เธอจับบันไดสไลด์พาดเฉียงกับต้นมะเดื่อ ก่อนจะพาร่างโปร่งบางที่น้ำหนักตัวไม่ถึงห้าสิบกิโลไต่ขึ้นอย่างคล่องแคล่ว
"แง้ว...แง้ว..." อาสาเฉพาะกิจเลียนเสียงแม่แมวขณะค่อยๆตะกายร่างขึ้นไปเกาะกิ่งมะเดื่อ
ลูกแมวหน้าตาน่าเอ็นดู จ้องมองเธอกลับมาตาแป๋ว เนื้อตัวสั่นเทา
"ไม่ต้องกลัวนะ...มานี่มา" มือเรียวยาวยื่นออกไป ลุ้นแทบขาดใจตอนที่เจ้าลูกแมวจดๆ จ้องๆ ที่มือของเธอ
"มาสิจ้ะ แง้วๆ...มาเร้วเด็กดีมาหาพี่คนสวยนี่มา"
"แง้ว..." ลูกแมวส่งเสียงตอบ ขณะยืนมองมือเธอ ทำหน้าลังเล
"แง้ววววว" คราวนี้ปีกุนลากเสียงให้นุ่มนวลและทอดยาว "แง้ว...แง้วๆ"
ในที่สุดเสียงเลียนแบบแม่แมวของเธอก็คงจะเริ่มคล้ายขึ้นมาบ้าง หรือไม่ก็เป็นเพราะกลิ่นไก่ที่อวลตลบออกมาจากลมปากของเธอ ที่ช่วยให้เจ้าลูกแมวน้อยยอมเดินไต่ลงบนฝ่ามือที่เธอส่งไป
ทันทีที่ได้ลูกแมวมา เธอก็รีบกอดมันไว้แนบกับอก มันคงกำลังตกใจเสียขวัญถึงได้ส่งเสียงร้องแง้วๆ และตัวสั่นเทิ้มตลอดเวลา
"ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ เดี๋ยวจะพาไปหาแม่" เธอบอก ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะรับรู้ด้วยการขานแง้วรับคำเธอ ลำคอน้อยๆ แหงนขึ้นเอียงๆ เหมือนเด็กน้อยที่คอไม่ค่อยแข็งแรง เพื่อมองหน้าเธอ สัญญาณแห่งมิตรภาพบังเกิดขึ้นทันทีผ่านดวงตากลมแป๋ว ชนิดที่บรรดาทาสแมวเห็นแล้วต้องใจละลาย
ปีกุนยิ้มตอบผ่านสายตาเป็นมิตร และด้วยความรู้สึกอิ่มล้นพ้นใจที่สามารถปฏิบัติภารกิจนี้ได้สำเร็จ ทำให้เธอลืมข้าวมันไก่จานโตที่ยังกินค้างไว้ไปเสียสนิท
จากกิ่งก้านอวบหนาของต้นมะเดื่อ เจ้าของร่างบางที่ใบหน้าโชกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อผุดพราวไต่กลับลงบันไดอย่างคล่องแคล่วว่องไว
หญิงสาวรวบเก็บบันไดและถือไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างอุ้มลูกแมวตัวน้อยไว้แนบแน่น ราวกับว่าเธอนี่แหละเป็นเจ้าของของมัน
อาการรีบร้อนเดินกลับไปที่รถของเธอทำให้ไมทันเหลียวหลังกลับขึ้นมามองว่ายังมีสายตาเข้มคู่หนึ่งของชายร่างสูง ที่ยืนอยู่ตรงระเบียงกระจกห้องพัก
เอรายกมือขึ้นกอดอก ขณะหรี่มองตามหญิงสาวที่ในมือพะรุงพะรังไปด้วยบันไดสแตนเลสขนาดใหญ่กับลูกแมว ที่กำลังก้าวไวๆไปจนถึงรถซึ่งเป็นบั๊กกี้แบบเปิดโล่ง ไม่มีประตูปิด เธอพาดบันไดเก็บใส่ท้ายรถอย่างชำนิชำนาญ
คิ้วเข้มดกของเขาขมวดขึ้นเล็กน้อยตอนที่เห็นหญิงสาวยัดลูกแมวใส่ลงกระเป๋าหน้าท้องชุดเอี๊ยมซึ่งมีลักษณะคล้ายชุดช่างประปา ก่อนจะใช้มือทั้งสองรวบผมหางม้ายาวกระเซอะกระเซิงตลบขึ้น และม้วนวนจนเป็นมวยสูง
ผมทรงบันสีดำขลับนั้น สอดรับกับลำคอขาวยาวระหงภายใต้ใบหน้าแบบไทยๆ ของเธอ ส่งผลให้เอราเผลออมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ซึ่งอันที่จริง อย่าให้ต้องพูดตรงๆ เลยว่า เอราเผลออมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวนานกว่าสิบห้านาทีแล้ว นับตั้งแต่ตอนที่หญิงสาวเอาบันไดพาดต้นไม้เพื่อไต่ขึ้นมาคุยกับลูกแมว คุยกันเป็นวรรคเป็นเวรดูรู้ความ อย่างกับว่าทั้งคนและแมวต่างเคยเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักเดียวกัน
ลูกช่างสาวร่างบางพร้อมลูกแมวน้อยในอ้อมกอด เดินกลับเข้าออฟฟิศหลังจากจอดรถและวางพักบันไดไว้หลังโรงจอดอย่างลวกๆ เพื่อรีบเข้ามาเอาน้องแมวเก็บในที่ปลอดภัย แต่ต้องผงะให้กับใบหน้าดำคล้ำของพี่ประหยัด ซึ่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อนเบาะนวมเก่าผุหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อพิมพ์ส่งรายงายประจำวัน
ปีกุนผงะ รีบซ่อนอาการหน้าตื่น ตายล่ะหว่า!... พี่หยัดน่ะ เพฌชฆาตมือหนึ่งของแผนกช่าง เธอรีบซุกลูกแมวกลับลงกระเป๋าหน้าท้องเกือบไม่ทัน
นึกถึงวีรกรรมของพี่หยัดแล้วหัวใจเธอเสียววาบ พี่แกเคยจับงูเหลือมริมระเบียงห้องแขกได้ เมื่อต้นเดือนก่อน แทนที่จะปล่อยมันคืนสู่ป่า ดันเอากลับบ้านไปทำงูเหลือมคั่วกลิ้ง แถมแพ็คใส่กล่องเรี่ยมเร้เรไรเอามาฝากเพื่อนๆ ในออฟฟิศ ปีกุนแทบผงะหงายหลังตึง
จิ้งจก ตุ๊กแก แม้ตะกวดก็ไม่เว้น พี่แกห้ำหั่นจนมันไม่บาดเจ็บสาหัสก็ตายโหงโก้งขวิด...ศัพท์เฉพาะการที่พี่เขียวชอบบ่นแขวะวีรกรรมอำมหิตของพี่หยัด
แล้วก็เมื่อวานสดๆร้อนๆ พี่หยัดจับหมาแม่ลูกอ่อนได้หลังล้อบบี้ เอามันใส่ปี๊บไปปล่อยวัด
ปีกุนสุดจะหาทางช่วย ทำไงได้ ที่นี่มันรีสอร์ทห้าดาวไม่ใช่สถานรับเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน
ขณะที่พี่หยัดกำลังก้มหน้าก้มตาพิมพ์รายงานประจำวัน ปีกุนก็เลยพยายามเดินอ้อมหลังเก้าอี้พี่แกเพื่อจะหลบเข้าห้องสโตร์ กะจะหาลังกระดาษเล็กๆ ซ่อนน้องแมวเอาไว้ก่อน
ร่างบางที่เกือบถอดจิตหรือทำตัวโปร่งแสงได้ของปีกุน กำลังจะรอดพ้นเส้นทางสายตาของพี่หยัดได้อยู่แล้วเชียว แต่ดั๊น! น้องแมวน้อยเจ้ากรรมคงหิวจัด เลยส่งเสียงร้องแง้วขึ้นแหลมปรี้ด ปีกุนสะดุ้งวาบ เหลียวมองพบหน้าเข้มคล้ำของพี่หยัด ส่งยิ้มสบตาพี่แกแบบปริบๆ
"ม่ายต้องหย็อบ!" พี่หยัดตำหนิเสียงดุ มือยังคงรัวแป้นพิมพ์รายงานประจำวัน แต่สายตาชำเลืองมองเธอ
"ไปเอาแมวแค่ไหนมาแล้วหราว ไหนเอามาให้แลทิ?"
ปีกุนยิ้มแหยๆ ล้วงลูกแมวขึ้นมาหน้าเจื่อนจ๋อย
"หมูจับมันลงมาจากต้นไม้ข้างห้องแขกวีไอพีตะกี้ พี่หยัดอย่าเอามันไปปล่อยวัดเลยนะจ๊ะ ดูสิ มันยังเด็กอยู่เลย ปล่อยไปคงอดตายแน่ๆ"
มือเล็กของเธอลูบลงบนหัวกลมๆ ของแมวเพื่อโชว์ความไร้เดียงสาของมันให้พี่หยัดดู ซึ่งเจ้าแมวน้อยก็ช่างแสดงความน่าสงสารได้สมบทบาทด้วยการแหงนคอมองเธอแววตาละห้อย ปากน้อยๆ ส่งเสียงร้องแง้วตลอดเวลาอย่างกับจะขอนมกิน
พี่หยัดละมือจากรายงานประจำวัน เสียงเข้มขึงขังตามสไตล์คนปักษ์ใต้ถามเธอกลับมาอีก
"ไม่ให้เอาไปหลง แล้วใครจะเอาไปรักษา"
ปีกุนหน้าม่อย ...แมวมันไม่ได้เจ็บป่วยอะไร คำว่า 'รักษา' ในรูปประโยคของพี่หยัดคือถามว่าแล้วใครจะเป็นคนดูแล
"เดี๋ยวหมูช่วยเลี้ยงให้พลางๆ รอจนมันโตพอที่จะดูแลตัวเองได้ พี่หยัดค่อยเอาไปปล่อย ได้มั๊ย นะพี่หยัดนะ" เธอส่งสายตาวิงวอน เท่าๆกับเสียงร้องแง้วๆของเจ้าลูกแมวกำลังวิงวอน
พี่หยัดแบะปาก
"แล้วจะเอาไปไว้แค่ไหนนั่น!"
คนถูกถามยิ้มกว้าง
"ที่หอพักจ้ะ" เธอตอบกระตือรือร้น "ป้าดวงน่ะใจดี ยอมให้เลี้ยงได้อยู่แล้ว"
เพราะป้าดวง คนเฝ้าหอพักพนักงาน มักจะใจดีเสมอกับใครก็ตามที่ยอมจ่ายใต้โต๊ะให้ป้าแกเพื่อเป็นค่าปิดปาก สำหรับคนที่ฝืนกฎของหอพักเรื่องสัตว์เลี้ยง ซึ่งทุกคนต้องดูแลสัตว์เลี้ยงของตัวเองให้อยู่แต่ในห้องปราศจากเสียงรบกวนและขับถ่ายเรี่ยราดให้พนักงานคนอื่นเอาไปฟ้องหัวหน้าฝ่ายบุคคลเท่านั่นก็เป็นอันพอ
"เออๆ ตามใจ อยากทำไอ้ไหรก็ทำ แต่ระวังหิดนะ พี่เอ๋กะม่ายโย่ หามีใครคอยคุ้มกะลาหัวเราไม่นะ " พี่หยัดตักเตือน แววตาคาดโทษ
ปีกุนผงกคอรับคำอย่างเชื่อฟัง