St. Louis Cathedral, New Orleans, USA
ติดตามเรื่องราวอื่นๆได้ที่เพจนี้ครับ Never Ending Wanderlust
Facebook :
https://www.facebook.com/Never-Ending-Wanderlust-333202827168152/
Instagram :
https://www.instagram.com/wanderlust_neverending/
ชีวิตบนเรือสำราญ สำราญจริงหรือ? ฉบับหมดเปลือก
https://ppantip.com/topic/37607106
ชีวิตบนเรือสำราญ สำราญจริงหรือ? ภาคต่อ ตอน 2
https://ppantip.com/topic/37615183
ชีวิตบนเรือสำราญ สำราญจริงหรือ? ตอน 4 ฑูตวัฒนธรรมบนเรือสำราญ
https://ppantip.com/topic/37688092
สวัสดีอีกครั้งครับ ขอโทษจริงๆที่หายหน้าไปนานกับกระทู้นี้ครับ คือตอนนั้นผมมีไอเดียเยอะแยะมากมายที่อยากจะเขียนเล่าเรื่องราวอีกด้านหนึ่งของชีวิตผมครับ จึงไปเขียนเรื่องของการเป็นไกด์นำเเที่ยวให้เพื่อนๆอ่านกันครับ
https://ppantip.com/topic/37647218 ติดตามเรื่องราวต่างๆได้จากลิงค์ด้านบนเลยครับผม ขอบคุณมากครับ
มารอบนี้ผมก็กลับมาเล่าเรื่องราวของการใช้ชีวิตบนเรือสำราญในฐานะคนทำงานบนเรืออีกเช่นเคยครับ เอาจริงๆผมไม่เคยคิดไปท่องเที่ยวกับเรือสำราญเลย อาจจะรูปแบบการเที่ยวของผมออกจะดิบๆ เถื่อนๆหน่อยมั้ง การท่องเที่ยวกับเรือสำราญจึงไม่ค่อยจะดึงดูดผมเสียเท่าไหร่
ผมเคยถามเพื่อนชาวอเมริกันว่าทำไมคนอเมริกันถึงได้คลั่งไคล้การล่องเรือสำราญนัก ผมเคยเจอแขกหลายคนมาล่องเรือเกือบ 100 ครูซ (Cruise) 1 ครูซ คือการล่องเรือไปเที่ยว 1 รอบของการเดินทาง เช่นครูซ 7 วัน เป็นต้น ผมยังแอบสงสัยว่าการเที่ยวกับเรือสำราญมันมีอะไรดี วันนี้ผมมีคำตอบครับ
การท่องเที่ยวแบบนี้ คุณสามารถท่องเที่ยวแบบครอบครัวได้ ค่อนข้างสะดวกเลยแหละ กล่าวคือถ้าคุณคิดว่าคุณจะพาพ่อตา แม่ยาย พี่ ป้า น้า อา หรือใครก็ตามไปเที่ยวแบบชนิดที่ว่าอยู่ด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องพรากจากกันระหว่างการเดินทาง คุณแค่อยู่บนเรือเฉยๆ พอตื่นมาเรือจะนำพาท่านไปยังสถานที่ใหม่ๆโดยที่คุณไม่ต้องเหนื่อยกับการเดินทางเลยแม้แต่น้อย อาหารการกินพร้อม ทานได้ตลอด 24 ชั่วโมง สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เนี่ยแหละครับคือคำตอบของคุณ
การเที่ยวแบบนี้จะขลุกขลักบ้างในตอนต้นคือวันที่ขึ้นเรือวันแรก และวันที่จะออกจากเรือวันสุดท้าย พิธีการจะค่อนข้างวุ่นวาย เพราะวันแรกของการขึ้นเรือนั้น ฝูงชนมหาศาลจะพร้อมใจกันมุ่งหน้าไปที่เรือลำเดียวกัน ทางเข้าทางเดียวกัน ต้องเดินเรื่องนู่นนี่นั่น เสร็จจากนั้นทุกคน ย้ำว่าทุกคน ไม่ว่าอากงของคุณจะแก่ หรืออาม่าของคุณจะบอกว่าจะไปทำไมไร้สาระ แต่คุณก็ต้องไปเข้าร่วมการสาธิตการรับมือกับภัยบนเรือ (Safety Briefing) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก และลูกค้าส่วนใหญ่จะไม่ให้ความสำคัญ ผมเคยเจอแขกหลายคนจะหลบอยู่ในห้องไม่ยอมออกไปเข้าร่วมกิจกรม แต่ทางเรือจะมีเจ้าหน้าที่คอยเคาะห้องและเปิดห้องเข้าไปดูในห้องเลย 555 นึกว่าจะหลบพ้นเหรอ
พนักงานบนเรือทุกคนจะมีหน้าที่พิเศษหากเกิดเหตุร้ายบนเรือครับ นั่นคือทางเรือจะให้หน้าที่กับพนักงานทุกคนในการดูแลเรือด้านความปลอดภัย แต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไป รอบแรกที่ผมทำงานเรือ ผมได้เป็น Hallway Guide คือเจ้าหน้าที่ที่คอยยืนอยู่ตามทางเดินบนเรือ พอแขกขึ้นเรือมาจนหมด ก่อนที่เรือจะออกจากท่า ทางเรือจะประกาศให้แขกทุกคนไปรวมตัวกัน ณ จุดหนึ่งของเรือเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมการรับมือกับภัยบนเรือ โดยก่อนหน้านั้นพนักงานทุกคนก็จะทำงานกันปกติเนี่ยแหละครับ แต่ก่อนที่เขาจะเริ่มกิจกรรม เขาจะเปิดเสียงกริ่ง ประกาศให้พนักงานทุกคนไปประจำตำแหน่ง และไปเอาเสื้อชูชีพที่ห้องของตัวเอง พอเสียงกริ่งดังปุ๊บ...เท่านั้นแหละครับ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม คุณกำลังบริการแขก คุณกำลังเสริฟอาหารหรือทำอะไรก็แล้วแต่ คุณต้องวิ่งครับ 555 ซึ่งกิจกรรมนี้มีกฏว่าห้ามใช้ลิฟท์ เพราะเขาสมมติให้เป็นเหตุการณ์ฉุกเฉินจริงๆ นั่นก็แปลว่าหากคุณกำลังทำงานอยู่ที่ชั้น 9 คุณต้องวิ่งลงบันไดจากชั้น 9 ไปที่ห้องของตัวเอง และห้องของพนักงานส่วนใหญ่ก็จะอยู่ชั้นใต้ดิน จะเรียกชั้นใต้ดินดีมั้ยนะ เพราะมันไม่มีดิน 555 คือชั้นที่ต่ำกว่าชั้น 1 น่ะครับ ลึกลงไปอีก จากนั้นเมื่อคุณกลับถึงห้อง คุณต้องคว้าเสื้อชูชีพ ใส่เสื้อชูชีพให้เรียบร้อยและวิ่งขึ้นบันไดไปที่สถานีของคุณที่คุณจะต้องไปประจำที่ เช่นตอนนั้นผมทำงานอยู่ที่ห้องอาหารชั้น 9 ผมต้องวิ่งลงบันไดไปที่ห้องชั้นล่าง แล้วสถานีของผมอยู่ที่ชั้น 9 ผมก็ต้องเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้น 9 อีกรอบ 555 เฮ้อ...
นั่นแหละครับจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมผมถึงได้เห็นแขกแอบอยู่ในห้องประจำตอนมีกิจกรรมสาธิตการรับมือกับภัยบนเรือ เพราะผมต้องยืนอยู่หน้าห้องแขกตรงบริเวณทางเดิน ต้องคอยเรียกและบอกทางแขกไปยังจุดรวมพล และจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจตามห้อง คอยเปิดห้องแขกและเรียกแขกออกไป หน้าจ๋อยกันเลยทีเดียวแขกแต่ละคน 555
วันที่จะออกจากเรือก็วุ่นวายเช่นเดียวกัน เพราะผู้โดยสารหลักหลายพันคนต้องการจะออกจากเรือพร้อมกัน ดังนั้นการจัดการคนจึงเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก การจัดการคนหลายพันคนให้อยู่ในระเบียบ จัดคิวตามความเหมาะสมจึงเป็นเรื่องไม่ง่าย บางคนโวยวายเพราะได้ออกทีหลัง แต่ผู้โดยสารที่เป็นระดับชั้น 1, 2 หรือชั้น 3 กับแขกที่ไม่สามารถเดินได้ อาจจะเพราะสูงอายุหรือได้รับบาดเจ็บก็ตาม จะได้ออกจากเรือก่อน และจุดนี้ก็มีประเด็นครับ 555
วันสุดท้ายของการเดินทาง เมื่อเรือเข้าท่าและผู้โดยสารทุกคนต้องออกจากเรือ ทางเรือจะจัดทีมงานนักเข็นรถ (Wheelchair) มือระดับพระกาฬไปประจำการ รวมถึงตัวผมด้วยที่ต้องทำหน้าที่นี้ โดยจะมีจุดลงทะเบียนสำหรับผู้โดยสารที่ไม่สามารถเดินออกไปเองได้ สูงอายุ ได้รับบาดเจ็บ หรืออะไรก็ตาม สามารถมาลงทะเบียน ณ จุดนี้เพื่อรับบริการรถเข็นได้
พวกผมก็เต็มใจเข็นกันปกติครับ แต่ประเด็นมันอยู่ตรงผู้โดยสารที่ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจริงๆนี่สิครับ คือตอนที่ไปลงทะเบียนก็จะมีอาการเดินไม่ไหว คลื่นไส้ อาเจียน ฉันไม่ไหวแล้ว...ช่วยฉันด้วย! ประมาณนี้ครับ 555 แต่พอเราเข็นพาไปส่งถึงนอกเรือ พอถึงจุดส่งปั๊บ...ก็เดินสะบัดฉับๆๆ ลิ่วไปเลย หลายครั้งที่ไม่หันกลับมามองหรือขอบคุณคนเข็นเลยด้วยซ้ำ คือแบบ...แบบนี้ก็ได้หรือแว๊ 555
ข้อเสียจุดที่ผมมองเห็นได้ชัดเวลามาเที่ยวแบบนี้คือ สถานที่ท่องเที่ยวหลายที่ ก่อนที่เรือจะจอด มองออกไปข้างนอก ช่างเป็นที่ที่เงียบสงบ น่าพักผ่อนและมีเวลาเป็นของตัวเองจริงๆเลย แต่ในความเป็นจริง อย่างเช่นชายหาด ก่อนเรือจอด คุณจะเห็นชายหาดขาวละเอียด คุณก็จะจินตนาการว่าจะลงไปเดิน ถ่ายรูปกับชายหาดและสองเราชิวๆ แต่ในความเป็นจริง พอเรือจอดปุ๊บ ทุกคนจะรีบลงไปที่ทางออกเรือ ไปยืนรอพร้อมหอบข้าวของพะรุงพะรังไปที่ชายหาด แถวยาวเหยียดยืนรอกันไป พอประตูเปิด ทุกคนก็จะรีบไปจับจองที่ที่สวยที่สุดบนชายหาด จากหาดที่เงียบสงบ ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นหาดที่ตากปลาเค็ม นอนกันเกลื่อนหาดกันเลย ณ จุดๆนี้ 555
ฝรั่งเป็นชนชาติที่ชอบการอาบแดดเป็นชีวิตจิตใจ การให้ตัวเองอยู่บนชายหาด แล้วให้แดดเผาเป็นอะไรที่ฟินระดับ 10 คือผมไม่ได้เป็นคนขาว ออกจะคล้ำเสียด้วยซ้ำ แต่ผมก็ชอบออกแดด ชอบกิจกรรมกลางแจ้ง แต่สำหรับฝรั่งแล้ว การอาบแดดมันมากกว่านั้น อาบจนผิวลอก อักเสบ ไหม้กันเลยทีเดียว เห้อ...เห็นแล้วกลัวมะเร็งจะถามหาเหลือเกิน
อีกเรื่องที่ผมเห็นว่าการเที่ยวแบบนี้ไม่เหมาะกับผม คือเมื่อคุณมาเที่ยวกับเรือสำราญ โดยส่วนใหญ่เรือจะจอดท่าในตอนเช้า และจะออกจากท่าในตอนเย็น นั่นหมายความว่าคุณมีเวลาเที่ยวจริงๆไม่ถึง 24 ชั่วโมงด้วยซ้ำ แค่ไม่กี่ชั่วโมงคุณก็ต้องกลับเรือแล้ว ผมเป็นคนที่เที่ยวแบบแช่ แต่ละเมืองผมจะอยู่เป็นวันๆ เดินตามตรอกซอกซอยไปเรื่อยๆ ไม่รีบเร่ง แต่บางคนก็จะชอบแบบนี้ เพราะมันได้เห็นหรือได้ไปเที่ยวหลายที่คละๆกันไป สำหรับผม ผมขอแบบหวานเย็นทัวร์ดีกว่า 555
อย่างที่บอกครับว่าการท่องเที่ยวกับเรือสำราญ มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป แล้วแต่รสนิยมของแต่ละบุคคลมากกว่า
ตอนใหม่ผมขอลงในกระทู้เดิมนะครับ ปักธงชัยรอได้เลยครับ 555
ขอบคุณครับสำหรับวันนี้ แล้วถ้าได้ไอเดียอะไรใหม่ๆจะมาเล่าสู่กันฟังนะครับ บาย...
ชีวิตบนเรือสำราญ สำราญจริงหรือ? ตอน 3
ติดตามเรื่องราวอื่นๆได้ที่เพจนี้ครับ Never Ending Wanderlust
Facebook : https://www.facebook.com/Never-Ending-Wanderlust-333202827168152/
Instagram : https://www.instagram.com/wanderlust_neverending/
ชีวิตบนเรือสำราญ สำราญจริงหรือ? ฉบับหมดเปลือก https://ppantip.com/topic/37607106
ชีวิตบนเรือสำราญ สำราญจริงหรือ? ภาคต่อ ตอน 2 https://ppantip.com/topic/37615183
ชีวิตบนเรือสำราญ สำราญจริงหรือ? ตอน 4 ฑูตวัฒนธรรมบนเรือสำราญ https://ppantip.com/topic/37688092
สวัสดีอีกครั้งครับ ขอโทษจริงๆที่หายหน้าไปนานกับกระทู้นี้ครับ คือตอนนั้นผมมีไอเดียเยอะแยะมากมายที่อยากจะเขียนเล่าเรื่องราวอีกด้านหนึ่งของชีวิตผมครับ จึงไปเขียนเรื่องของการเป็นไกด์นำเเที่ยวให้เพื่อนๆอ่านกันครับ https://ppantip.com/topic/37647218 ติดตามเรื่องราวต่างๆได้จากลิงค์ด้านบนเลยครับผม ขอบคุณมากครับ
มารอบนี้ผมก็กลับมาเล่าเรื่องราวของการใช้ชีวิตบนเรือสำราญในฐานะคนทำงานบนเรืออีกเช่นเคยครับ เอาจริงๆผมไม่เคยคิดไปท่องเที่ยวกับเรือสำราญเลย อาจจะรูปแบบการเที่ยวของผมออกจะดิบๆ เถื่อนๆหน่อยมั้ง การท่องเที่ยวกับเรือสำราญจึงไม่ค่อยจะดึงดูดผมเสียเท่าไหร่
ผมเคยถามเพื่อนชาวอเมริกันว่าทำไมคนอเมริกันถึงได้คลั่งไคล้การล่องเรือสำราญนัก ผมเคยเจอแขกหลายคนมาล่องเรือเกือบ 100 ครูซ (Cruise) 1 ครูซ คือการล่องเรือไปเที่ยว 1 รอบของการเดินทาง เช่นครูซ 7 วัน เป็นต้น ผมยังแอบสงสัยว่าการเที่ยวกับเรือสำราญมันมีอะไรดี วันนี้ผมมีคำตอบครับ
การท่องเที่ยวแบบนี้ คุณสามารถท่องเที่ยวแบบครอบครัวได้ ค่อนข้างสะดวกเลยแหละ กล่าวคือถ้าคุณคิดว่าคุณจะพาพ่อตา แม่ยาย พี่ ป้า น้า อา หรือใครก็ตามไปเที่ยวแบบชนิดที่ว่าอยู่ด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องพรากจากกันระหว่างการเดินทาง คุณแค่อยู่บนเรือเฉยๆ พอตื่นมาเรือจะนำพาท่านไปยังสถานที่ใหม่ๆโดยที่คุณไม่ต้องเหนื่อยกับการเดินทางเลยแม้แต่น้อย อาหารการกินพร้อม ทานได้ตลอด 24 ชั่วโมง สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เนี่ยแหละครับคือคำตอบของคุณ
การเที่ยวแบบนี้จะขลุกขลักบ้างในตอนต้นคือวันที่ขึ้นเรือวันแรก และวันที่จะออกจากเรือวันสุดท้าย พิธีการจะค่อนข้างวุ่นวาย เพราะวันแรกของการขึ้นเรือนั้น ฝูงชนมหาศาลจะพร้อมใจกันมุ่งหน้าไปที่เรือลำเดียวกัน ทางเข้าทางเดียวกัน ต้องเดินเรื่องนู่นนี่นั่น เสร็จจากนั้นทุกคน ย้ำว่าทุกคน ไม่ว่าอากงของคุณจะแก่ หรืออาม่าของคุณจะบอกว่าจะไปทำไมไร้สาระ แต่คุณก็ต้องไปเข้าร่วมการสาธิตการรับมือกับภัยบนเรือ (Safety Briefing) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก และลูกค้าส่วนใหญ่จะไม่ให้ความสำคัญ ผมเคยเจอแขกหลายคนจะหลบอยู่ในห้องไม่ยอมออกไปเข้าร่วมกิจกรม แต่ทางเรือจะมีเจ้าหน้าที่คอยเคาะห้องและเปิดห้องเข้าไปดูในห้องเลย 555 นึกว่าจะหลบพ้นเหรอ
พนักงานบนเรือทุกคนจะมีหน้าที่พิเศษหากเกิดเหตุร้ายบนเรือครับ นั่นคือทางเรือจะให้หน้าที่กับพนักงานทุกคนในการดูแลเรือด้านความปลอดภัย แต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไป รอบแรกที่ผมทำงานเรือ ผมได้เป็น Hallway Guide คือเจ้าหน้าที่ที่คอยยืนอยู่ตามทางเดินบนเรือ พอแขกขึ้นเรือมาจนหมด ก่อนที่เรือจะออกจากท่า ทางเรือจะประกาศให้แขกทุกคนไปรวมตัวกัน ณ จุดหนึ่งของเรือเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมการรับมือกับภัยบนเรือ โดยก่อนหน้านั้นพนักงานทุกคนก็จะทำงานกันปกติเนี่ยแหละครับ แต่ก่อนที่เขาจะเริ่มกิจกรรม เขาจะเปิดเสียงกริ่ง ประกาศให้พนักงานทุกคนไปประจำตำแหน่ง และไปเอาเสื้อชูชีพที่ห้องของตัวเอง พอเสียงกริ่งดังปุ๊บ...เท่านั้นแหละครับ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม คุณกำลังบริการแขก คุณกำลังเสริฟอาหารหรือทำอะไรก็แล้วแต่ คุณต้องวิ่งครับ 555 ซึ่งกิจกรรมนี้มีกฏว่าห้ามใช้ลิฟท์ เพราะเขาสมมติให้เป็นเหตุการณ์ฉุกเฉินจริงๆ นั่นก็แปลว่าหากคุณกำลังทำงานอยู่ที่ชั้น 9 คุณต้องวิ่งลงบันไดจากชั้น 9 ไปที่ห้องของตัวเอง และห้องของพนักงานส่วนใหญ่ก็จะอยู่ชั้นใต้ดิน จะเรียกชั้นใต้ดินดีมั้ยนะ เพราะมันไม่มีดิน 555 คือชั้นที่ต่ำกว่าชั้น 1 น่ะครับ ลึกลงไปอีก จากนั้นเมื่อคุณกลับถึงห้อง คุณต้องคว้าเสื้อชูชีพ ใส่เสื้อชูชีพให้เรียบร้อยและวิ่งขึ้นบันไดไปที่สถานีของคุณที่คุณจะต้องไปประจำที่ เช่นตอนนั้นผมทำงานอยู่ที่ห้องอาหารชั้น 9 ผมต้องวิ่งลงบันไดไปที่ห้องชั้นล่าง แล้วสถานีของผมอยู่ที่ชั้น 9 ผมก็ต้องเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้น 9 อีกรอบ 555 เฮ้อ...
นั่นแหละครับจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมผมถึงได้เห็นแขกแอบอยู่ในห้องประจำตอนมีกิจกรรมสาธิตการรับมือกับภัยบนเรือ เพราะผมต้องยืนอยู่หน้าห้องแขกตรงบริเวณทางเดิน ต้องคอยเรียกและบอกทางแขกไปยังจุดรวมพล และจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจตามห้อง คอยเปิดห้องแขกและเรียกแขกออกไป หน้าจ๋อยกันเลยทีเดียวแขกแต่ละคน 555
วันที่จะออกจากเรือก็วุ่นวายเช่นเดียวกัน เพราะผู้โดยสารหลักหลายพันคนต้องการจะออกจากเรือพร้อมกัน ดังนั้นการจัดการคนจึงเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก การจัดการคนหลายพันคนให้อยู่ในระเบียบ จัดคิวตามความเหมาะสมจึงเป็นเรื่องไม่ง่าย บางคนโวยวายเพราะได้ออกทีหลัง แต่ผู้โดยสารที่เป็นระดับชั้น 1, 2 หรือชั้น 3 กับแขกที่ไม่สามารถเดินได้ อาจจะเพราะสูงอายุหรือได้รับบาดเจ็บก็ตาม จะได้ออกจากเรือก่อน และจุดนี้ก็มีประเด็นครับ 555
วันสุดท้ายของการเดินทาง เมื่อเรือเข้าท่าและผู้โดยสารทุกคนต้องออกจากเรือ ทางเรือจะจัดทีมงานนักเข็นรถ (Wheelchair) มือระดับพระกาฬไปประจำการ รวมถึงตัวผมด้วยที่ต้องทำหน้าที่นี้ โดยจะมีจุดลงทะเบียนสำหรับผู้โดยสารที่ไม่สามารถเดินออกไปเองได้ สูงอายุ ได้รับบาดเจ็บ หรืออะไรก็ตาม สามารถมาลงทะเบียน ณ จุดนี้เพื่อรับบริการรถเข็นได้
พวกผมก็เต็มใจเข็นกันปกติครับ แต่ประเด็นมันอยู่ตรงผู้โดยสารที่ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจริงๆนี่สิครับ คือตอนที่ไปลงทะเบียนก็จะมีอาการเดินไม่ไหว คลื่นไส้ อาเจียน ฉันไม่ไหวแล้ว...ช่วยฉันด้วย! ประมาณนี้ครับ 555 แต่พอเราเข็นพาไปส่งถึงนอกเรือ พอถึงจุดส่งปั๊บ...ก็เดินสะบัดฉับๆๆ ลิ่วไปเลย หลายครั้งที่ไม่หันกลับมามองหรือขอบคุณคนเข็นเลยด้วยซ้ำ คือแบบ...แบบนี้ก็ได้หรือแว๊ 555
ข้อเสียจุดที่ผมมองเห็นได้ชัดเวลามาเที่ยวแบบนี้คือ สถานที่ท่องเที่ยวหลายที่ ก่อนที่เรือจะจอด มองออกไปข้างนอก ช่างเป็นที่ที่เงียบสงบ น่าพักผ่อนและมีเวลาเป็นของตัวเองจริงๆเลย แต่ในความเป็นจริง อย่างเช่นชายหาด ก่อนเรือจอด คุณจะเห็นชายหาดขาวละเอียด คุณก็จะจินตนาการว่าจะลงไปเดิน ถ่ายรูปกับชายหาดและสองเราชิวๆ แต่ในความเป็นจริง พอเรือจอดปุ๊บ ทุกคนจะรีบลงไปที่ทางออกเรือ ไปยืนรอพร้อมหอบข้าวของพะรุงพะรังไปที่ชายหาด แถวยาวเหยียดยืนรอกันไป พอประตูเปิด ทุกคนก็จะรีบไปจับจองที่ที่สวยที่สุดบนชายหาด จากหาดที่เงียบสงบ ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นหาดที่ตากปลาเค็ม นอนกันเกลื่อนหาดกันเลย ณ จุดๆนี้ 555
ฝรั่งเป็นชนชาติที่ชอบการอาบแดดเป็นชีวิตจิตใจ การให้ตัวเองอยู่บนชายหาด แล้วให้แดดเผาเป็นอะไรที่ฟินระดับ 10 คือผมไม่ได้เป็นคนขาว ออกจะคล้ำเสียด้วยซ้ำ แต่ผมก็ชอบออกแดด ชอบกิจกรรมกลางแจ้ง แต่สำหรับฝรั่งแล้ว การอาบแดดมันมากกว่านั้น อาบจนผิวลอก อักเสบ ไหม้กันเลยทีเดียว เห้อ...เห็นแล้วกลัวมะเร็งจะถามหาเหลือเกิน
อีกเรื่องที่ผมเห็นว่าการเที่ยวแบบนี้ไม่เหมาะกับผม คือเมื่อคุณมาเที่ยวกับเรือสำราญ โดยส่วนใหญ่เรือจะจอดท่าในตอนเช้า และจะออกจากท่าในตอนเย็น นั่นหมายความว่าคุณมีเวลาเที่ยวจริงๆไม่ถึง 24 ชั่วโมงด้วยซ้ำ แค่ไม่กี่ชั่วโมงคุณก็ต้องกลับเรือแล้ว ผมเป็นคนที่เที่ยวแบบแช่ แต่ละเมืองผมจะอยู่เป็นวันๆ เดินตามตรอกซอกซอยไปเรื่อยๆ ไม่รีบเร่ง แต่บางคนก็จะชอบแบบนี้ เพราะมันได้เห็นหรือได้ไปเที่ยวหลายที่คละๆกันไป สำหรับผม ผมขอแบบหวานเย็นทัวร์ดีกว่า 555
อย่างที่บอกครับว่าการท่องเที่ยวกับเรือสำราญ มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป แล้วแต่รสนิยมของแต่ละบุคคลมากกว่า
ตอนใหม่ผมขอลงในกระทู้เดิมนะครับ ปักธงชัยรอได้เลยครับ 555
ขอบคุณครับสำหรับวันนี้ แล้วถ้าได้ไอเดียอะไรใหม่ๆจะมาเล่าสู่กันฟังนะครับ บาย...