สมมุติ หรือมหาสมมติราชใหญ่ ในฝ่ายของการเข้าใจของเรานี้ เห็นจะไม่นับไปอย่างมากอะไรนัก เว้นแต่จะพูดรวมว่าเป็น มนุสฺส คือเห็นเป็นมาแต่พระมนูโน้น, แล้วจึงเรียกสรรพะสรรพางค์ ทั่วๆ อยู่ว่า “เป็นไปในแผ่นดินโลก” สมมุติใหญ่สุดที่จะบรรยาย จึงสมมุติว่า คือสมมุติธรรม มาตั้งแต่การตั้งตัวมา เนิ่นนานยืดยาวมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ ที่ตั้งบัญญัติสมมุติให้ว่ามนุษย์เราวัฒนะ ไปจนตลอดสุดสาครและแผ่นดินอันนี้
แต่สมมุติใหญ่ใจความ ในพระคัมภีร์กล่าวไว้เป็นชื่อว่ามีอีก เป็นต้นมีชื่อว่า “โอกกา.” เป็นต้น. ว่าดังต่อไปนี้
ดังได้สดับมา พระราชโอรสของพระเจ้ามหาสมมติราชแห่งกัปที่
เป็นปฐมกัป ทรงพระนามว่า โรชะ พระราชโอรสของพระเจ้าโรชะ
ทรงพระนามว่า วโรชะ ของพระเจ้าวโรชะ ทรงพระนามว่า กัลยาณะ
ของพระเจ้ากัลยาณะ ทรงพระนามว่า วรกัลยาณะ ของพระเจ้าวรกัลยาณะ
ทรงพระนามว่า มันธาตุ ของพระเจ้ามันธาตุ ทรงพระนามว่า วรมันธาตุ
ของพระเจ้าวรมันธาตุ ทรงพระนามว่า อุโบสถ ของพระเจ้าอุโบสถ
ทรงพระนามว่า วระ ของพระเจ้าวระ. ทรงพระนามว่า อุปวระ ของ
พระเจ้าอุปวระ ทรงพระนามว่า มฆเทวะ ของพระเจ้ามฆเทวะ โดยสืบ
ตามลำดับมาเป็นกษัตริย์ ๘๔,๐๐๐ พระองค์. หลังจากกษัตริย์เหล่านั้น
ได้มีวงศ์สกุลของพระเจ้าโอกกากะ ๓ สกุล. ใน ๓ สกุลนั้น พระเจ้า-
โอกกากราชที่ ๓ ทรงมีพระมเหสี ๕ พระองค์ คือ ทรงพระนามว่า หัตถา
จิตตา ชันตุ ชาลินี และวิสาขา. สำหรับพระมเหสีแต่ละพระองค์มี
สตรีองค์ละ ๕๐๐ เป็นบริวาร. พระมเหสีองค์ใหญ่ที่สุดมีพระราชโอรส
๔ พระองค์ คือ ทรงพระนามว่า โอกกามุขะ กรกัณฑุ หัตถินิกะ สินิปุระ. (มมร. ๑๑/๕๕๕/๖-๒๐)
ดังนี้ว่าเป็นสมมติราช ที่ไม่เรียกว่า มนุสฺส แล้ว เพราะได้ไกลออกไป และแอบอิงโองการ มากกว่าท่าทีของพระมนูธรรมล้วนๆที่เป็นอยู่ตามเดิม ฉะนั้น ก็เรียกว่า “โอกกามุขะ.” นั้นเป็นต้น เป็นวงศ์มาตั้งแต่ พระเจ้าโอกกากราช เป็นต้น, อย่างนี้เรียกว่า “สมมุติ.” แต่เรียกเป็นสมมติราชทดแทน สมมุติพระมนูอย่างเดิมที่มีมานั้น ให้เป็นในนามใหญ่แห่งโอกามุขะ ๔ พระองค์ และเห็นว่าจะมีลูกองค์เล็กเป้นราชกุมารที่เกิดแต่ราชเทวีมาอีก ๑ องค์ ในกองราชสมบัติ ซึ่งได้สิทธิ์เวรโดยนามตามราชกิจนั้นว่า ชันตุ,
อันนี้ว่า สมัยนั้น ในวงศ์กษัตริย์ไม่คล้อยให้เรียกว่ามนุษย์ เพราะสมมุติสิ่งสร้างเรื่องให้เรียกว่า “เป็นกิจแห่งโองการ.” โองการนั้นนับว่าเป็นที่ ๒ นับจากตัวมนุษย์ เตือนขึ้นว่าเชื่อว่า เอาธุระจากความเป็นที่ ๒ เพราะว่าตัวเอกที่ ๑ นั้นได้มลายหายจากลงไป, เรียกใช้เอาจาก ทวิโองการ ว่า “ทวิ.” แปลงธาตุว่า เทวะ ทำพฤทธิ์เสียง อะ นั้น ให้เป็น เอ เข้าว่า เรื่องแห่งเทพไท้ในธรณีดลก็นับตามการเล่าลือ และเทวะก็นับว่าเกิดขึ้นแล้วนับตั้งแต่มหาสมมตินั้น โลกเทวสมบัติก็เกิดขึ้นเองพร้อมกับมนุษย์สมบัติที่ตั้งขึ้น, ติดตามกันไป มหาสมุติใหม่นี้เห็นจะหมายความว่าไฟ คือ “ไฟ!” เพราะว่ามาจากคำว่าคบเพลิง เพราะเดิมนั้น เห็นจะเรียกคนเรียกชื่อ เรียกตนเรียกสิ่งสำคัญตามๆกันนั้น ตามพวกศัพท์นั้น ว่า อุกกะ กุกกะ เป็นต้น และว่าเป็นอุกกะ กุกกะราชะ เป็นต้น เพราะผู้ที่ขึ้นชื่อเป็นใหญ่ขึ้นนั้นได้ให้เกิดเกณฑ์การณ์ความน่าภิรมย์ ของการตั้งอยู่ด้วยกฎเกณฑ์ของคนในหมู่ แต่ละหมู่ ๆ นั้น, อุกกะนี้ คำนี้แปลว่า คบเพลิง กุกกะนั้น แปลว่า ให้พูดว่ากองเพลิง “ว่านี้แหละคือกองไฟ” ซึ่งเป็นดุจพระอาทิตย์กำลัง ที่ให้เข้ามาตั้งองค์แล้ว ในชาวเรา,
เรื่องนี้คุยมาจากเรื่องสมมุติ ที่แสดงมาจากข้อที่แล้วๆ ว่าจะคืออะไร? ที่ไหน? คือมาจากฟ้า มาอย่างนี้ แล้วมาเป็นคบเพลิงในโลก ซึ่งอาจจะหมายความว่า พระราชานั้นๆ จะต้องเลือกคนที่เป็นคนขี้โกรธให้เป็นก็อาจเป็นได้ จึงให้เรียกว่า “เป็นเจ้าเป็นไฟ เป็นใจเผาผลาญ”, แต่เฉพาะที่จะเผลาผลาญอริ และสิ่งร้ายเท่านั้น ราษฎรจึงยกว่าให้เป็นสมมติราช เป็นราชันย์ครองแผ่นดิน จรดมหาสมุทร ในพุทธศาสนคดีนี้นับถือกันว่า พระมหาสมมุติที่เป็นองค์ราชัน พระองค์แรกในโลกนี้แล้ว ก็คือ “พระเจ้าโอกกากราช”
มหาสมมติราชใหญ่
แต่สมมุติใหญ่ใจความ ในพระคัมภีร์กล่าวไว้เป็นชื่อว่ามีอีก เป็นต้นมีชื่อว่า “โอกกา.” เป็นต้น. ว่าดังต่อไปนี้
ดังได้สดับมา พระราชโอรสของพระเจ้ามหาสมมติราชแห่งกัปที่
เป็นปฐมกัป ทรงพระนามว่า โรชะ พระราชโอรสของพระเจ้าโรชะ
ทรงพระนามว่า วโรชะ ของพระเจ้าวโรชะ ทรงพระนามว่า กัลยาณะ
ของพระเจ้ากัลยาณะ ทรงพระนามว่า วรกัลยาณะ ของพระเจ้าวรกัลยาณะ
ทรงพระนามว่า มันธาตุ ของพระเจ้ามันธาตุ ทรงพระนามว่า วรมันธาตุ
ของพระเจ้าวรมันธาตุ ทรงพระนามว่า อุโบสถ ของพระเจ้าอุโบสถ
ทรงพระนามว่า วระ ของพระเจ้าวระ. ทรงพระนามว่า อุปวระ ของ
พระเจ้าอุปวระ ทรงพระนามว่า มฆเทวะ ของพระเจ้ามฆเทวะ โดยสืบ
ตามลำดับมาเป็นกษัตริย์ ๘๔,๐๐๐ พระองค์. หลังจากกษัตริย์เหล่านั้น
ได้มีวงศ์สกุลของพระเจ้าโอกกากะ ๓ สกุล. ใน ๓ สกุลนั้น พระเจ้า-
โอกกากราชที่ ๓ ทรงมีพระมเหสี ๕ พระองค์ คือ ทรงพระนามว่า หัตถา
จิตตา ชันตุ ชาลินี และวิสาขา. สำหรับพระมเหสีแต่ละพระองค์มี
สตรีองค์ละ ๕๐๐ เป็นบริวาร. พระมเหสีองค์ใหญ่ที่สุดมีพระราชโอรส
๔ พระองค์ คือ ทรงพระนามว่า โอกกามุขะ กรกัณฑุ หัตถินิกะ สินิปุระ. (มมร. ๑๑/๕๕๕/๖-๒๐)
ดังนี้ว่าเป็นสมมติราช ที่ไม่เรียกว่า มนุสฺส แล้ว เพราะได้ไกลออกไป และแอบอิงโองการ มากกว่าท่าทีของพระมนูธรรมล้วนๆที่เป็นอยู่ตามเดิม ฉะนั้น ก็เรียกว่า “โอกกามุขะ.” นั้นเป็นต้น เป็นวงศ์มาตั้งแต่ พระเจ้าโอกกากราช เป็นต้น, อย่างนี้เรียกว่า “สมมุติ.” แต่เรียกเป็นสมมติราชทดแทน สมมุติพระมนูอย่างเดิมที่มีมานั้น ให้เป็นในนามใหญ่แห่งโอกามุขะ ๔ พระองค์ และเห็นว่าจะมีลูกองค์เล็กเป้นราชกุมารที่เกิดแต่ราชเทวีมาอีก ๑ องค์ ในกองราชสมบัติ ซึ่งได้สิทธิ์เวรโดยนามตามราชกิจนั้นว่า ชันตุ,
อันนี้ว่า สมัยนั้น ในวงศ์กษัตริย์ไม่คล้อยให้เรียกว่ามนุษย์ เพราะสมมุติสิ่งสร้างเรื่องให้เรียกว่า “เป็นกิจแห่งโองการ.” โองการนั้นนับว่าเป็นที่ ๒ นับจากตัวมนุษย์ เตือนขึ้นว่าเชื่อว่า เอาธุระจากความเป็นที่ ๒ เพราะว่าตัวเอกที่ ๑ นั้นได้มลายหายจากลงไป, เรียกใช้เอาจาก ทวิโองการ ว่า “ทวิ.” แปลงธาตุว่า เทวะ ทำพฤทธิ์เสียง อะ นั้น ให้เป็น เอ เข้าว่า เรื่องแห่งเทพไท้ในธรณีดลก็นับตามการเล่าลือ และเทวะก็นับว่าเกิดขึ้นแล้วนับตั้งแต่มหาสมมตินั้น โลกเทวสมบัติก็เกิดขึ้นเองพร้อมกับมนุษย์สมบัติที่ตั้งขึ้น, ติดตามกันไป มหาสมุติใหม่นี้เห็นจะหมายความว่าไฟ คือ “ไฟ!” เพราะว่ามาจากคำว่าคบเพลิง เพราะเดิมนั้น เห็นจะเรียกคนเรียกชื่อ เรียกตนเรียกสิ่งสำคัญตามๆกันนั้น ตามพวกศัพท์นั้น ว่า อุกกะ กุกกะ เป็นต้น และว่าเป็นอุกกะ กุกกะราชะ เป็นต้น เพราะผู้ที่ขึ้นชื่อเป็นใหญ่ขึ้นนั้นได้ให้เกิดเกณฑ์การณ์ความน่าภิรมย์ ของการตั้งอยู่ด้วยกฎเกณฑ์ของคนในหมู่ แต่ละหมู่ ๆ นั้น, อุกกะนี้ คำนี้แปลว่า คบเพลิง กุกกะนั้น แปลว่า ให้พูดว่ากองเพลิง “ว่านี้แหละคือกองไฟ” ซึ่งเป็นดุจพระอาทิตย์กำลัง ที่ให้เข้ามาตั้งองค์แล้ว ในชาวเรา,
เรื่องนี้คุยมาจากเรื่องสมมุติ ที่แสดงมาจากข้อที่แล้วๆ ว่าจะคืออะไร? ที่ไหน? คือมาจากฟ้า มาอย่างนี้ แล้วมาเป็นคบเพลิงในโลก ซึ่งอาจจะหมายความว่า พระราชานั้นๆ จะต้องเลือกคนที่เป็นคนขี้โกรธให้เป็นก็อาจเป็นได้ จึงให้เรียกว่า “เป็นเจ้าเป็นไฟ เป็นใจเผาผลาญ”, แต่เฉพาะที่จะเผลาผลาญอริ และสิ่งร้ายเท่านั้น ราษฎรจึงยกว่าให้เป็นสมมติราช เป็นราชันย์ครองแผ่นดิน จรดมหาสมุทร ในพุทธศาสนคดีนี้นับถือกันว่า พระมหาสมมุติที่เป็นองค์ราชัน พระองค์แรกในโลกนี้แล้ว ก็คือ “พระเจ้าโอกกากราช”