------------------------------
บทที่ ๒ พระเจ้านครปตานี
------------------------------
ปตานีเป็นนครโบราณก่อตั้งมานานหลายร้อยปี หลังจากตัวเมืองเดิมเสียหายจากการโจมตีของอาณาจักรชวาเมื่อ ๘๐ ปีก่อนจึงย้ายมา สร้างเมืองใหม่อยู่ทางทิศใต้ของอ่าวปตานีราว ๓๐๐ เส้น (๑๒ กิโลเมตร) การเดินทางจากอ่าวมักล่องเรือเล็กเข้าสู่แม่น้ำปตานีแล้วมาขึ้นฝั่งทางทิศตะวันตกของตัวเมืองหรือทางด้านหลังเพราะพระราชวังหันหน้าไปเบื้องทิศตะวันออก ผังเมืองเป็นรูปสีเหลี่ยมกว้างยาวด้านละ ๑๒-๑๓ เส้น (๕๐๐ เมตร) ก่อกำแพงเป็นแนวดินสูงขุดคูเมืองรายรอบตลอด มีป้อมทหารอยู่ทั้งสี่มุมกำแพงเมือง
เซียงจือกงพร้อมคณะและเจ้าทิพพากันอัญเชิญสิ่งของบรรณาการจากพระเจ้ากรุงจีนล่องเรือมาตามแม่น้ำปตานี มีเรือของพระคลังเจ้าท่าเมืองปตานีพายนำ เมื่อมาถึงท่าพระวังจึงเทียบเรือขึ้นฝั่งแล้วเดินทางต่อด้วยม้าและรถลากที่เตรียมไว้ ตามรายทางข้างถนนเข้าเมืองมักพบเห็นโรงพักสินค้าอยู่ทั่วไปและโรงใหญ่ที่สุดย่อมเป็นของไต้ซีหง ใกล้กำแพงเมืองมีตลาดและร้านรวงขายสินค้าอยู่คึกคัก เมื่อผ่านประตูเมืองด้านทิศตะวันตกเข้าไปจึงพบเห็นตำหนักต่างๆ มักปลูกสร้างใกล้บ่อน้ำขนาดใหญ่ อีกทั้งมีวัดพุทธมหายานและเทวสถานพราหมณ์ปรากฏอยู่หลายแห่ง มองไปจะเห็นรูปหล่อสำริดองค์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรประดิษฐานอยู่ภายในวัดพุทธและองค์พระนารายณ์ภายในเทวสถานพราหมณ์
เมื่อเข้าใกล้จนพอมองเห็นด้านหลังพระราชวังทุกคนจึงลงจากหลังม้า โดยพระคลังเจ้าท่านำขบวนเดินอ้อมวนขวาเข้าสู่ด้านหน้าซึ่งเป็นลานหิน มีต้นไม้ใหญ่ใบโปร่งปลูกเรียงราย ตัวพระราชวังใหญ่โต ก่ออิฐถือปูนเป็นฐานและผนัง สลับด้วยงานไม้จำหลักพระทวารและพระบัญชร
บริเวณหน้าพระทวารมีทหารองครักษ์รายล้อมพร้อมทั้งอำมาตย์ใหญ่น้อย ผู้ยืนอยู่หน้าสุดเป็นชายสูงวัยอายุราว ๕๐ ปีแต่งกายด้วยผ้าสมปักขลิบทอง ลักษณะแถบผ้าและลายตะเข็บบ่งบอกศักดิ์ฐานะขุนนางชั้นสูงสุด ใบหน้าประดับด้วยหนวดเคราสีเงินบางๆ รับกับผมสีขาวดอกเลา รูปร่างสมบูรณ์ไม่สูงหรือเตี้ยเกินไป บุคลิกสง่าสีหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา
“ข้าพเจ้ามหาอำมาตย์วาสุธี เสนาบดีใหญ่นครปตานี ขอต้อนรับท่านเซียงจือกงผู้บัญชาการกองเรือสินค้าแห่งพระจักรพรรดิกรุงจีน” อำมาตย์ผู้มีตำแหน่งสูงสุดกล่าวด้วยอาการสนิทสนม
“ขอบพระคุณท่านที่ให้การต้อนรับ หนึ่งปีที่ผ่านมาท่านมหาอำมาตย์สบายดีหรือ” เซียงจือกงกล่าวทักทายตอบด้วยไมตรี ทุกครั้งที่ล่องเรือมามหาอำมาตย์มักจะเป็นผู้ดูแลต้อนรับอีกทั้งยังเชื้อเชิญไปสังสรรค์ที่เรือนพักของท่านเป็นประจำ
ครั้นสนทนากันไปสักครู่หนึ่งท่านมหาอำมาตย์จึงเชิญคณะทั้งหมดเข้าเฝ้าพระเจ้าปตานี โดยเจ้าทิพเปลี่ยนตำแหน่งไปติดตามอยู่ด้านหลังคณะของมหาอำมาตย์
เสียงดังจากภายในท้องพระโรงดังขึ้น เซียงจือกงสันนิษฐานว่าเป็นคำประกาศให้เบิกคณะของตนเข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าปตานี
เซียงจือกงเดินก้มหน้าอาการสำรวม ก้าวช้าๆ ทิ้งระยะให้มหาอำมาตย์และมนตรีที่มารอต้อนรับรวมทั้งเจ้าทิพได้เดินเข่าเข้าสู่ภายในท้องพระโรงเป็นลำดับแรก ครั้นถึงหน้าพระที่นั่งจึงนำคณะจากกองเรือจีนก้มลงคุกเข่าคำนับจรดพื้นตามประเพณีราชสำนักกรุงจีนต่อผู้ครองนครหัวเมือง
“ข้าพระองค์ เซียงจือกงผู้บังคับบัญชากองเรือสินค้าของพระจักรพรรดิกรุงจีนขอกราบถวายพระพรพระเจ้าฤทธิเทวา เจสุตตรา พระเจ้าผู้ครองนครปตานี พระเจ้าค่ะ”
พระเจ้าฤทธิเทวา เจ้าเมืองปตานีมีพระนามเดิมว่า เจสุตตรา ประทับบัลลังก์ทองสลักลวดลายพระยานาค ทรงสวมมงกุฎทองทรงสั้นประดับเพชรพลอยแวววาว ทรงฉลองพระองค์แขนยาวสีน้ำเงินเป็นภูษาไหมตัดเย็บสลับแพรต่วนปักร้อยอัญมณี ทรงสร้อยพระสังวาลยาว ทรงพระสนับเพลายาวถึงกลางพระชงฆ์ (หน้าแข้ง) ทรงพระภูษาทับ พระพักตร์อิ่มเอิบด้วยปิติ
แม้พระองค์จะทรงภาษาจีนได้แต่ด้วยธรรมเนียมพิธีการเข้าเฝ้าในท้องพระโรงใหญ่ จึงมีพระปฏิสันถารผ่านล่ามเพื่อแปลภาษาทอดหนึ่ง
“พระจักรพรรดิแห่งกรุงจีนทรงสำราญพระหฤทัยดีอยู่หรือ”
“พระองค์ทรงพระสำราญดีพระเจ้าค่ะ และมีรับสั่งให้ข้าพระองค์กราบทูลถามพระองค์เช่นกัน พระเจ้าค่ะ”
“ทั้งตัวเราและบ้านเมืองล้วนเป็นสุข มิได้มีเรื่องใดให้ขัดข้องใจไม่”
“ข้าพระองค์จะได้นำกราบทูลองค์พระจักรพรรดิดังนั้นพระเจ้าค่ะ” หยุดครู่หนึ่งจึงกล่าว “ในครั้งนี้ องค์พระจักรพรรดิโปรดให้ข้าพระองค์นำสิ่งของเครื่องกำนัลจากกรุงจีนมาถวายแด่พระองค์ พระเจ้าค่ะ”
จากนั้นจึงขอเบิกตัวทหารจีนด้านนอกให้ลำเลียงหีบสิ่งของเข้ามาในท้องพระโรง เป็นหีบไม้พื้นสีแดงแกะสลักรูปมังกรสีทองโดยรอบ ขนาดกว้างยาวและสูงด้านละ ๓ ศอก จำนวน ๓ หีบ แล้วจัดการเปิดฝาหีบออกทีละใบพร้อมกับตัวนายใหญ่แห่งกองเรือมังกรกราบทูลบรรยายว่า
“สิ่งของในหีบแรกเป็นเครื่องราชูปโภคลายคราม ทั้งจานถ้วยชามเครื่องต้น ถ้วยพระสุธารส พระตะพาบ ชามชำระพระหัตถ์ พระสุพรรณศรี เป็นต้น ทั้งหมดวาดเป็นลายดอกไม้ห้าสีเข้าชุดกัน พระเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นพระเจ้าฤทธิเทวาทรงพยักพระพักตร์พอพระทัยจึงให้ทยอยเปิดหีบอีกสองใบที่เหลือ กราบทูลต่อ
“ส่วนหีบที่สอง บรรจุผ้าแพรโล่ต่วน แพรกิมต่วน อย่างละ ๗ สี... และในหีบใบสุดท้าย เป็นเครื่องหยกแกะสลักรูปมังกรและงาช้างแกะสลักรูปหงส์... ของทั้งหมดทำถวายโดยช่างเอกผู้มีชื่อเสียงในแต่ละสาขาของราชสำนักกรุงจีนพระเจ้าค่ะ”
พระเจ้านครปตานีทอดพระเนตรและทรงรับฟังด้วยความพอพระทัย จากนั้นรับสั่งเชิญเซียงจือกงขึ้นนั่งบนตั่งที่จัดไว้เบื้องซ้ายของพระองค์ มีสามที่นั่งสำหรับเซียงจือกง ไต้ซีหงและนายกองสินค้า ส่วนเบื้องขวาเป็นพระทื่นั่งของพระมเหสี และองค์ชายอัศวเมฆ ถัดเรียงไปเป็นตั่งเล็กๆ ๔ ตัว ตัวแรกและตัวสุดท้ายเว้นว่างไว้สำหรับมหาอำมาตย์วาสุธีและพระคลังนายท่า ส่วนตั่งอีก ๒ ตัวตรงกลางมีผู้นั่งอยู่คือ “ขุนพลสิงหล” ผู้คุมกองทัพปตานี และพระคลังนายท่าจากเมืองนครศรีธรรมราช
เมื่อทุกคนเข้านั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว องค์ประมุขแห่งปตานีมีพระปฏิสันถารกับนายเรือผู้แทนพระองค์พระจักรพรรดิกรุงจีนในเรื่องการบ้านการเมืองของสองนคร
บรรยากาศในพิธีต้อนรับเป็นไปด้วยความชื่นมื่น ทั้งสองฝ่ายต่างแสดงมิตรไมตรีต่อกัน เซียงจือกงกราบทูลให้พระเจ้าฤทธิเทวามั่นพระทัย แม้ราชสำนักที่มีอิทธิพลเหนือดินแดนแถบนี้จะเป็นสุโขทัยหรืออโยธยา แต่มิว่าอย่างไรปตานีก็คือเมืองท่าเอกอุของคาบสมุทรแห่งนี้ตลอดไป
องค์ชายอัศวเมฆแม้จะทรงเข้าร่วมพิธีต้อนรับเซียงจือกงทุกปีแต่มิได้ตระหนักถึงความสำคัญใด ด้วยยังทรงเยาว์และตลอดสิบปีที่เกิดสงครามจลาจลแย่งชิงอำนาจในกรุงจีน กองเรือสำเภาที่แต่งมาก็มิใคร่ยิ่งใหญ่ เพิ่งจะเริ่มกลับเข้ามาติดต่อเป็นทางการกับราชสำนักปตานีได้ไม่นาน ครั้นทรงสบช่องจึงรับสั่งแทรกขึ้นว่า
“ท่านนายกองเรือกล่าวยกย่องเมืองปตานีเกินไปจนเรารู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง อีกทั้งราชสำนักกรุงจีนก็โปรดพระราชบิดาของเรานัก แต่การกระทำของท่านเมื่อวานนี้ช่างขัดแย้งสิ้นเชิงกับสิ่งที่ท่านกล่าวมา แม้ธรรมเนียมการมอบถวายของกำนัลก็ถูกละเลยหาได้กระทำให้เหมาะสมไม่”
พระเจ้าฤทธิเทวาทรงตกพระทัยในสิ่งที่องค์ชายรับสั่งขึ้น
“นี่เจ้ากล่าวเรื่องอันใด”
“ขอเดชะ หม่อมฉันกราบทูลตามข้อเท็จจริง อันตัวท่านนายกองเรือผู้นี้รับพระบรมราชโองการจากพระจักรพรรดิกรุงจีนให้เข้ามาด้วยฉันทไมตรีกับนครเรา แต่ตัวท่านกลับปฏิบัติหยามเกียรติเมืองปตานี มิได้ใส่ใจในธรรมเนียมปฏิบัติของการถวายของกำนัลใดเลย พระเจ้าค่ะ”
“มีเรื่องใดเกิดขึ้นหรือ” พระเจ้าปตานีรับสั่งถามด้วยฉงนในพระทัย ทรงหันพระพักตร์ไปมาที่คู่กรณีทั้งสอง
องค์ชายอัศวเมฆทรงยิ้มกริ่มสบพระทัย สงบรอเป็นเชิงให้นายเรือเป็นฝ่ายเจรจาแก้ตัว
เซียงจือกงเห็นดังนั้นจึงกราบทูลด้วยสีหน้าปกติ มิได้สะดุ้งสะเทือนอันใดว่า
“ก่อนที่เรือจะเทียบท่าเมื่อวานนี้ ท่านไต้ซีหงและคณะได้ขึ้นเรือเพื่อตรวจรายการคนและสินค้า ในคณะมีเจ้าทิพรวมอยู่ด้วย ต่อมาภายหลังองค์ชายใหญ่ทรงล่องเรือต่างหากเสด็จตามขึ้นมา ข้าพระองค์เห็นผิดธรรมเนียมก็แต่องค์ชายอัศวเมฆจึงได้เชิญให้เสด็จกลับลงเรือไป เรื่องนี้เป็นประเด็นแรก”
“ท่านปฏิบัติถูกต้องแล้ว” พลางทอดพระเนตรไปยังเจ้าทิพที่หมอบเฝ้าอยู่ใกล้ๆ เซียงจือกง รับสั่งต่อว่า ”เจ้าทิพอยู่ในคณะของผู้แทนไต้ซีหงย่อมขึ้นเรือได้ ส่วนคนอื่นใดย่อมไม่สามารถขึ้นไปบนเรือก่อนพิธีการเรียกเทียบท่าจะเสร็จสิ้น... แล้วประเด็นอื่นละ”
พระเจ้าฤทธิเทวาทรงวินิจฉัยเฉียบขาดชัดเจนจนองค์ชายราชบุตรทรงหวั่นไหว แม้พระมเหสีผู้เป็นพระมารดาซึ่งมิได้ทรงทราบเรื่องมาก่อนก็ทรงพลอยอึกอักปั่นป่วนพระทัย
นายกองเรือผู้มีลิ้นนักการทูตกราบทูลต่อด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม ประหนึ่งกำลังสนองพระดำรัสถวายเรื่องเล่าสนุกทั่วไป
“อีกประเด็นคือ เมื่อปีที่แล้วเจ้าทิพได้ขอของสิ่งหนึ่งเป็นการส่วนตัวกับข้าพระองค์ คือผ้าแพรไหมดิ้นเงินดิ้นทองมีแต่ในราชสำนักกรุงจีน...”
ยังมิทันกราบทูลเสร็จสิ้น พระสุรเสียงเกรี้ยวกราดของพระเจ้าปตานีทรงดังขึ้น
“เจ้าทิพ... บังอาจนัก ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ตัวเจ้าไม่มีศักดิ์ใดจะได้มาขอสิ่งของระหว่างเมืองได้” ทรงจ้องสายพระเนตรดุดันไปที่เจ้าทิพที่หมอบเฝ้าอยู่
ชายหนุ่มได้แต่หมอบนิ่ง ตัวชาวาบด้วยพระสุรเสียงดังและกระด้าง แม้ไม่เงยหน้าขึ้นมองก็รู้ว่าทั้งพิโรธและทรงรังเกียจตน จนอดรู้สึกเจ็บแปลบดวงใจมิได้
ครั้งนี้พระมเหสีทรงรู้สึกสมพระทัยจนปรากฏรอยแย้มพระสรวลขึ้นบนพระพักตร์ ขณะที่เซียงจือกงยังคงกราบทูลว่า
“ข้าพระองค์รักใคร่เอ็นดูในตัวเจ้าทิพ เมื่อกลับไปถึงกรุงจีนมีโอกาสได้เข้าเฝ้าองค์พระจักรพรรดิ จึงกราบทูลขอแบ่งแพรพรรณดังกล่าวมาให้ พร้อมบอกถึงศักดิ์ฐานะของเจ้าทิพและความผูกพันที่ข้าพระองค์มีต่อเขา... องค์พระจักรพรรดิทรงพระกรุณาพระราชทานแพรพรรณให้ข้าพระองค์ เพื่อมอบให้เจ้าทิพตามที่กราบทูลขอ เมื่อเจ้าทิพขึ้นมาบนเรือพร้อมคณะของไต้ซีหงเมื่อวาน ข้าพระองค์จึงได้มอบให้และเจ้าทิพได้นำลงจากเรือข้าพระองค์เมื่อเช้านี้พระเจ้าค่ะ” กราบทูลแล้วเห็นสีพระพักตร์ของพระเจ้าปตานีเคร่งเครียดด้วยทรงตรึกตรอง
“แต่การที่ท่านมอบสิ่งของสูงค่าให้คนไร้ศักดิ์ในเมืองปตานีย่อมกระทำไม่ได้” องค์ชายใหญ่ทรงค้านขึ้นทันที แล้วไล่เลียงต่อ “อย่างน้อยท่านต้องขอให้องค์พระเจ้านครปตานีพระราชทานอนุญาตก่อน จะกระทำตามอำเภอใจไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอาจเข้าตรา...” แล้วนิ่งไว้ ไม่ทรงเอ่ยต่อคำว่า “กบฏ” ให้ครบคำ
ผู้แทนองค์พระจักรพรรดิยังคงประดับรอยยิ้มบนใบหน้า แม้รอยหยักขมวดหน้าผากก็มิเกิดขึ้น
“องค์ชายรับสั่งจริงแล้ว สิ่งของนี้เป็นของสูงค่าเพราะกระหม่อมได้รับพระราชทานจากองค์พระจักรพรรดิ แต่สิ่งของนี้ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งของที่ถูกต้องและมีการมอบให้อย่างถูกต้อง” แล้วพรรณาถึงเหตุผล “ที่เรียกว่าเป็นสิ่งของที่ถูกต้องเพราะทั้งผู้ขอและผู้ให้ระหว่างเมือง มีความชัดเจน ผู้ให้รู้ว่าสิ่งของนี้จะถูกนำไปให้ใครและศักดิ์ฐานะเป็นอย่างไร มิได้เป็นการยักยอกโดยข้าพระองค์มาให้เจ้าทิพแต่ประการใด”
แม้ทูลต่อองค์ชาย แต่สังเกตเห็นพระพักตร์พระเจ้าฤทธิเทวาทรงอ่อนโยนลง จึงทูลต่อถึงข้อสำคัญ
“ส่วนการมอบก็กระทำอย่างถูกต้อง เพราะพระจักรพรรดิพระราชทานให้ข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จักมอบให้เจ้าทิพ มิได้เป็นการพระราชทานขององค์พระจักรพรรดิต่อเจ้าทิพโดยตรง ดังนั้นข้าพระองค์จึงสมควรมอบให้เจ้าทิพโดยตนเอง หากข้าพระองค์นำแพรพรรณนี้ขึ้นทูลถวายพระเจ้านครปตานีเพื่อให้พระราชทานแก่เจ้าทิพ เกรงว่ามิใคร่จะถูกธรรมเนียมและเป็นการหมิ่นพระเกียรติยศด้วยพระเจ้าค่ะ... อีกทั้งข้าพระองค์ให้ไต้ซีหงแจ้งรวมอยู่ในทำเนียบสินค้าขึ้นเทียบท่าพร้อมเปรียบเทียบอากรที่ต้องชำระแล้วด้วย พระเจ้าค่ะ”
พระเจ้าฤทธิเทวาทรงรับฟังคำอธิบายของขุนทัพนายเรือจีน เห็นถูกต้องเหมาะสมทุกประการ แม้จะทรงขัดเคืองด้วยเป็นเรื่องราวเกี่ยวพันกับเจ้าทิพผู้มิโปรดก็จำต้องทรงระงับพระทัย ทรงพระสรวลขึ้น ตรัสว่า
“สมแล้วที่เป็นเซียงจือกง ผู้ที่ได้ชื่อว่ารู้คน รู้ธรรมเนียม รู้ประเทศ... ในท้องน้ำนี้จะหาใครจัดการเรื่องราวได้เหมาะสมถูกต้องดั่งตัวท่านคงไม่มีแล้ว” แล้วหันพระพักตร์ไปรับสั่งตำหนิองค์ชายอัศวเมฆ
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๒
บทที่ ๒ พระเจ้านครปตานี
------------------------------
ปตานีเป็นนครโบราณก่อตั้งมานานหลายร้อยปี หลังจากตัวเมืองเดิมเสียหายจากการโจมตีของอาณาจักรชวาเมื่อ ๘๐ ปีก่อนจึงย้ายมา สร้างเมืองใหม่อยู่ทางทิศใต้ของอ่าวปตานีราว ๓๐๐ เส้น (๑๒ กิโลเมตร) การเดินทางจากอ่าวมักล่องเรือเล็กเข้าสู่แม่น้ำปตานีแล้วมาขึ้นฝั่งทางทิศตะวันตกของตัวเมืองหรือทางด้านหลังเพราะพระราชวังหันหน้าไปเบื้องทิศตะวันออก ผังเมืองเป็นรูปสีเหลี่ยมกว้างยาวด้านละ ๑๒-๑๓ เส้น (๕๐๐ เมตร) ก่อกำแพงเป็นแนวดินสูงขุดคูเมืองรายรอบตลอด มีป้อมทหารอยู่ทั้งสี่มุมกำแพงเมือง
เซียงจือกงพร้อมคณะและเจ้าทิพพากันอัญเชิญสิ่งของบรรณาการจากพระเจ้ากรุงจีนล่องเรือมาตามแม่น้ำปตานี มีเรือของพระคลังเจ้าท่าเมืองปตานีพายนำ เมื่อมาถึงท่าพระวังจึงเทียบเรือขึ้นฝั่งแล้วเดินทางต่อด้วยม้าและรถลากที่เตรียมไว้ ตามรายทางข้างถนนเข้าเมืองมักพบเห็นโรงพักสินค้าอยู่ทั่วไปและโรงใหญ่ที่สุดย่อมเป็นของไต้ซีหง ใกล้กำแพงเมืองมีตลาดและร้านรวงขายสินค้าอยู่คึกคัก เมื่อผ่านประตูเมืองด้านทิศตะวันตกเข้าไปจึงพบเห็นตำหนักต่างๆ มักปลูกสร้างใกล้บ่อน้ำขนาดใหญ่ อีกทั้งมีวัดพุทธมหายานและเทวสถานพราหมณ์ปรากฏอยู่หลายแห่ง มองไปจะเห็นรูปหล่อสำริดองค์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรประดิษฐานอยู่ภายในวัดพุทธและองค์พระนารายณ์ภายในเทวสถานพราหมณ์
เมื่อเข้าใกล้จนพอมองเห็นด้านหลังพระราชวังทุกคนจึงลงจากหลังม้า โดยพระคลังเจ้าท่านำขบวนเดินอ้อมวนขวาเข้าสู่ด้านหน้าซึ่งเป็นลานหิน มีต้นไม้ใหญ่ใบโปร่งปลูกเรียงราย ตัวพระราชวังใหญ่โต ก่ออิฐถือปูนเป็นฐานและผนัง สลับด้วยงานไม้จำหลักพระทวารและพระบัญชร
บริเวณหน้าพระทวารมีทหารองครักษ์รายล้อมพร้อมทั้งอำมาตย์ใหญ่น้อย ผู้ยืนอยู่หน้าสุดเป็นชายสูงวัยอายุราว ๕๐ ปีแต่งกายด้วยผ้าสมปักขลิบทอง ลักษณะแถบผ้าและลายตะเข็บบ่งบอกศักดิ์ฐานะขุนนางชั้นสูงสุด ใบหน้าประดับด้วยหนวดเคราสีเงินบางๆ รับกับผมสีขาวดอกเลา รูปร่างสมบูรณ์ไม่สูงหรือเตี้ยเกินไป บุคลิกสง่าสีหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา
“ข้าพเจ้ามหาอำมาตย์วาสุธี เสนาบดีใหญ่นครปตานี ขอต้อนรับท่านเซียงจือกงผู้บัญชาการกองเรือสินค้าแห่งพระจักรพรรดิกรุงจีน” อำมาตย์ผู้มีตำแหน่งสูงสุดกล่าวด้วยอาการสนิทสนม
“ขอบพระคุณท่านที่ให้การต้อนรับ หนึ่งปีที่ผ่านมาท่านมหาอำมาตย์สบายดีหรือ” เซียงจือกงกล่าวทักทายตอบด้วยไมตรี ทุกครั้งที่ล่องเรือมามหาอำมาตย์มักจะเป็นผู้ดูแลต้อนรับอีกทั้งยังเชื้อเชิญไปสังสรรค์ที่เรือนพักของท่านเป็นประจำ
ครั้นสนทนากันไปสักครู่หนึ่งท่านมหาอำมาตย์จึงเชิญคณะทั้งหมดเข้าเฝ้าพระเจ้าปตานี โดยเจ้าทิพเปลี่ยนตำแหน่งไปติดตามอยู่ด้านหลังคณะของมหาอำมาตย์
เสียงดังจากภายในท้องพระโรงดังขึ้น เซียงจือกงสันนิษฐานว่าเป็นคำประกาศให้เบิกคณะของตนเข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าปตานี
เซียงจือกงเดินก้มหน้าอาการสำรวม ก้าวช้าๆ ทิ้งระยะให้มหาอำมาตย์และมนตรีที่มารอต้อนรับรวมทั้งเจ้าทิพได้เดินเข่าเข้าสู่ภายในท้องพระโรงเป็นลำดับแรก ครั้นถึงหน้าพระที่นั่งจึงนำคณะจากกองเรือจีนก้มลงคุกเข่าคำนับจรดพื้นตามประเพณีราชสำนักกรุงจีนต่อผู้ครองนครหัวเมือง
“ข้าพระองค์ เซียงจือกงผู้บังคับบัญชากองเรือสินค้าของพระจักรพรรดิกรุงจีนขอกราบถวายพระพรพระเจ้าฤทธิเทวา เจสุตตรา พระเจ้าผู้ครองนครปตานี พระเจ้าค่ะ”
พระเจ้าฤทธิเทวา เจ้าเมืองปตานีมีพระนามเดิมว่า เจสุตตรา ประทับบัลลังก์ทองสลักลวดลายพระยานาค ทรงสวมมงกุฎทองทรงสั้นประดับเพชรพลอยแวววาว ทรงฉลองพระองค์แขนยาวสีน้ำเงินเป็นภูษาไหมตัดเย็บสลับแพรต่วนปักร้อยอัญมณี ทรงสร้อยพระสังวาลยาว ทรงพระสนับเพลายาวถึงกลางพระชงฆ์ (หน้าแข้ง) ทรงพระภูษาทับ พระพักตร์อิ่มเอิบด้วยปิติ
แม้พระองค์จะทรงภาษาจีนได้แต่ด้วยธรรมเนียมพิธีการเข้าเฝ้าในท้องพระโรงใหญ่ จึงมีพระปฏิสันถารผ่านล่ามเพื่อแปลภาษาทอดหนึ่ง
“พระจักรพรรดิแห่งกรุงจีนทรงสำราญพระหฤทัยดีอยู่หรือ”
“พระองค์ทรงพระสำราญดีพระเจ้าค่ะ และมีรับสั่งให้ข้าพระองค์กราบทูลถามพระองค์เช่นกัน พระเจ้าค่ะ”
“ทั้งตัวเราและบ้านเมืองล้วนเป็นสุข มิได้มีเรื่องใดให้ขัดข้องใจไม่”
“ข้าพระองค์จะได้นำกราบทูลองค์พระจักรพรรดิดังนั้นพระเจ้าค่ะ” หยุดครู่หนึ่งจึงกล่าว “ในครั้งนี้ องค์พระจักรพรรดิโปรดให้ข้าพระองค์นำสิ่งของเครื่องกำนัลจากกรุงจีนมาถวายแด่พระองค์ พระเจ้าค่ะ”
จากนั้นจึงขอเบิกตัวทหารจีนด้านนอกให้ลำเลียงหีบสิ่งของเข้ามาในท้องพระโรง เป็นหีบไม้พื้นสีแดงแกะสลักรูปมังกรสีทองโดยรอบ ขนาดกว้างยาวและสูงด้านละ ๓ ศอก จำนวน ๓ หีบ แล้วจัดการเปิดฝาหีบออกทีละใบพร้อมกับตัวนายใหญ่แห่งกองเรือมังกรกราบทูลบรรยายว่า
“สิ่งของในหีบแรกเป็นเครื่องราชูปโภคลายคราม ทั้งจานถ้วยชามเครื่องต้น ถ้วยพระสุธารส พระตะพาบ ชามชำระพระหัตถ์ พระสุพรรณศรี เป็นต้น ทั้งหมดวาดเป็นลายดอกไม้ห้าสีเข้าชุดกัน พระเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นพระเจ้าฤทธิเทวาทรงพยักพระพักตร์พอพระทัยจึงให้ทยอยเปิดหีบอีกสองใบที่เหลือ กราบทูลต่อ
“ส่วนหีบที่สอง บรรจุผ้าแพรโล่ต่วน แพรกิมต่วน อย่างละ ๗ สี... และในหีบใบสุดท้าย เป็นเครื่องหยกแกะสลักรูปมังกรและงาช้างแกะสลักรูปหงส์... ของทั้งหมดทำถวายโดยช่างเอกผู้มีชื่อเสียงในแต่ละสาขาของราชสำนักกรุงจีนพระเจ้าค่ะ”
พระเจ้านครปตานีทอดพระเนตรและทรงรับฟังด้วยความพอพระทัย จากนั้นรับสั่งเชิญเซียงจือกงขึ้นนั่งบนตั่งที่จัดไว้เบื้องซ้ายของพระองค์ มีสามที่นั่งสำหรับเซียงจือกง ไต้ซีหงและนายกองสินค้า ส่วนเบื้องขวาเป็นพระทื่นั่งของพระมเหสี และองค์ชายอัศวเมฆ ถัดเรียงไปเป็นตั่งเล็กๆ ๔ ตัว ตัวแรกและตัวสุดท้ายเว้นว่างไว้สำหรับมหาอำมาตย์วาสุธีและพระคลังนายท่า ส่วนตั่งอีก ๒ ตัวตรงกลางมีผู้นั่งอยู่คือ “ขุนพลสิงหล” ผู้คุมกองทัพปตานี และพระคลังนายท่าจากเมืองนครศรีธรรมราช
เมื่อทุกคนเข้านั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว องค์ประมุขแห่งปตานีมีพระปฏิสันถารกับนายเรือผู้แทนพระองค์พระจักรพรรดิกรุงจีนในเรื่องการบ้านการเมืองของสองนคร
บรรยากาศในพิธีต้อนรับเป็นไปด้วยความชื่นมื่น ทั้งสองฝ่ายต่างแสดงมิตรไมตรีต่อกัน เซียงจือกงกราบทูลให้พระเจ้าฤทธิเทวามั่นพระทัย แม้ราชสำนักที่มีอิทธิพลเหนือดินแดนแถบนี้จะเป็นสุโขทัยหรืออโยธยา แต่มิว่าอย่างไรปตานีก็คือเมืองท่าเอกอุของคาบสมุทรแห่งนี้ตลอดไป
องค์ชายอัศวเมฆแม้จะทรงเข้าร่วมพิธีต้อนรับเซียงจือกงทุกปีแต่มิได้ตระหนักถึงความสำคัญใด ด้วยยังทรงเยาว์และตลอดสิบปีที่เกิดสงครามจลาจลแย่งชิงอำนาจในกรุงจีน กองเรือสำเภาที่แต่งมาก็มิใคร่ยิ่งใหญ่ เพิ่งจะเริ่มกลับเข้ามาติดต่อเป็นทางการกับราชสำนักปตานีได้ไม่นาน ครั้นทรงสบช่องจึงรับสั่งแทรกขึ้นว่า
“ท่านนายกองเรือกล่าวยกย่องเมืองปตานีเกินไปจนเรารู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง อีกทั้งราชสำนักกรุงจีนก็โปรดพระราชบิดาของเรานัก แต่การกระทำของท่านเมื่อวานนี้ช่างขัดแย้งสิ้นเชิงกับสิ่งที่ท่านกล่าวมา แม้ธรรมเนียมการมอบถวายของกำนัลก็ถูกละเลยหาได้กระทำให้เหมาะสมไม่”
พระเจ้าฤทธิเทวาทรงตกพระทัยในสิ่งที่องค์ชายรับสั่งขึ้น
“นี่เจ้ากล่าวเรื่องอันใด”
“ขอเดชะ หม่อมฉันกราบทูลตามข้อเท็จจริง อันตัวท่านนายกองเรือผู้นี้รับพระบรมราชโองการจากพระจักรพรรดิกรุงจีนให้เข้ามาด้วยฉันทไมตรีกับนครเรา แต่ตัวท่านกลับปฏิบัติหยามเกียรติเมืองปตานี มิได้ใส่ใจในธรรมเนียมปฏิบัติของการถวายของกำนัลใดเลย พระเจ้าค่ะ”
“มีเรื่องใดเกิดขึ้นหรือ” พระเจ้าปตานีรับสั่งถามด้วยฉงนในพระทัย ทรงหันพระพักตร์ไปมาที่คู่กรณีทั้งสอง
องค์ชายอัศวเมฆทรงยิ้มกริ่มสบพระทัย สงบรอเป็นเชิงให้นายเรือเป็นฝ่ายเจรจาแก้ตัว
เซียงจือกงเห็นดังนั้นจึงกราบทูลด้วยสีหน้าปกติ มิได้สะดุ้งสะเทือนอันใดว่า
“ก่อนที่เรือจะเทียบท่าเมื่อวานนี้ ท่านไต้ซีหงและคณะได้ขึ้นเรือเพื่อตรวจรายการคนและสินค้า ในคณะมีเจ้าทิพรวมอยู่ด้วย ต่อมาภายหลังองค์ชายใหญ่ทรงล่องเรือต่างหากเสด็จตามขึ้นมา ข้าพระองค์เห็นผิดธรรมเนียมก็แต่องค์ชายอัศวเมฆจึงได้เชิญให้เสด็จกลับลงเรือไป เรื่องนี้เป็นประเด็นแรก”
“ท่านปฏิบัติถูกต้องแล้ว” พลางทอดพระเนตรไปยังเจ้าทิพที่หมอบเฝ้าอยู่ใกล้ๆ เซียงจือกง รับสั่งต่อว่า ”เจ้าทิพอยู่ในคณะของผู้แทนไต้ซีหงย่อมขึ้นเรือได้ ส่วนคนอื่นใดย่อมไม่สามารถขึ้นไปบนเรือก่อนพิธีการเรียกเทียบท่าจะเสร็จสิ้น... แล้วประเด็นอื่นละ”
พระเจ้าฤทธิเทวาทรงวินิจฉัยเฉียบขาดชัดเจนจนองค์ชายราชบุตรทรงหวั่นไหว แม้พระมเหสีผู้เป็นพระมารดาซึ่งมิได้ทรงทราบเรื่องมาก่อนก็ทรงพลอยอึกอักปั่นป่วนพระทัย
นายกองเรือผู้มีลิ้นนักการทูตกราบทูลต่อด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม ประหนึ่งกำลังสนองพระดำรัสถวายเรื่องเล่าสนุกทั่วไป
“อีกประเด็นคือ เมื่อปีที่แล้วเจ้าทิพได้ขอของสิ่งหนึ่งเป็นการส่วนตัวกับข้าพระองค์ คือผ้าแพรไหมดิ้นเงินดิ้นทองมีแต่ในราชสำนักกรุงจีน...”
ยังมิทันกราบทูลเสร็จสิ้น พระสุรเสียงเกรี้ยวกราดของพระเจ้าปตานีทรงดังขึ้น
“เจ้าทิพ... บังอาจนัก ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ตัวเจ้าไม่มีศักดิ์ใดจะได้มาขอสิ่งของระหว่างเมืองได้” ทรงจ้องสายพระเนตรดุดันไปที่เจ้าทิพที่หมอบเฝ้าอยู่
ชายหนุ่มได้แต่หมอบนิ่ง ตัวชาวาบด้วยพระสุรเสียงดังและกระด้าง แม้ไม่เงยหน้าขึ้นมองก็รู้ว่าทั้งพิโรธและทรงรังเกียจตน จนอดรู้สึกเจ็บแปลบดวงใจมิได้
ครั้งนี้พระมเหสีทรงรู้สึกสมพระทัยจนปรากฏรอยแย้มพระสรวลขึ้นบนพระพักตร์ ขณะที่เซียงจือกงยังคงกราบทูลว่า
“ข้าพระองค์รักใคร่เอ็นดูในตัวเจ้าทิพ เมื่อกลับไปถึงกรุงจีนมีโอกาสได้เข้าเฝ้าองค์พระจักรพรรดิ จึงกราบทูลขอแบ่งแพรพรรณดังกล่าวมาให้ พร้อมบอกถึงศักดิ์ฐานะของเจ้าทิพและความผูกพันที่ข้าพระองค์มีต่อเขา... องค์พระจักรพรรดิทรงพระกรุณาพระราชทานแพรพรรณให้ข้าพระองค์ เพื่อมอบให้เจ้าทิพตามที่กราบทูลขอ เมื่อเจ้าทิพขึ้นมาบนเรือพร้อมคณะของไต้ซีหงเมื่อวาน ข้าพระองค์จึงได้มอบให้และเจ้าทิพได้นำลงจากเรือข้าพระองค์เมื่อเช้านี้พระเจ้าค่ะ” กราบทูลแล้วเห็นสีพระพักตร์ของพระเจ้าปตานีเคร่งเครียดด้วยทรงตรึกตรอง
“แต่การที่ท่านมอบสิ่งของสูงค่าให้คนไร้ศักดิ์ในเมืองปตานีย่อมกระทำไม่ได้” องค์ชายใหญ่ทรงค้านขึ้นทันที แล้วไล่เลียงต่อ “อย่างน้อยท่านต้องขอให้องค์พระเจ้านครปตานีพระราชทานอนุญาตก่อน จะกระทำตามอำเภอใจไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอาจเข้าตรา...” แล้วนิ่งไว้ ไม่ทรงเอ่ยต่อคำว่า “กบฏ” ให้ครบคำ
ผู้แทนองค์พระจักรพรรดิยังคงประดับรอยยิ้มบนใบหน้า แม้รอยหยักขมวดหน้าผากก็มิเกิดขึ้น
“องค์ชายรับสั่งจริงแล้ว สิ่งของนี้เป็นของสูงค่าเพราะกระหม่อมได้รับพระราชทานจากองค์พระจักรพรรดิ แต่สิ่งของนี้ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งของที่ถูกต้องและมีการมอบให้อย่างถูกต้อง” แล้วพรรณาถึงเหตุผล “ที่เรียกว่าเป็นสิ่งของที่ถูกต้องเพราะทั้งผู้ขอและผู้ให้ระหว่างเมือง มีความชัดเจน ผู้ให้รู้ว่าสิ่งของนี้จะถูกนำไปให้ใครและศักดิ์ฐานะเป็นอย่างไร มิได้เป็นการยักยอกโดยข้าพระองค์มาให้เจ้าทิพแต่ประการใด”
แม้ทูลต่อองค์ชาย แต่สังเกตเห็นพระพักตร์พระเจ้าฤทธิเทวาทรงอ่อนโยนลง จึงทูลต่อถึงข้อสำคัญ
“ส่วนการมอบก็กระทำอย่างถูกต้อง เพราะพระจักรพรรดิพระราชทานให้ข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จักมอบให้เจ้าทิพ มิได้เป็นการพระราชทานขององค์พระจักรพรรดิต่อเจ้าทิพโดยตรง ดังนั้นข้าพระองค์จึงสมควรมอบให้เจ้าทิพโดยตนเอง หากข้าพระองค์นำแพรพรรณนี้ขึ้นทูลถวายพระเจ้านครปตานีเพื่อให้พระราชทานแก่เจ้าทิพ เกรงว่ามิใคร่จะถูกธรรมเนียมและเป็นการหมิ่นพระเกียรติยศด้วยพระเจ้าค่ะ... อีกทั้งข้าพระองค์ให้ไต้ซีหงแจ้งรวมอยู่ในทำเนียบสินค้าขึ้นเทียบท่าพร้อมเปรียบเทียบอากรที่ต้องชำระแล้วด้วย พระเจ้าค่ะ”
พระเจ้าฤทธิเทวาทรงรับฟังคำอธิบายของขุนทัพนายเรือจีน เห็นถูกต้องเหมาะสมทุกประการ แม้จะทรงขัดเคืองด้วยเป็นเรื่องราวเกี่ยวพันกับเจ้าทิพผู้มิโปรดก็จำต้องทรงระงับพระทัย ทรงพระสรวลขึ้น ตรัสว่า
“สมแล้วที่เป็นเซียงจือกง ผู้ที่ได้ชื่อว่ารู้คน รู้ธรรมเนียม รู้ประเทศ... ในท้องน้ำนี้จะหาใครจัดการเรื่องราวได้เหมาะสมถูกต้องดั่งตัวท่านคงไม่มีแล้ว” แล้วหันพระพักตร์ไปรับสั่งตำหนิองค์ชายอัศวเมฆ
(มีต่อ)