เป็นโรคซึมเศร้าอยากแชร์ประสบการณ์ให้ฟังครับ

สวัสดีครับเพื่อนๆชาวพันทิปทุกคน กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของ จขกท. และเป็นประสบการณ์ตรง ยาวมากๆ ผิดพลาดยังไงก็ขออภัยนะครับ

ต้องขอบอกก่อนครับว่าปัจจุบัน จขกท. กำลังศึกษาอยู่คณะเภสัช (ขอไม่เปิดเผยสถาบัน) ตอนนี้ก็ปี 6 แล้วครับ ปีสุดท้ายและกำลังฝึกงานอยู่ แต่เรื่องราวของการเป็นโรคซึมเศร้ามันเริ่มจากตอนที่  จขกท. อยู่ชั้นปี 5 เทอม 1 มันก็เป็นวันธรรมดาๆที่ตื่นขึ้นมาปั่นงาน แต่วันนั้นกลับมีความรู้สึกที่ไม่อยากทำอะไรเลยแม้แต่จะเปิดทีวีหรือเล่นเกมที่โปรดปราน เราก็นึกว่าวันนี้ก็คงเป็นวันขี้เกียจวันนึงของเราเหมือนอย่างที่ผ่านมาแหละ ก็อู้มันสักวันคงไม่เป็นไร

วันต่อมาครับ มีคลาสเรียนตอนเช้า จขกท. มีความรู้สึกไม่อยากทำอะไรเหมือนเดิม รู้สึกการออกไปเรียนนั้นทรมานยังกะกลั้นหายใจอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ลากตัวเองไปเรียนจนได้ครับ แต่ปัญหาก็คือไม่สามารถนั่งเรียนในห้องได้เลย ไม่มีสมาธิ ไม่รู้เรื่อง อึดอัดจนต้องเดินไปอ้วกในห้องน้ำ

แน่นอนว่าตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร คิดไปต่างๆนาๆ จนอาการแย่ลงเรื่อยๆ ไม่กินข้าว (น้ำหนักลดไป 13 กิโล) ไม่ไปเรียน ไม่ทำอะไรเลย ทำได้แค่นอนกับร้องไห้เท่านั้น ปรึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษา ครอบครัวแล้วก็เพื่อนอยู่บ้างแต่ก็ได้ข้อสรุปว่า เครียด เหนื่อย เท่านั้น ให้อดทนเรียนให้จบ เพราะมันเหลืออีกแค่ปีเดียวก็จบแล้ว ซึ่งในตอนนั้น จขกท. ก็เห็นด้วยนะ 70/30

จนกระทั้งวันหนึ่งที่ความอดทนในใจมันคงขาดสะบั้นลง จขกท. ตื่นมาพร้อมกับอ้วกลงพื้นอย่างควบคุมไม่ได้ น้ำตาที่ไม่อาจจะกลั้นได้ไหลออกมาแล้วทรุดตัวลงกับพื้น และเริ่มมีความคิดอยากฆ่าตัวตาย เราเรียนมาก็พอจะเข้าใจได้ว่าตัวเองมีอาการซึมเศร้าเลยให้เพื่อนรีบพาไปหาหมอเลย และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Major depressive disorder (พูดให้เข้าใจง่ายๆก็เป็นซึมเศร้าประเภทหนึ่งนั่นแหละครับ) แล้วเข้าพบจิตแพทย์

ตอนนั้นยอมรับว่าเป็นช่วงเลวร้ายที่สุด ไม่สามารถที่จะตั้งสมาธิหรือฝืนตัวเองให้ทำอะไรได้เลยแม้กระทั่งกินข้าว ทรมานมากขึ้นเหมือนโดนบีบหัวใจตลอดเวลา (ถ้านรกมีจริงสักขุมหนึ่งมันต้องมีความทรมานแบบนี้อยู่แน่นอน) ร้องไห้ทั้งวัน ไม่ว่าจะคิดหรือได้ยินอะไรก็จะคิดไปในแง่ลบได้ทั้งหมด ปรึกษาจิตแพทย์ 3 ครั้ง พอจะหาข้อสรุปได้ว่า มาจากการเรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการมานาน ตอนแรกในใจ จขกท. ก็ไม่อยากยอมรับครับ คิดดูสิว่าเราเรียนมาจนถึงปี 5 เกรดก็โอเคมาโดยตลอด ไม่เคยมีปัญหาอะไรในการเรียน แล้วจู่ๆมาบอกว่าการเรียนเป็นต้นเหตุ แต่จิตแพทย์ก็แนะนำว่า ใจเย็นๆ เราไม่จำเป็นต้องรีบหาสาเหตุก็ได้ อยู่กับปัจจุบันแล้วค่อยๆใช้ชีวิตก่อนนะ

กลับหอมาก็นอนไม่หลับครับ พอใจเย็นลงหน่อยก็คิดเรื่องสาเหตุของการซึมเศร้าของตนเอง คิดไปคิดมาก็คิดเรื่องที่จิตแพทย์พูดครับ แล้วก็ยอมรับในตัวเองว่าที่หมอพูดนั้นถูกต้อง เคยคิดในใจแล้วด้วยว่าเป็นเพราะสาเหตุนี้แต่ไม่อยากยอมรับ พลางนึกไปถึงอดีตตอน ม.6 ตอนที่ต้องเข้ามหาวิทยาลัย จขกท. อยากเรียน วิทยาศาสตร์ทางทะเล/วาริชศาสตร์ มากๆด้วยความที่ชอบสัตว์น้ำและทะเล ไม่ก็สัตวแพทย์เพราะรักสัตว์ อยากทำงานเป็น Zookeeper ที่สวนสัตว์ครับ แต่ที่บ้านไม่สนับสนุนบอกเลยว่าต้องสอบหมอเท่านั้น ไม่ก็ทนาย ยื่นคำขาดเลยว่าไม่งั้นไม่ส่งเรียน ไอ้ที่เราอยากเรียนอะจบมาจะทำอะไรได้ แม้กระทั่งทางโรงเรียนที่เห็นเกรดเฉลี่ยเรา ก็พยายามผลักดันให้เราสอบคณะที่คะแนนสูงๆเป็นหน้าเป็นตาของโรงเรียน

ในตอนนั้นก็กลุ้มใจครับ แต่ก็ยังมีวิทยาศาสตร์สุขภาพสายหนึ่งที่พอสนใจอยู่บ้างก็คือ เภสัชศาสตร์ ก็มาสอบตรงแล้วก็ติด ในตอนนั้นก็ลังเลว่าจะเอาดีไหม เรียนตั้ง 6 ปีเชียวนะ แต่ก็ตัดสินใจว่าเรียนก็เรียนวะ ทนได้แหละ เราทำได้อยู่แล้ว จนกระทั่งวันที่ความอดทนและความเก็บกดในใจมันขาดออกนั่นแหละครับ พอคิดได้ถึงตรงนี้ จขกท. ก็ต้องร้องไห้ยอมรับความจริงว่าเราเป็นซึมเศร้าจากการเรียนจริงๆ หลอกตัวเองไม่ได้อีกแล้ว ทีนี้อาการยิ่งหนักกว่าเดิมอีกครับ เหมือนสิ่งที่ยึดเหนี่ยวพังทลายลง ความมั่นใจถดทอย ไม่อยากทำอะไรยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับการมาของความกังวลในอนาคตและความเสียใจในอดีต (คนป่วยโรคซึมเศร้ามักจะเป็น) คิดไปต่างๆนๆว่าจะเรียนต่อดีไหม จะบอกอาจารย์/เพื่อน/ครอบครัวว่ายังไงดี ถ้าลาออกจะไปทำอะไร ถ้าไปต่อจะไหวไหม ทำไมตอนนั้นเราไม่เลือกสิ่งที่ตัวเองชอบ ถ้าเลือกสิ่งที่ตัวเองชอบเราจะมีความสุขกว่านี้จริงรึเปล่า และที่เลวร้ายกว่านั้นคือมันจะไม่สามารถหยุดคิดเรื่องพวกนี้ได้เลยแม้ว่าจะพยายามหยุดคิดแล้วก็ตาม สิ่งที่ตามมาหลอกหลานก็คือการนอนไม่หลับ สุขภาพก็ทรุดโทรม

แน่นอนครับว่าการเรียนคณะที่ค่อนข้างได้รับเกียรติจากสังคมอย่างเภสัชมาจนถึงปี 5 ใครๆก็ไม่อยากให้ออก เชื่อไหมครับว่า จขกท. ไประบายให้ใครต่อใครฟังเขาก็บอกให้ไปต่อทั้งนั้น แค่บางคนอาจจะพูดแรงอย่างเช่น อีกปีเดียวเองทนเอาหน่อยดิวะ ทำไมไม่มีความอดทนเลยเป็นลูกผู้ชายซะเปล่า หรือพูดเบาเช่น สู้ๆนะ ทนอีกแค่นิดเดียวสู้ๆ แต่เชื่อไหมครับว่าในตอนที่อาการซึมเศร้ากำลังบั่นทอนจิตใจนั้น คำพูดพวกนี้ล้วนแล้วแต่มีความหมายว่า "ทนทุกข์ทรมานอย่างนี้ต่อไป" ซึ่งยิ่งฟังมันยิ่งหดหู่ครับ

จนกระทั่งผ่านไปประมาณจะหนึ่งสัปดาห์ อาการก็ยิ่งแย่ลงและดันเหลือบไปเห็นมีดในครัว ชั่วพริบตานั้นแหละครับ มันมีความรู้สึกเหมือนกับมีเสียงกระซิบให้เรายื่นมือไปหยิบมีดมาฆ่าตัวตาย มือเรามันทำท่าจะเอื้อมไปหยิบมีดมาทำอย่างนั้นจริงๆ ไม่รู้ว่า จขกท. มองมีดนั้นอยู่นานเท่าไหร่ แต่ก้สะบัดตัวเองหลุดจากภวังค์จนได้ พร้อมกับเอามีดเล่มนั้นไปทิ้งถังขยะ พอจะเข้าใจคำพูดที่ว่า "คิดสั้น" ไม่ก็ "อารมณ์ชั่ววูบ" ขึ้นมาทันทีเลยครับ เพราะคนที่ลงมือฆ่าตัวตายน่ะจริงๆเขาไม่ได้คิดหรือวางแผนมาหรอกครับ ตอนที่ทำลงไปน่ะไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ และผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจริงๆไม่ได้อยากตายหรอกนะครับ แต่เขาอยากหลุดพ้นจากความอึดอัดทรมานที่เผชิญอยู่ต่างหาก

หลังจากเกิดเหตุการณ์ในครั้งนี้ ก็ตัดสินใจไปพบจิตแพทย์อีกครั้งนึงครับ เพราะคิดว่าเริ่มอันตรายขึ้นมาอีกแล้ว ก็เลยได้เพิ่มขนาดยาขึ้นมาอีก ก็พยายามลากตัวเองไปเรียนให้จบเทอม เพราะถ้าอยู่ในห้องก็กลัวจะคิดฆ่าตัวตายอีก อาจารย์กับเพื่อนๆก็ช่วยให้ทำงานส่งกับสอบผ่านมาได้ แต่สิ่งที่จะต้องเผชิญต่อก็คือจะเรียนต่อ จะออกหรือจะดรอป ซึ่งสุดท้ายก็เลือกจะเรียนต่อ ด้วยเหตุผลที่ว่าจะได้มีงานมีเงินมีครอบครัว เพราะถ้าจะไปเริ่มใหม่กับสิ่งที่ชอบกว่าจะจบตอนนั้นผมก็คงอายุ 30 แล้ว

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าตอนนี้ จขกท. ก็กำลังฝึกงานอยู่ บอกตามตรงครับว่าไม่มีปัญหากับการทำงานประจำวันหรือพบปะคนไข้ แต่ความอึดอัดทรมานยังคงมีอยู่ (รุนแรงน้อยกว่าเดิม) เมื่อต้องทำรายงาน พรีเซ้นหรือโปรเจคท์ คงเป็นเพราะไม่ชอบเรียนจริงๆนั่นแหละครับ 55555 แต่ก็ยังดีใจที่พอทำงานได้ แม้จะดูซึมๆลง ไร้วิญญาณไปสักหน่อยก็ตาม

อยากฝากถึงคนที่มีประสบการณ์แบบเดียวกันว่าพวกคุณไม่ได้โดดเดี่ยวนะ อย่าตัดสินใจอะไรในตอนที่มันกำลังบั่นทอนจิตใจเรา จะทำอะไรหรือเลือกทางเดินยังไงต่อให้ทำในตอนที่อารมณ์ตัวเองคงที่แล้วและใช้เหตุผลในเลือกทางเดินนั้น เพราะ จขกท. ไม่อยากให้เพื่อนๆเสียใจในภายหลังหากเลือกด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล เข้าใจอย่างถึงที่สุดเลยครับว่าทรมานแค่ไหน แต่เรามีทางไปเสมอนะ ไม่มีทางไหนที่เลือกแล้วจะถูกหรือผิดไปซะทั้งหมด เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรรออยู๋ข้างหน้าและเราไม่สามารถแก้ไขอดีตได้ อ้อ แล้วที่สำคัญแล้วนะ การไปพบจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหรือน่าอายนะครับ หมอเขามีหนทางช่วยเหลือที่ดีจริงๆ และการยอมรับความช่วยเหลือ ความหวังดีจากคนรอบตัวจะช่วยให้เราผ่านไปได้

สุดท้ายนี้ จขกท. เองก็ไม่รู้ว่าจะทนผ่านการฝึกงานและสอบใบประกอบวิชาชีพได้ตลอดรอดฝั่งรึเปล่า แต่ถึงยังไงก็เป็นหนทางที่ตนเองเลือกด้วยเหตุผลเองก็จะไม่เสียใจกับมันทีหลังครับ เพื่อนๆที่กำลังประสบปัญหาเดียวกันก็มาก้าวเดินไปด้วยกันนะครับ สวัสดีครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่