เปลวพิศวาส (บทที่ 19) โดย มานัส

บทที่ 19


ให้เขาออดอ้อนเอาใจ ทำให้แทบขาดใจในเวลาที่อยู่ลำพังสองต่อสองแค่ไหน แต่ตุลย์ก็ไม่เคยแม้แต่จะกุมมือหรือแตะต้องตัวเธอในที่สาธารณะ

วันนี้ที่เขานำตัวลิ่ว โดยเอื้องคำได้แต่ตามห่างๆ มองร่างคนในเสื้อยืดสีเข้ม กางเกงยีนส์และหมวกแก๊ปของแท้ที่ใส่ไว้กันแดด เลือกสวมเพราะความชอบส่วนตัวการแต่งกายของเขาเรียบง่าย แต่เข้ากันเป็นอย่างดี รองเท้าที่สวมใส่ทำให้ความทึบของสีอาภรณ์คลายลง ทำให้ทุกสิ่งบนตัวเขามีค่า มีราคา ดูเด่นชวนให้คนที่ผ่านไปมาหันมอง

ให้เขาพยายามทำตัวติดดินอย่างไร เขาก็ดูแตกต่าง

ต่างจากเธอที่เสื้อผ้าราคาไม่กี่ร้อย

ต่างจากสมหวังที่ซื้อหมวกแก๊ปของปลอมราคาไม่ถึงสองร้อยบาทมาสวมเพื่อ ให้เข้ากับเธอที่ชอบใส่หมวก

“สวัสดีครับพี่เปียก” ตุลย์ทักกับเด็กวัดรูปร่างผอมตัวมอมแมม เขายกมือไหว้เช่นเคย ทำให้อีกฝ่ายไหว้รับ

“มาไหว้พระเหรอคุณ”

“ครับ พอดีวันนี้ว่างเลยแวะมา พาน้องมาไหว้พระด้วย” ชายหนุ่มเพยิกหน้าไปด้านหลังเมื่อกล่าวคำว่า…น้อง

เห็นเอื้องคำทำหน้านิ่ง ยกมือไหว้อีกฝ่ายที่รีบถาม

“แล้วคดีเป็นอย่างไรบ้างคุณ”

“มีหลักฐานใหม่อย่างน้อยก็ยืนยันว่าผมไม่เกี่ยวกับการตายของพี่และพี่สะใภ้” ตุลย์ถอนหายใจ “แต่ยังจับคงบงการไม่ได้ครับ”

“อยากน้อยคุณก็รอดพ้นข้อกล่าวหา คนดียังไงก็ต้องได้ดี”

“เบื่อแค่ไอ้พวกคนชั่วๆ มันยังไม่ได้รับกรรมน่ะสิพี่เปียก ถ้าผมเร่งกรรมให้มันได้ ก็จะทำ” ลมพัดวูบแค่เพียงสิ้นสุดประโยค หากก็พัดเบานักจนตุลย์ไม่ได้ทันสังเกต เขาหันมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ “ขอพาน้องไปไหว้พระก่อนนะครับ”

“เชิญๆ” เด็กวัดรุ่นใหญ่พยักหน้า มองผู้มาเยือนทั้งสองที่เดินไปยังศาลาที่จัดเตรียมสำหรับญาติโยนที่ต้องการทำบุญไหว้พระ ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าที่บัดนี้มืดครึ้ม “ตะกี้แดดก็แรง ทำไมมันถึงมืดเร็วนัก ลมก็แรง สงสัยฝนจะมา”

ทว่าให้ผ่านไปกี่นาทีก็ยังคงมีเพียงท้องฟ้าที่ครึ้มแดด และลมที่กรรโชคพัด แม้เมื่อเอื้องคำกลายเป็นคนเดินนำเขามาจนเกือบถึงศาลาที่มีรูปพระประทานจำลอง เสียงของตุลย์อยู่ด้านหลังเธอเอง คุยโหวงเหวงกับสุนัขสี่ตัวที่เดินตามเขาอย่างคุ้นเคยด้วยความหวังว่าจะมีอาหารหรือขนมเลี้ยงพวกมัน

กับคน กับสัตว์ ตุลย์สนิทสนมเข้าหาง่ายดายนัก เว้นแต่สัตว์บางชนิดที่เขาเกลียด

“จิ้งจก ตุ๊กแก งู ฆ่ามันให้หมด ถ้ามันอยู่ตรงที่ๆ มันไม่ควรอยู่ เราก็ฆ่า” เขาเคยเปรยกับเธอเช่นนั้น “ส่วนใหญ่มันกลัวเรา แต่มีบางตัวที่กล้าท้าทาย”

“บาปกรรม ตัวแค่ไล่มันไป ไม่ต้องฆ่ามันได้ไหม” หญิงสาวขอร้อง

“เพื่อเอื้อง…ก็ได้” ตุลย์รับปากกับเธอ “เราจะไม่ฆ่ามัน”

และเขาก็ทำได้ ดังนั้นไอ้เจ้าจิ้งจกทั้งที่อยู่ในห้องพักของเธอ หรือที่แฟลตของมารดาที่กรุงเทพฯ จึงยังมีชีวิตรอด พอโผล่หน้ามาให้เห็นบ้าง

“เอื้องๆ” เสียงเรียกที่ให้หญิงสาวหยุด รอเขา “เชือกรองเท้าหลุด เดี๋ยวก็สะดุดหรอก”

การเตือนทำให้เอื้องคำย่อตัวลงจัดแจงกับรองเท้าของตน หากก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเป็นสมหวัง แค่เดินออกมาจากห้องหลังเสพสมกันจนถึงบ่าย เพื่อไปทำงาน เขาก็จะเป็นคนก้มลงไปจัดการให้เธอเมื่อเห็นว่าเชือกรองเท้าของเธอหลุด

แต่นี่ตุลย์…องค์ชายน้อยแห่งเทวนิรมิต

เขาแค่ยืนค้ำเธอ รอให้จัดแจงกับเชือกรองเท้าตัวเองจนเสร็จ

“ทำไมอากาศอ้าวจัง ขนาดมีลมนะเนี่ย” เขาบ่น พร้อมใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ขยับจมูกฟุดฟิดแล้วถาม “เอื้องได้กลิ่นอะไรไหม”

“กลิ่นอะไร ไม่มีนี่” หญิงสาวลุกยืนขึ้นข้างเขา

“มันหอมๆ แล้วก็เดี๋ยวคาวๆ สาบๆ สลับไปมา”

“ตัวจะว่าเขาเหม็นเหรอ” เอื้องคำมองหน้า แกล้งหาเรื่องเขา

“ไม่ใช่สักหน่อย” รอยยิ้มนั่นแจ่มใส แววตาเปี่ยมด้วยความขบขัน อยากอ้อนด้วยคำหวานๆ เช่นเคย แต่ตุลย์ก็ระวังนัก

ที่นี่วัด ไม่ใช่สถานที่สมควรแก่การแสดงความเสน่หาที่เขามีจนล้นทรวง

ร่างสูงเดินนำอีกครั้ง ใบหน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อ ร้อนอ้าว การเดินก็ช้านักแต่หัวใจเต้นแรง แปลกที่ราวว่าเขาจะเป็นเช่นนี้คนเดียว เอื้องคำก็ดูสบายๆ และคนอื่นๆ ในละแวกนี้อีก สายตาพร่าจากความร้อนและเหงื่อที่ไหลลงท่วมหน้า จนเจ้าตัวต้องปัด แล้วกระพริบตาถี่ๆ

ทางเดินจากจุดนี้ไปยังศาลาของวัดก็ไม่ไกล ทว่าวันนี้ทำไมมันช่างราวว่าไกลแสนไกล แล้วยังเงารางๆ ที่จับกลุ่มเป็นรูปเป็นร่างของ…คน เรียงรายอยู่สองข้างทาง ท่ามกลางความเงียบสงัด

ทำไมจู่ๆ เงียบจัง เสียงผู้คน เสียงค้างคาวที่หวีดร้อง เสียงไก่ขานขันเป็นจังหวะ แล้วยังเสียงเห่าเล่นของบรรดาสุนัขล่ะ

“เอื้อง…” ความเป็นห่วงล้นท่วมทรวง มือพยายามยื่นไปด้านหลัง หวังคว้ามือของอีกคน

“โยม” เสียงนิ่งดังมาจากที่ไหนสักแห่ง สะท้อนเป็นจังหวะทำให้สรรพสิ่งรอบๆสงบ ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดๆ “สัจจะวาจาที่โยมเคยให้ไว้กับใคร ด้วยอารมณ์และทิฐิ มันยากที่จะลบล้าง แต่มันก็ยากนักที่โยมจะยอมรับในภาระหน้าที่นั้น เอาความดี ความตั้งใจดีของโยมเป็นที่ตั้ง แล้วตั้งให้มั่น ตราบใดที่ใจของโยม…มีความดี มีการกระทำดี ทำแต่สิ่งดี ปราศจากตัณหาและความลุ่มหลง โยมก็ผ่านข้อผูกมัดนั่นได้อีกครา”

เสียงแผ่วลากบางเบาแล้วค่อยๆ จางหายไป พร้อมๆ กับความพร่ามัวของบรรยากาศรอบๆ

“เป็นอะไร ทำไมเหงื่อออกเยอะจัง”

เสียงคุ้นหูที่เขามักถวิลหา ทำให้ตุลย์หันไป “สงสัยมันร้อนเกิน”

“ตัวขี้ร้อน” หญิงสาวหัวเราะ ถอดรองเท้าเดินนำเข้าไปในศาลา

“เดินมาถึงตรงนี้ได้ยังไง” การบ่นในใจนั้นด้วยความสงสัย

ร่างสูงเดินช้าๆ เข้าไปด้านใน เห็นว่าเอื้องคำเพิ่งกราบพระเสร็จ ตุลย์เข้าไปนั่งข้างๆ รู้สึกว่าความร้อนที่ทำให้ไม่สบายตัวนั้นคลายไป เขาจัดแจงกราบพระ แล้วลุกขึ้น มองเอื้องคำที่หยิบกระบอกเซียมซีมาเขย่า

ตุลย์ขมวดคิ้ว เป็นห่วง เห็นอีกฝ่ายลุกไปก้มอ่านใบเซียมซีที่ติดอยู่ข้างฝา ใบหน้าของเอื้องคำเครียด นั่นทำให้เขายิ่งเป็นห่วงหนักขึ้น

“ไม่ค่อยดีเหรอ” สายตาเข้มห่วงใยมองคนที่เงยหน้าช้าๆ พยักหน้าตอบ “อย่าคิดมากนะ ชีวิตก็แบบนี้ มีดีไม่ดีปะปนกัน ให้ตื่นเต้นไง เราอยู่นี้ เราจะดูแลเอื้องเอง ป่ะ…ไปเดินเล่นริมน้ำกันเถอะ”

และตุลย์ก็ดูแลอย่างดี นำเดินไปรับลมของแม่น้ำ ก่อนจะวกกลับมาไปไหว้ศาลและตำหนักของพระพุทธรูปที่ประดิษฐ์อยู่ตามจุดต่างๆ

นึกดีใจที่เอื้องคำชอบเข้าวัดทำบุญ กับผู้หญิงคนอื่นๆ ก็มีบ้างแต่น้อยนัก กับเอื้องคำแม้แต่แค่อยู่บ้าน เธอก็จัดทำความสะอาดหิ้งพระ พับดอกบัวนำขึ้นหิ้งถวายอย่างสวยงาม หรือนำดอกไม้ที่เขาสรรหามาให้ในทุกวันพระเพื่อบูชา

มือสู้ชีวิต…ตุลย์มองหญิงสาวที่กำลังยกโทรศัพท์มือถือถ่ายบรรยากาศรอบๆ นึกอย่างจะกุมมือนั้นมาแล้วปลอบให้เธอสบายใจนัก

“ความลุ่มหลงในสิ่งที่ไม่ดี ในสิ่งสกปรก มีแต่จะเป็นลูกศรย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง” เสียงแว่วมาจากที่ใดสักแห่งทำให้ชายหนุ่มหันซ้ายขวา “ท่านหลีกเลี่ยงคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับเรามาหลายภพหลายชาติ แต่ท่านไม่เคยหลีกเลี่ยงวนมลุลิกาได้เลย”

“บ่วง!” อีกเสียงดังขึ้น…เสียงของผู้หญิงที่ฟังคุ้นหูนัก “โสเภณีสวรรค์คือบ่วง”

“บ่วงที่มัดอิสสโรเทวราชให้ชดใช้สัจจะวาจาที่ให้ไว้กับเรา!” ประโยคที่แฝงด้วยความชิงชังคับแค้นใจ  ทำให้ผู้ที่ได้ยินสะดุ้ง หน้าอกแน่นนัก หากตุลย์ฝืนยิ้มให้เอื้องคำที่หันมา “ท่านหนีเราได้ แต่ท่านจะหนีสัจจะวาจาที่ลั่นไว้ไม่ได้!”




“หาอะไรกินข้างนอกไหม หรือซื้อกลับไปกินบ้านดี” ตุลย์หันไปถามคนที่นั่งข้างๆ เมื่อรถญี่ปุ่นสีขาวเคลื่อนตัวออกจากบริเวณวัด “เอื้องอยากกินอะไร”

“แล้วแต่พี่” หญิงสาวมองออกไปนอกหน้าตา พยายามกลบรอยวิตกบนใบหน้า

“จะให้แล้วแต่เราจริงๆ เหรอ” เสียงหัวเราะเบาๆ ชอบใจ ปนแววเจ้าเล่ห์ ทำให้อีกฝ่ายหันค้อนขวับ ทว่าตุลย์เอื้อมมือไปกุมมือของหญิงสาวบีบเบาๆ ยกขึ้นมาจูบหลังมือ ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะก่อนหน้าหายไปหมดสิ้น “เราอยากกินกับข้าวฝีมือเอื้อง ไหนเคยเล่าว่าทำอร่อยไง ยังไม่เคยชิมเสียที”

“พี่ธัญญาทำอร่อยกว่า เอื้องก็แค่ลูกมือ”

“ช่างคุณธัญญาเขา เราอยากชิมฝีมือเอื้อง”

“ให้เอื้องทำให้พี่ แล้วพี่ก็ไปทำให้คนอื่นกิน” หญิงสาวนึกน้อยใจ จำได้ว่าธัญญาเคยเห็นเขาโพสรูปกับข้าวที่เขาทำให้มัทนาหรือผู้หญิงคนไหนของเขาที่กรุงเทพฯ

กุ้งแช่น้ำปลา ยำวุ้นเส้น ยำปลากระป๋อง และอีกสารพัด

“โธ่เอื้องก็…มันผ่านมาแล้วนะ” ตุลย์เหลือบมองคนที่ตีหน้าเฉย บีบมือที่กุมอยู่ “ทำหมูมะนาวที่เอื้องชอบกันไหม เราเป็นลูกมือให้ แล้วดูซื้อกับข้าวอีกสักสองอย่างเข้าไปกินกัน นี่เพิ่งสี่โมงกว่าเอง เดี๋ยวไปที่ห้างในกรุงเทพฯ ถือว่าขับรถเล่นกันด้วย”

“พี่กลัวว่าใครจะเห็นเรามาด้วยกันเหรอ” เอื้องคำถามเขาตรงๆ

“อะไรเนี่ย เป็นอะไร” รถญี่ปุ่นสีขาวถูกหักเข้าปั๊มใหญ่ข้างทาง แล้วจอดลงยังที่ว่างที่ไกลออกมา ตุลย์หันไปมองคนที่นั่งข้างๆ เขา มือยังกุมอีกฝ่าย “ตั้งแต่ออกจากวัดมาแล้ว เอื้องก็หงุดหงิด หาเรื่องตลอด จะไปเชื่ออะไรกับเซียมซี แล้วมาคิดมากขนาดนี้”

“เอื้องไม่ได้เชื่ออะไร แค่ถามว่าพี่กลัวเหรอ”

“เราไม่ได้กลัว สักวันคนก็ต้องรู้ แต่นี่มันยังเร็วไป กับบางคนเราคบมาสามปีก็ไม่เห็นต้องป่าวประกาศ คบจนเลิก เพื่อนยังไม่เจอเสียด้วยซ้ำ เอื้องจ๋า” เขาลากเสียงอ่อนหวาน มือขวาลูบตามไรคางอีกฝ่าย ยื่นหน้าไปหอมแก้มนวลที่ส่งกลิ่นหอมยวนใจ  “ตอนนี้ทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้น เราให้ความชัดเจนกับเอื้อง มีเอื้องเพียงคนเดียว  แล้วเอื้องยังจะกังวลอะไรอีกล่ะคนดี ถ้าอยากซื้อของในเมืองก็ได้ เราตามใจ เพียงแต่เราอยากพาเอื้องไปที่มันมีของใหม่ๆ สดๆ มีให้เลือกมากกว่า เราไม่ได้คิดว่าใครจะเห็นหรือไม่เห็นเราอยู่ด้วยกัน เอื้องคิดไปซะไกลโน่น คิดมากแก่เร็วนะเอ้า”

“ว่าเอื้องแก่…” หญิงสาวค้อนหาเรื่องเขา หากก็ใจอ่อนอีกแล้ว

“เอาอีกแล้ว สนุกนักใช่ไหมมาหาเรื่องเราเนี่ย” เขาหัวเราะสดใสนึกเอ็นดูอีกฝ่าย “หาเรื่องมากๆ คืนนี้เราเอาคืนนะ”

“เอื้องไม่ให้ คืนนี้ไม่ต้องค้าง เอื้องอยากอยู่คนเดียว”

“ใจร้ายจัง” ตุลย์ยืนหน้าหอมแก้มอีกฝ่าย ไซ้คลอจนถึงริมฝีปาก  “นี่…แล้ววันนี้เอื้องโดดงาน จะให้ไปเดินหราในเมืองก็ใช่ที่หน่า”

“ดี คนเขาจะได้รู้ว่าที่เอื้องโดดงานเพราะใครเป็นตัวการ” เอื้องคำยิ้มค้อนเขา ริมฝีปากละมุนสนองปากของเขาอย่างนุ่มนวล

ตุลย์ก็เป็นเสียอย่างนี้ พูดให้เธอ…อ่อนลงจนได้

“ไม่หาเรื่องเราแล้วนะคนดี นะ…” เขาถอนริมฝีปาก ยิ้มให้อีกฝ่าย  ที่พยักหน้าให้ “ซื้อกับข้าว แล้วเดี๋ยวดูข้าวของเครื่องใช้ในบ้านด้วย สำหรับทั้งที่ห้องเอื้องและที่บ้านแม่ จะได้มีตุนไว้บ้าง ไม่ต้องวิ่งลงไปซื้อที่ร้านของชำตลอด”

“ค่ะ” เธอหันมา ดวงหน้าเขาอยู่ใกล้นัก

“ที่สำคัญ ซื้อเบียร์มาตุนให้เอื้องด้วย”

“น่ารักที่สุด” หญิงสาวยิ้มกว้าง รั้งคอเขาเข้ามา ปากประกบริมฝีปากร้อนนั่นอย่างเอาใจ

“น่ารักแล้วรักหรือยัง” เขาถามเมื่อถอนริมฝีปากอีกครั้ง

“ดูคืนนี้ก่อนค่ะ” รอยยิ้มมีเล่ห์นัย ยื่นหน้าหอมแก้มเขาฟอดใหญ่




(ต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่