แผ่นดินสิ้นสงบ ๒ เม.ย.๖๑

พลิกพงศาวดาร

ถึงคราวแผ่นดินสิ้นสงบ

พ.สมานคุรุกรรม

พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรถบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว ได้ครองราชสมบัติอย่างสุขสงบมาได้เจ็ดพรรษากึ่ง ก็ทรงพระประชวรหนักเสด็จสวรรคตลง ในปีฉลู ท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งหลาย พร้อมด้วยพระสังฆราชคามวาสีอรัญวาสี ปรึกษากันเสร็จแล้วอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าศรีเสาวภาค ขึ้นผ่านพิภพไอสวรรยาธิปัตไตยถวัลยราช ตามประเพณีสืบไป

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้แต่งการถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระราชบิดา โดย ราชประเพณีพระมหากษัตริย์เจ้าแต่ก่อนมา

ถึงปีขาลพระศรีศิลป์ซึ่งบวชอยู่วัดระฆัง รู้ไตรปิฎกสันทัดได้สมณฐานันดร เป็นพระพิมลธรรมอนันตปรีชา ชำนาญทั้งไตรเพทางคศาสนะ มีศิษย์โยมมาก ทั้งจมื่นศรีสรรักษ์ก็ถวายตัวเป็นบุตรเลี้ยง คนทั้งหลายนับถือมาก จึ่งคิดกันกับจมื่นศรีสรรักษ์แลศิษย์โยมเป็นความลับ ซ่องสุมพรรคพวกได้มากแล้ว ก็ปฏิวัติออกเวลาพลบค่ำ พากันไปซุ่มพลที่ปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ครั้นได้อุดมนักขัตฤกษ์ก็ยกพลมาฟันประตูมงคลสุนทรเข้าไปได้ในท้องสนาม

ขุนนางที่นอนเวรเอาความกราบบังคมทูล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตกพระทัยตลึงไปเป็นครู่ จึ่งตรัสว่าเวราแล้วก็ตามเถิด แต่อย่าให้ลำบากเลย พระพิมลธรรมเข้าในพระราชวังได้ ให้กุมเอาพระเจ้าแผ่นดินไปพันธนาการไว้ให้มั่นคง รุ่งขึ้นให้นิมนต์พระสงฆ์บังสุกุลร้อยหนึ่ง ให้ธูปเทียนสมาแล้วก็สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทร์ เอาพระศพไปฝังเสีย ณ วัดโคกพระยา พระศรีเสาวภาคอยู่ในราชสมบัติปีหนึ่งกับสองเดือน

สมเด็จพระพิมลธรรมเสด็จขึ้นผ่านภิภพกรุงทวาราวดีศรีอยุธยา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงธรรมอันมหาประเสริฐ แลทรงพระกรุณาให้จมื่นศรีสรรักษ์เป็นอุปราช เป็นอยู่ได้เจ็ดวันพระมหาอุปราชก็ประชวรลงได้สามวันก็สวรรคต สมเด็จพระพุทธเจ้า อยู่หัวก็ให้แต่งการ พระราชทานเพลิง ตามอย่างมหาอุปราช

ครั้งนั้นญี่ปุ่นเข้ามาค้าขายหลายลำ ญี่ปุ่นโกรธว่าเสนาบดีมิได้เป็นธรรม คบคิดกันเข้าด้วยพระพิมลธรรม ฆ่าพระมหากษัตริย์เสีย ญี่ปุ่นคุมกันได้ประมาณห้าร้อย ยกเข้ามาในท้องสนามหลวงคอยจับกุมพระเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จออกมาฟังพระสงฆ์บอกหนังสือ ณ พระที่นั่งจอมทองสามหลัง ขณะนั้นพระสงฆ์วัดประดู่โรงธรรมเข้ามาแปดรูป ได้พาเอาพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกไปต่อหน้าพวกญี่ปุ่น ครั้นพระสงฆ์พาเสด็จออกไปแล้ว ญี่ปุ่นก็ร้องอื้ออึงขึ้นว่า จะกุมเอาพระองค์แล้วเป็นไรจึงนิ่งเสียเล่า ต่างก็ทุ่มเถียงกันอยู่เป็นโกลาหล ฝ่ายพระมหาอำมาตย์คุมพลได้ก็ไล่รบญี่ปุ่นล้มตายลงเป็นอันมาก พวกญี่ปุ่นก็แตกกระจายออกจากพระราชวัง ลงสำเภาหนีไป ตั้งแต่นั้นมาสำเภาเมืองญี่ปุ่นก็มิได้เข้ามาค้าขาย ณ กรุงเทพมหานครศรีอยุธยาอีกเลย

พระมหาอำมาตย์ให้ไปเชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้าพระราชวัง เพลาเช้าเสด็จออกท้องพระโรงพร้อมด้วยท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งหลาย ทรงพระมหากรุณาตรัสว่าราชการครั้งนี้พระมหาอำมาตย์มีความชอบมาก ให้เป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ พระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคเป็นอันมาก แล้วสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการ ให้วิเสทแต่งเครื่องพระกระยาหารถวายพระสงฆ์วัดประดู่โรรงธรรมเป็นนิจภัตอัตรา

เข้าปีเถาะ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ชักพระมงคลบพิตร ซึ่งอยู่ฝ่ายทิศตะวันออกมาไว้ฝ่ายทิศตะวันตก แล้วก็ให้ก่อพระมณฑบใส่

ในปีนั้นมีหนังสือเมืองตะนาวศรีเข้ามาว่า กองทัพพม่ามอญมาล้อมเมือง ขอพระราชทานกองทัพไปช่วย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสให้พระยาพิชัยสงคราม เป็นแม่ทัพออกไปถึงเมืองสิงขร นายทัพนายกองบอกเข้ามาว่าเมืองตะนาวศรีเสียแก่ข้าศึกแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงให้หากองทัพกลับ

อีกสามปีต่อมาเป็นปีมะเมีย เมืองสระบุรีบอกมาว่าพรานบุญพบรอยเท้าอันใหญ่บนไหล่เขาเห็นประหลาด สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จโดยเรือพระที่นั่งชัยพยุหยาตรา พร้อมด้วยเรือท้าวพระยาสามนตราช ดาษดาโดยชลมารคนทีธาร ประทับท่าเรือ รุ่งขึ้นเสด็จทรงช้างพระที่นั่งสุวรรณปฤษฎางค์ พร้อมด้วยคเชนทรเสนางคนิกรเป็นอันมาก ครั้งนั้นยังมิได้มีทางสถลมารค พรานบุญเป็นมัคคุเทศก์นำลัดตัดดงไปจนถึงเชิงเขา

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเห็นแท้ว่า เป็นรอยพระพุทธบาทมีลายลักษณะกงจักร ประกอบด้วยอัฐุตระสตะมหามงคลร้อยแปดประการ สมด้วยพระบาลีแล้ว ต้องกับเมืองลังกาบอกเข้ามาว่า กรุงศรีอยุธยามีรอยพระพุทธบาทอยู่เหนือยอดเขาสุวรรณบรรพต ก็ทรงโสมนัสปรีดาปราโมทย์ ถวายทศนัขเหนือพระอุตมางคสิโรตม์ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ เป็นหลายครา กระทำนมัสการสักการบูชาด้วยธูปเทียนสุคันธรสจะนับมิได้ ท้าวพระยาเสนาบดีกวีราช ปราชญ์บัณฑิตชาติทั้งหลายก็ถวายวันทนาประณามน้อมเกล้าด้วยเบญจางคประดิษฐ์กระทำสักการบูชา

สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวอุทิศถวายวนาวาสน์ เป็นบริเวณออกไปโยชน์หนึ่งโดยล้อมรอบ แล้วทรงพระกรุณาตรัสสั่ง ให้ช่างจัดการสถาปนาเป็นมณฑป สวมพระบรมพุทธบาท แลสร้างพระอุโบสถ พระวิหารการเปรียญ ตึกกว้านกุฎีสงฆ์ เป็นเอนกนุปการ แล้วให้ฝรั่งส่องกล้องตัดทางสถลมารค กว้างสิบวาตรงตลอดถึงท่าเรือ ให้แผ้วถางทุบปราบให้รื่นราบ เป็นถนนหลวงเสด็จ ณ ท่าเรือทรงพระกรุณาสั่งให้ตั้งพระราชนิเวศ ตำหนักฟากตะวันออกให้ชื่อว่า ตำหนักท่าเจ้าสนุก

ครั้นเสด็จกลับถึงกรุงทรงพระกรุณาเร่งรัด ให้ช่างสร้างพระมณฑปพระพุทธบาท แลอาวาสบริเวณทั้งปวง สี่ปีจึ่งเสร็จ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นไปทำการฉลอง มีงานมหรสพสมโภช เจ็ดวันแล้วเสด็จคืนกรุงเทพมหานครศรีอยุธยา

อีกยี่สิบปีต่อมา ทรงพระกรุณาแต่งพระมหาชาติคำหลวง และสร้างพระไตรปิฎกธรรม ไว้สำหรับพระศาสนาจบบริบูรณ์

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระเจ้าทรงธรรม มีพระราชบุตรสามองค์ พระองค์ผู้เป็นปฐมนั้นทรงพระนามว่า พระเชษฐาธิราชกุมาร พระองค์ที่สองนั้นทรงพระนาม พระพันปีศรีศิลป์ พระองค์ที่สามนั้นทรงพระนาม พระอาทิตยวงศ์

ครั้นถึงวันพฤหัสบดี ขึ้นหกค่ำ เดือนยี่ ปีนั้นเอง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร เดือนหนึ่งกับสิบหกวัน ก็เสด็จสวรรคต ทรงอยู่ในราชสมบัติยี่สิบห้าพรรษา จึงเสนาพฤฒามาตย์ปุโรหิตาจารย์ทั้งหลาย มีเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์เป็นประธาน ปรึกษาพร้อมกันอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าลูกเธอองค์ใหญ่ พระเชษฐาธิราช ขึ้นราชาภิเษกครอบครองพระนคร ศรีอยุธยาโดยราชประเพณี

อยู่มาไม่นานนัก พระพันปีศรีศิลป์ผู้เป็นพระอนุชาธิราช ทรงพระโกรธว่ามุขมนตรีมิได้ยกสมบัติให้ ก็พาพรรคพวกของพระองค์ลอบหนีไปยังเมืองเพชรบุรี ซ่องสุมพวกพลจะยกเข้ามา สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทราบเหตุตรัสให้แต่งกองทัพออกไป พระพันปีศรีศิลป์มิทันได้จัดแจง กองทัพล้อมจับได้ กุมเอาตัวมาถวาย ทรงพระกรุณาให้ประหารชีวิตเสีย ณ วัดโคกพระยา แลชาวเมืองเพชรบุรีที่เป็นใจ เข้าด้วยพระพันปีศรีศิลป์นั้น ให้เอาตัวเป็นตะพุ่นหญ้าช้างทั้งสิ้น

อยู่ต่อมาอีกเดือนเศษ มารดาของเจ้าพระยากลาโหม ถึงแก่ชีพิตักสัย แต่งการศพเสร็จแล้ว เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ออกไปตั้งการปลงศพ ณ วัดมงกุฎ ข้าราชการทั้งฝ่ายทหาร พลเรือนผู้ใหญ่ผู้น้อย ออกไปช่วยนอนค้างแรมอยู่เป็นอันมาก ฝ่ายข้าหลวงเดิมของพระเจ้าอยู่หัวกราบทูลยุยงเป็นความลับว่า เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ทำการครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก หากเอาการศพเข้ามาบังไว้ เห็นทีจะคิดประทุษร้ายต่อพระองค์เป็นมั่นคง

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้มีวิจารณ์ให้ถ่องแท้ ก็ตกพระทัย ตรัสให้เหล่าชาวป้อมล้อม พระราชวังขึ้นประจำหน้าที่ แล้วเตรียมทหารไว้เป็นกอง แลมีดำรัสให้ขุนมหามนตรีออกไปหาตัวเจ้าพระยากลาโหมเข้ามา

ขณะนั้นจมื่นสรรเพชญภักดีสอดหนังสือลับออกไปก่อนว่า พระโองการจะให้เข้ามาดูมวยนั้น บัดนี้เตรียมไว้พร้อมอยู่แล้ว เมื่อเจ้าคุณจะเข้ามานั้นให้คาดเชือกเข้ามาทีเดียว ครั้นขุนมหามนตรีออกไปถึง กราบเรียนว่ามีพระโองการให้หา เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์แจ้งการซึ่ง จมื่นสรรเพชญภักดีบอกให้สิ้นอยู่แล้ว จึ่งว่าขึ้นท่ามกลางขุนนางทั้งปวงว่า

“ เราทำราชการกตัญญูแต่ครั้งพระพุทธเจ้าหลวงมา ท่านทั้งปวงก็แจ้งอยู่สิ้นแล้ว เมื่อพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จสวรรคตแล้ว ถ้าเรารักซึ่งราชสมบัติ ท่านทั้งหลายเห็นจะพ้นเราเจียวหรือ “

ขุนนางทั้งปวงกราบแล้วจึ่งว่า

“ การทั้งปวงก็สิทธิ์ขาดอยู่แก่ฝ่าเท้ากรุณาเจ้าสิ้น ที่จะมีผู้ใดขัดแข็งนั้นข้าพเจ้าทั้งปวงก็ไม่เห็นมีตัวแล้ว “

เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์จึงว่า

" ท่านทั้งปวงจงเห็นจริงด้วยเราเถิด เรากตัญญู คิดว่าเป็นลูกเจ้าข้าวแดง จึงเป็นต้นคิดอ่านปรึกษามิให้เสียราชประเพณี ยกราชสมบัติถวายแล้วยังหามีความดีไม่ ฟังแต่คำคนยุยงกลับจะทำร้ายเราผู้มีความชอบต่อแผ่นดินอีกเล่า ท่านทั้งปวงจะทำราชการไปข้างหน้า จงเร่งคิดถึงตัวเถิด "

ขุนนางทั้งนั้นกราบแล้วว่าอันพระกรุณาทั้งนี้ควรนักหนา เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ดูท่วงทีขุนนางทั้งปวง เห็นยังไว้อารมณ์เป็นกลางอยู่มิลงใจเป็นแท้ จึ่งร้องสั่งทะลวงฟันให้กุมเอาตัวขุนมหามนตรีแลบ่าวไพร่ซึ่งพายเรือมานั้นให้ได้สิ้น ทะลวงฟันก็กรูกันจับเอาขุนมหามนตรีแลบ่าวไพร่ไปคุมไว้ ขุนนางทั้งปวงเห็นดั่งนั้นต่างคนตกใจหน้าซีดลงทุกคน

เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์เห็นดั่งนั้นจึงว่า

" บัดนี้พระเจ้าแผ่นดินว่าเราทำการประชุมขุนนางพร้อมมูลทั้งนี้ คิดการเป็นกบฏ ก็ท่านทั้งปวงซึ่งมาช่วยโดยสุจริตนั้น จะมิพลอยเป็นกบฏด้วยหรือ "

ขุนนางทั้งปวงพร้อมกันกราบเรียนว่า

" เป็นธรรมดาอยู่แล้ว อุปมาเหมือนหนึ่งนิทาน พระบรมโพธิสัตว์เป็นนายสำเภา คนทั้งหลายโดยสารไปค้า ใช้ใบไปถึงท่ามกลางมหาสมุทรต้องพายุใหญ่ สำเภาจะอับปางแล้ว พระบรมโพธิสัตว์จึ่งคิดว่า ถ้าจะนิ่งอยู่ดั่งนี้ก็จะพากันตายเสียด้วย สิ้นทั้งสำเภา จึ่งตั้งสัตยาธิษฐานว่า ถ้าอาตมาจะสำเร็จแก่พระบรมโพธิญาณ ขออย่าให้สำเภาอับปางในท้องมหาสมุทรเลย เดชะอานุภาพบารมีบรมโพธิสัตว์สำเภาก็มิได้จลาจล แล่นล่วงถึงประเทศธานีซึ่งจะไปค้านั้น ก็เหมือนการอันเป็นครั้งนี้ ถ้าท้าวพระกรุณานิ่งตาย คนทั้งหลายก็จะพลอยตายด้วย ถ้าท้าวกรุณาคิดรอดจากความตายคนทั้งปวงก็จะรอดด้วย "

เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ได้ฟังขุนนาว่าดั่งนั้น ก็หัวเราะแล้วว่า

" เจ้าแผ่นดินว่าเราเป็นกบฏแล้วเราจะทำตามรับสั่ง ท่านทั้งปวงจะว่าประการใด "

ขุนนางทั้งปวงกราบแล้วจึ่งว่า

" ถ้าท้าวกรุณาจะทำการใหญ่จริง ข้าพเจ้าทั้งปวงจะขอเอาชีวิตสนองพระคุณ ตายก่อน "

เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ เห็นขุนนางปลงใจพร้อมด้วยสุจริต ก็จัดแจงเป็นหมวดเป็นกอง กำหนดกฎหมายกันมั่นคง พร้อมที่จะทำการใหญ่ต่อไป

เมื่อการเป็นดั่งนี้ บัลลังก์ของพระเชษฐาธิราช ก็คงจะต้องสั่นสะเทือน อย่างแน่แท้.

###########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่