พลิกพงศาวดาร
สิ้นรัชกาล
พ.สมานคุรุกรรม
หลวงสรศักดิ์เห็นท้าวพระยาข้าราชการทั้งหลายนิ่งอยู่ดังนั้น ก็จับดาบขึ้นกวัดแกว่ง แล้วร้องคุกคามสำทับไปว่า
“ คนทั้งหลายนี้ไฉนจึงนิ่งอยู่เล่า จะเข้าด้วยเราหรือหาไม่ก็ว่ามา ถ้าผู้ใดไม่เข้าด้วยเรา เราก็จะฟันเสียบัดนี้ “
ท้าวพระยาข้าราชการทั้งหลายเห็นดั่งนั้น ก็ยิ่งสะดุ้งตกใจกลัวความตายยิ่งนัก ต่างคนต่างถวายบังคมพร้อมกัน แล้วกราบทูลว่า
“ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอเข้าด้วยพระองค์ และจะขอเป็นข้าราชการอยู่ในใต้ละอองธุลีพระบาทสืบไป “
หลวงสรศักดิ์ เห็นขุนนางทั้งปวงอยู่ในอำนาจสิ้นแล้ว ก็ไปถวายบังคมพระเพทราชาผู้เป็นบิดา แลรับพระราชโองการ แล้วมอบเวนสมบัติถวายแก่พระเพทราชานั้น ท้าวพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งหลาย ก็รับพระบัณฑูรแก่หลวงสรศักดิ์ แลเชิญขึ้นประดิษฐาน ณ ที่มหาอุปราช หลวง สรศักดิ์ผู้สำเร็จราชการที่มหาอุปราช ก็ใช้ให้ทหารไปอาราธนาพระพุทธรูป คัมภีร์ปริยัติธรรม มาจาก เรือน แลให้ไปนิมนต์พระสงฆ์คามวาสีราชาคณะมาด้วยพร้อมกัน แล้วก็ถวายนมัสการพระรัตนไตรยาธิคุณสุนทรภาพ ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วให้ขุนนางทั้งนั้นกินน้ำพิพัฒน์สัตยา ถวายสาบานตามโบราณราชประเพณี เสร็จทุกประการ
พระเพทราชาผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ก็ให้เจ้าพระยาสุรสงครามเป็นผู้รับสั่ง ให้ไปหาตัวเจ้าพระยาวิชาเยนทร์เข้ามา ถ้าสำเร็จราชการแล้วจะเลี้ยงให้ถึงขนาด ฝ่ายหลวงสรศักดิ์ผู้สำเร็จราชการที่มหาอุปราช เมื่อให้ไปหาตัวเจ้าพระยาวิชาเยนทร์นั้น ก็กะเกณฑ์ทแกล้วทหารให้อยู่ประจำรักษาทุกป้อมทุกประตูทั้งปวงรอบพระราชวัง แลให้ปิดประตูเสียอย่าให้ผู้ใดเข้าออกแปลกปลอมได้ ให้ตรวจตราระวังระไวเป็นกวดขันทุกตำบล แล้วจัดแจงทแกล้วทหารให้ไปคอยเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ถ้าเข้ามาแล้วให้ฆ่าเสีย
เจ้าพระยาสุรสงคราม ก็สั่งให้ทนายไปหาเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ที่บ้าน แจ้งว่ามีพระราชโองการให้หา เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ได้แจ้งก็เข้าใจเหตุทั้งนั้น เมื่อถามว่าใครเป็นผู้รับสั่ง ทนายก็บอกว่าเจ้าพระยาสุรสงครามเป็นผู้รับรับสั่ง เจ้าพระยาวิชาเยนทร์จึงว่า
“ เจ้าพระยาสุรสงครามให้หาเราไปบัดนี้ ประดุจเขียนด้วยมือแลจะลบด้วยเท้าเล่า ด้วยเจ้าพระยาสุรสงครามมีคุณูปการแก่เราเป็นอันมาก ได้ชุบย้อมมาแต่เดิมนั้น แลกลับจะมาทำลายคุณเสียดั่งนี้ ก็มิควรยิ่งนัก ถ้าเราเข้าไปบัดนี้ ดีร้ายจะมีภยันตรายเป็นมั่นคง “
ทนายก็เตือนว่าพระราชโองการให้หาเป็นการเร็ว เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ก็แต่งกายแล้วขึ้นเสลี่ยง มีขบวนแห่นำมาจนเข้าประตูพระราชวัง คนซึ่งคอยอยู่สองข้างประตูนั้น ก็เอาไม้พลองตีเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ตกลงจากเสลี่ยง แล้วประหารจนสิ้นชีวิต ส่วนพวกขบวนที่มาด้วยนั้น ครั้นเห็นนายตายแล้วก็ตกใจกลัว ต่างคนต่างวิ่งหนีกระจัดพลัดพลายไปสิ้น
พระเพทราชาก็พาหลวงสรศักดิ์ขึ้นไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงประชวรหนักอยู่ ณ พระที่นั่งสุธาสวรรย์ แลถวายบังคมแล้วกราบทูลถามพระอาการอันทรงพระประชวรนั้น แล้วก็กราบทูลแถลงกิจจานุกิจราชการทั้งปวง ซึ่งได้ว่ากล่าวบังคับบัญชานั้นเสร็จสิ้นทุกประการ แล้วกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า
“ ถ้าพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตไซร้ ข้าพระพุทธเจ้าจะรักษาสมบัติไว้ถวายพระเจ้าลูกเธอ กรมพระราชวังหลัง “
สมเด็จพระบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ได้ทรงฟังพระเพทราชากราบทูลดังนั้น ก็เข้าพระทัยในกิริยาอันแห่งพระเพทราชาแลหลวงสรศักดิ์ อันคิดการเป็นกบฏนั้น ก็ทรงพระพิโรธเป็นกำลัง ทรงจับเอาพระแสงดาบซึ่งวางอยู่ข้างที่ แล้วเสด็จลุกขึ้นยืนได้ด้วยสามารถ มีพระราชโองการตรัสว่า
“ ไอ้สองคนพ่อลูกนี้คิดการเป็นกบฏ “
แล้วพระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินไปประหารชีวิตพระเพทราชาแลหลวงสรศักดิ์ ก็มิอาจสามารถจะเสด็จพระราชดำเนินไปได้ ด้วยทรงพระประชวรหนักทุพลภาพอยู่แล้ว ทั้งพระกายก็สั่นจนเสด็จดำรงพระองค์มิได้ ก็ล้มลงในที่นั้น แลพระแสงดาบทรงก็ตกจากพระหัตถ์ แล้วมีพระราชดำรัสว่า
“ เทพเจ้าผู้บำรุงรักษาพระบวรพุทธศาสนา จงไว้ชีวิตอีกสักเจ็ดวัน จะขอดูหน้าอ้ายกบฏสองคนพ่อลูกนี้ให้จงได้ “
พระเพทราชาแลหลวงสรศักดิ์ ก็กลับลงมาจากพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ แลเข้าใจว่าสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน จะเสด็จสวรรคตในวันนั้นเป็นแท้อยู่แล้ว จึ่งแต่งคนสนิทให้เอาเรือเร็วลงไปยังกรุงเทพมหานคร แลให้ทูลอัญเชิญเสด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอภัยทศ ซึ่งเสด็จอยู่ ณ พระราชวังบวรสถานพิมุขฝ่ายหลังว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักอยู่แล้ว แลบัดนี้มีพระราชโองการให้อัญเชิญเสด็จขึ้นไปเฝ้า ณ เมืองลพบุรีเป็นการเร็ว ผู้รับรับสั่งก็เอาเรือเร็วรีบลงไปยังกรุงเทพมหานครในวันนั้น
ส่วนสมเด็จพระบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว จำเดิมแต่แต่เสด็จล้มลงเพลานั้น พระโรคก็กำเริบมากขึ้น จึ่งมีพระราชดำรัสให้หาบรรดาชาวที่ชาววัง ซึ่งเป็นข้าหลวงเดิมประมาณสิบห้าคน เข้ามาเฝ้าในมหาปราสาทที่นั่งสุธาสวรรย์ ที่เสด็จทรงประชวรอยู่นั้น แล้วจึ่งมีพระราชโองการตรัสว่า
“ บัดนี้ไอ้สองคนพ่อลูกมันคิดการเป็นกบฏ ฝ่ายเราก็ป่วยทุพลภาพหนักอยู่แล้ว เห็นชีวิตไม่ตลอดไปจนสามวัน แลซึ่งท่านทั้งหลายจะอยู่ในฆารวาสนั้น เห็นว่าไอ้กบฏสองพ่อลูกมันจะฆ่าเสียสิ้น อย่าอยู่เป็นคฤหัสถ์เลย จงบวชในพระบวรศาสนา เอาธงชัยพระอรหันต์เป็นที่พึ่งเถิด จะได้พ้นภัย “
แล้วดำรัสให้ไปเบิกเอาไตรจีวรในพระคลังศุภรัตน์มาพอครบตัวกัน แลมีพระราชโองการตรัสให้ไปอาราธนาพระสงฆ์ราชาคณะ เข้ามาประมาณยี่สิบรูปในเพลานั้น แล้วดำรัสว่า
“ นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย จงนำเอาคนเหล่านี้ออกไปอุปสมบท บวชเป็นพระภิกขุในพระพุทธศาสนาด้วยเถิด “
จึ่งพระสงฆ์ราชาคณะทั้งหลาย ถวายพระพรว่า
“ ซึ่งอาตมาทั้งปวงจะนำเอาอุบาสกเหล่านี้ ออกไปอุปสมบท ณ พระอารามนั้น เห็นว่าผู้ซึ่งประจำรักษาประตูพระราชวังนั้น จะห้ามมิให้ออกไป “
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงฟังดังนั้น ก็ทรงพระพิโรธแล้วโทมนัสในพระทัยเป็นกำลัง แต่มิรู้ที่จะทำประการใด ด้วยทรงพระประชวรหนักเป็นอาสัญทิวงคตอยู่แล้ว จำเป็นจำอยู่ในบังคับพระเพทราชา จึ่งมีพระราชดำรัสว่า
“ ถ้ากระนั้นนิมนต์พระผู้เป็นเจ้าทั้งปวง ให้อุปสมบทคนเหล่านี้ในปราสาทของโยมนี้เถิด จะได้หรือมิได้ “
พระสงฆ์ราชาคณะทั้งหลายถวายพระพรว่า
“ ถ้าแลพระราชสมภารเจ้าทรงพระราชอุทิศพระมหาปราสาท ถวายเป็นพระวิสุงคามเสมาแก่พระสงฆ์แล้ว อาตมาภาพพระสงฆ์ทั้งปวง ควรจะให้อุปสมบทกันได้ “
จึ่งทรงพระกรุณาโปรดอนุญาตพระราชอุทิศถวายพระมหาปราสาททั้งสอง แลจังหวัดพระราชวังทั้งปวง เป็นวิสุงคามสีมาแก่สงฆ์เสร็จแล้ว มีพระราชดำรัสว่า
“ นิมนต์พระคุณเจ้าทั้งหลาย กระทำซึ่งสังฆกรรมทั้งปวงเถิด “
จึ่งพระสงฆ์ราชาคณะทั้งหลายก็ให้อุปสมบทบวชบรรดาข้าหลวงเดิมทั้งปวง
เป็นภิกษุภาวะ ณ พระที่นั่งธัญญมหาปราสาทเสร็จแล้ว ก็ให้โอวาทโดยสมณกิจ แล้วพระสงฆ์ราชาคณะแลพระภิกษุบวชใหม่ทั้งหลาย ก็ถวายพระพรลากลับออกไปยังอาราม
ขณะนั้นบรรดาข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง ก็ไปมั่วสุมอยู่กับพระเพทราชา จะได้มีผู้ใดผู้หนึ่งนำพาในฝ่าละอองธุลีพระบาทนั้นหามิได้ ยังแต่พระปิย ผู้เป็นบุตรขุนไกรสิทธิศักดิ์ชาวบ้านแก่ง ที่ทรงพระกรุณาเอามาเลี้ยงไว้ในพระราชวังแต่ยังเยาว์ ให้มีนางนมพี่เลี้ยงประดุจหนึ่งลูกหลวง แลพระปิยนั้นมีพรรณสัณฐานต่ำเตี้ย ทรงพระกรุณาเรียกว่าไอ้เตี้ย แลพระปิยกอปรด้วยสวามิภักดิ์ นอนอยู่ปลายพระบาท คอยปรนนิบัติพยุงพระองค์ลุกนั่งอยู่เพียงผู้เดียว
ครั้นรุ่งเพลาเช้าพระปิยลุกออกมาบ้วนปากล้างหน้า ณ ประตูกำแพงแก้ว หลวงสรศักดิ์ผู้สำเร็จราชการที่มหาอุปราช จึ่งสั่งให้ขุนพิพิธรักษาชาวที่ ผลักพระปิยตกลงไปจากประตูกำแพงแก้ว แลพระปิยร้องขึ้นได้คำเดียวว่า ทูลกระหม่อมช่วยด้วย พอขาดคำลงคนทั้งหลายก็คุมเอาตัวพระปิยไปประหารชีวิตเสียในที่นั้น
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงฟังเสียงพระปิยร้องขึ้นมาดั่งนั้น ก็ตกพระทัยจึ่งดำรัสว่า ใครทำอะไรกับไอ้เตี้ยเล่า เมื่อทรงแจ้งเหตุแล้ว ก็ทรงอาลัยในพระปิยยิ่งนัก แลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็สวรรคต ณ พระที่นั่งสุธาสวรรย์มหาปราสาทในเพลานั้น
ส่วนผู้ถือหนังสือรับสั่ง ซึ่งลงไปยังกรุงเทพมหานครนั้น ก็ไปกราบทูลเจ้าฟ้าอภัยทศเสร็จสิ้นทุกประการ แลเจ้าฟ้าอภัยทศมิทันทราบเรื่องราว สำคัญว่าจริง แลพี่เลี้ยงจึงกราบทูลว่า
“ อยู่แต่พระเพทราชาแลหลวงสรศักดิ์ แลซึ่งเสด็จขึ้นไปครั้งนี้ จงระมัดระวังพระองค์ให้จงหนัก “
เจ้าฟ้าอภัยทศก็ทรงพยักเอา แล้วก็เสด็จลงเรือพระที่นั่งขึ้นไปยังเมืองลพบุรี ครั้นไปถึงวัดพระพรหมตำบลปากน้ำโพสพ ก็เสด็จแวะเรือขึ้นไปหาพระพรหมครูครู่หนึ่งแล้วนมัสการลา เสด็จกลับลงเรือพระที่นั่งรีบไปยังเมืองลพบุรี ครั้นถึงก็ให้ประทับเรือพระที่นั่ง ณ ฉนวนประจำท่า
ขณะนั้นสมเด็จพระบรมราชบิดาเสด็จสวรรคตเสียก่อนแล้ว หลวงสรศักดิ์ก็ให้ข้าหลวงไปคุมเอาพระองค์เจ้าฟ้าอภัยทศ สำเร็จโทษเสียด้วยท่อนจันทน์ ที่ตำบลวัดทราก
แล พระบาทบรมนารถนารายณ์ราชบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จสวรรคตนั้นเป็น วันพฤหัสบดี เดือนห้า แรมสามค่ำ ปีจอ เสด็จดำรงราชอาณาจักรอยู่ได้ ยี่สิบเก้าพรรษา สิริพระชนม์ห้าสิบเอ็ดพรรษา
ความโดยพิสดารในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับ สมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ตั้งแต่ต้นแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถ จนถึงสิ้นแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่ได้นำมาเล่าต่อเนื่องกัน
ก็จบชุดสมุดไทยลงแต่เพียงนี้.
###########
พลิกพงศาวดาร สิ้นรัชกาล ๑๖ ก.ค.๕๘
สิ้นรัชกาล
พ.สมานคุรุกรรม
หลวงสรศักดิ์เห็นท้าวพระยาข้าราชการทั้งหลายนิ่งอยู่ดังนั้น ก็จับดาบขึ้นกวัดแกว่ง แล้วร้องคุกคามสำทับไปว่า
“ คนทั้งหลายนี้ไฉนจึงนิ่งอยู่เล่า จะเข้าด้วยเราหรือหาไม่ก็ว่ามา ถ้าผู้ใดไม่เข้าด้วยเรา เราก็จะฟันเสียบัดนี้ “
ท้าวพระยาข้าราชการทั้งหลายเห็นดั่งนั้น ก็ยิ่งสะดุ้งตกใจกลัวความตายยิ่งนัก ต่างคนต่างถวายบังคมพร้อมกัน แล้วกราบทูลว่า
“ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอเข้าด้วยพระองค์ และจะขอเป็นข้าราชการอยู่ในใต้ละอองธุลีพระบาทสืบไป “
หลวงสรศักดิ์ เห็นขุนนางทั้งปวงอยู่ในอำนาจสิ้นแล้ว ก็ไปถวายบังคมพระเพทราชาผู้เป็นบิดา แลรับพระราชโองการ แล้วมอบเวนสมบัติถวายแก่พระเพทราชานั้น ท้าวพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งหลาย ก็รับพระบัณฑูรแก่หลวงสรศักดิ์ แลเชิญขึ้นประดิษฐาน ณ ที่มหาอุปราช หลวง สรศักดิ์ผู้สำเร็จราชการที่มหาอุปราช ก็ใช้ให้ทหารไปอาราธนาพระพุทธรูป คัมภีร์ปริยัติธรรม มาจาก เรือน แลให้ไปนิมนต์พระสงฆ์คามวาสีราชาคณะมาด้วยพร้อมกัน แล้วก็ถวายนมัสการพระรัตนไตรยาธิคุณสุนทรภาพ ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วให้ขุนนางทั้งนั้นกินน้ำพิพัฒน์สัตยา ถวายสาบานตามโบราณราชประเพณี เสร็จทุกประการ
พระเพทราชาผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ก็ให้เจ้าพระยาสุรสงครามเป็นผู้รับสั่ง ให้ไปหาตัวเจ้าพระยาวิชาเยนทร์เข้ามา ถ้าสำเร็จราชการแล้วจะเลี้ยงให้ถึงขนาด ฝ่ายหลวงสรศักดิ์ผู้สำเร็จราชการที่มหาอุปราช เมื่อให้ไปหาตัวเจ้าพระยาวิชาเยนทร์นั้น ก็กะเกณฑ์ทแกล้วทหารให้อยู่ประจำรักษาทุกป้อมทุกประตูทั้งปวงรอบพระราชวัง แลให้ปิดประตูเสียอย่าให้ผู้ใดเข้าออกแปลกปลอมได้ ให้ตรวจตราระวังระไวเป็นกวดขันทุกตำบล แล้วจัดแจงทแกล้วทหารให้ไปคอยเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ถ้าเข้ามาแล้วให้ฆ่าเสีย
เจ้าพระยาสุรสงคราม ก็สั่งให้ทนายไปหาเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ที่บ้าน แจ้งว่ามีพระราชโองการให้หา เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ได้แจ้งก็เข้าใจเหตุทั้งนั้น เมื่อถามว่าใครเป็นผู้รับสั่ง ทนายก็บอกว่าเจ้าพระยาสุรสงครามเป็นผู้รับรับสั่ง เจ้าพระยาวิชาเยนทร์จึงว่า
“ เจ้าพระยาสุรสงครามให้หาเราไปบัดนี้ ประดุจเขียนด้วยมือแลจะลบด้วยเท้าเล่า ด้วยเจ้าพระยาสุรสงครามมีคุณูปการแก่เราเป็นอันมาก ได้ชุบย้อมมาแต่เดิมนั้น แลกลับจะมาทำลายคุณเสียดั่งนี้ ก็มิควรยิ่งนัก ถ้าเราเข้าไปบัดนี้ ดีร้ายจะมีภยันตรายเป็นมั่นคง “
ทนายก็เตือนว่าพระราชโองการให้หาเป็นการเร็ว เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ก็แต่งกายแล้วขึ้นเสลี่ยง มีขบวนแห่นำมาจนเข้าประตูพระราชวัง คนซึ่งคอยอยู่สองข้างประตูนั้น ก็เอาไม้พลองตีเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ตกลงจากเสลี่ยง แล้วประหารจนสิ้นชีวิต ส่วนพวกขบวนที่มาด้วยนั้น ครั้นเห็นนายตายแล้วก็ตกใจกลัว ต่างคนต่างวิ่งหนีกระจัดพลัดพลายไปสิ้น
พระเพทราชาก็พาหลวงสรศักดิ์ขึ้นไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงประชวรหนักอยู่ ณ พระที่นั่งสุธาสวรรย์ แลถวายบังคมแล้วกราบทูลถามพระอาการอันทรงพระประชวรนั้น แล้วก็กราบทูลแถลงกิจจานุกิจราชการทั้งปวง ซึ่งได้ว่ากล่าวบังคับบัญชานั้นเสร็จสิ้นทุกประการ แล้วกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า
“ ถ้าพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตไซร้ ข้าพระพุทธเจ้าจะรักษาสมบัติไว้ถวายพระเจ้าลูกเธอ กรมพระราชวังหลัง “
สมเด็จพระบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ได้ทรงฟังพระเพทราชากราบทูลดังนั้น ก็เข้าพระทัยในกิริยาอันแห่งพระเพทราชาแลหลวงสรศักดิ์ อันคิดการเป็นกบฏนั้น ก็ทรงพระพิโรธเป็นกำลัง ทรงจับเอาพระแสงดาบซึ่งวางอยู่ข้างที่ แล้วเสด็จลุกขึ้นยืนได้ด้วยสามารถ มีพระราชโองการตรัสว่า
“ ไอ้สองคนพ่อลูกนี้คิดการเป็นกบฏ “
แล้วพระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินไปประหารชีวิตพระเพทราชาแลหลวงสรศักดิ์ ก็มิอาจสามารถจะเสด็จพระราชดำเนินไปได้ ด้วยทรงพระประชวรหนักทุพลภาพอยู่แล้ว ทั้งพระกายก็สั่นจนเสด็จดำรงพระองค์มิได้ ก็ล้มลงในที่นั้น แลพระแสงดาบทรงก็ตกจากพระหัตถ์ แล้วมีพระราชดำรัสว่า
“ เทพเจ้าผู้บำรุงรักษาพระบวรพุทธศาสนา จงไว้ชีวิตอีกสักเจ็ดวัน จะขอดูหน้าอ้ายกบฏสองคนพ่อลูกนี้ให้จงได้ “
พระเพทราชาแลหลวงสรศักดิ์ ก็กลับลงมาจากพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ แลเข้าใจว่าสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน จะเสด็จสวรรคตในวันนั้นเป็นแท้อยู่แล้ว จึ่งแต่งคนสนิทให้เอาเรือเร็วลงไปยังกรุงเทพมหานคร แลให้ทูลอัญเชิญเสด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอภัยทศ ซึ่งเสด็จอยู่ ณ พระราชวังบวรสถานพิมุขฝ่ายหลังว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักอยู่แล้ว แลบัดนี้มีพระราชโองการให้อัญเชิญเสด็จขึ้นไปเฝ้า ณ เมืองลพบุรีเป็นการเร็ว ผู้รับรับสั่งก็เอาเรือเร็วรีบลงไปยังกรุงเทพมหานครในวันนั้น
ส่วนสมเด็จพระบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว จำเดิมแต่แต่เสด็จล้มลงเพลานั้น พระโรคก็กำเริบมากขึ้น จึ่งมีพระราชดำรัสให้หาบรรดาชาวที่ชาววัง ซึ่งเป็นข้าหลวงเดิมประมาณสิบห้าคน เข้ามาเฝ้าในมหาปราสาทที่นั่งสุธาสวรรย์ ที่เสด็จทรงประชวรอยู่นั้น แล้วจึ่งมีพระราชโองการตรัสว่า
“ บัดนี้ไอ้สองคนพ่อลูกมันคิดการเป็นกบฏ ฝ่ายเราก็ป่วยทุพลภาพหนักอยู่แล้ว เห็นชีวิตไม่ตลอดไปจนสามวัน แลซึ่งท่านทั้งหลายจะอยู่ในฆารวาสนั้น เห็นว่าไอ้กบฏสองพ่อลูกมันจะฆ่าเสียสิ้น อย่าอยู่เป็นคฤหัสถ์เลย จงบวชในพระบวรศาสนา เอาธงชัยพระอรหันต์เป็นที่พึ่งเถิด จะได้พ้นภัย “
แล้วดำรัสให้ไปเบิกเอาไตรจีวรในพระคลังศุภรัตน์มาพอครบตัวกัน แลมีพระราชโองการตรัสให้ไปอาราธนาพระสงฆ์ราชาคณะ เข้ามาประมาณยี่สิบรูปในเพลานั้น แล้วดำรัสว่า
“ นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย จงนำเอาคนเหล่านี้ออกไปอุปสมบท บวชเป็นพระภิกขุในพระพุทธศาสนาด้วยเถิด “
จึ่งพระสงฆ์ราชาคณะทั้งหลาย ถวายพระพรว่า
“ ซึ่งอาตมาทั้งปวงจะนำเอาอุบาสกเหล่านี้ ออกไปอุปสมบท ณ พระอารามนั้น เห็นว่าผู้ซึ่งประจำรักษาประตูพระราชวังนั้น จะห้ามมิให้ออกไป “
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงฟังดังนั้น ก็ทรงพระพิโรธแล้วโทมนัสในพระทัยเป็นกำลัง แต่มิรู้ที่จะทำประการใด ด้วยทรงพระประชวรหนักเป็นอาสัญทิวงคตอยู่แล้ว จำเป็นจำอยู่ในบังคับพระเพทราชา จึ่งมีพระราชดำรัสว่า
“ ถ้ากระนั้นนิมนต์พระผู้เป็นเจ้าทั้งปวง ให้อุปสมบทคนเหล่านี้ในปราสาทของโยมนี้เถิด จะได้หรือมิได้ “
พระสงฆ์ราชาคณะทั้งหลายถวายพระพรว่า
“ ถ้าแลพระราชสมภารเจ้าทรงพระราชอุทิศพระมหาปราสาท ถวายเป็นพระวิสุงคามเสมาแก่พระสงฆ์แล้ว อาตมาภาพพระสงฆ์ทั้งปวง ควรจะให้อุปสมบทกันได้ “
จึ่งทรงพระกรุณาโปรดอนุญาตพระราชอุทิศถวายพระมหาปราสาททั้งสอง แลจังหวัดพระราชวังทั้งปวง เป็นวิสุงคามสีมาแก่สงฆ์เสร็จแล้ว มีพระราชดำรัสว่า
“ นิมนต์พระคุณเจ้าทั้งหลาย กระทำซึ่งสังฆกรรมทั้งปวงเถิด “
จึ่งพระสงฆ์ราชาคณะทั้งหลายก็ให้อุปสมบทบวชบรรดาข้าหลวงเดิมทั้งปวง
เป็นภิกษุภาวะ ณ พระที่นั่งธัญญมหาปราสาทเสร็จแล้ว ก็ให้โอวาทโดยสมณกิจ แล้วพระสงฆ์ราชาคณะแลพระภิกษุบวชใหม่ทั้งหลาย ก็ถวายพระพรลากลับออกไปยังอาราม
ขณะนั้นบรรดาข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง ก็ไปมั่วสุมอยู่กับพระเพทราชา จะได้มีผู้ใดผู้หนึ่งนำพาในฝ่าละอองธุลีพระบาทนั้นหามิได้ ยังแต่พระปิย ผู้เป็นบุตรขุนไกรสิทธิศักดิ์ชาวบ้านแก่ง ที่ทรงพระกรุณาเอามาเลี้ยงไว้ในพระราชวังแต่ยังเยาว์ ให้มีนางนมพี่เลี้ยงประดุจหนึ่งลูกหลวง แลพระปิยนั้นมีพรรณสัณฐานต่ำเตี้ย ทรงพระกรุณาเรียกว่าไอ้เตี้ย แลพระปิยกอปรด้วยสวามิภักดิ์ นอนอยู่ปลายพระบาท คอยปรนนิบัติพยุงพระองค์ลุกนั่งอยู่เพียงผู้เดียว
ครั้นรุ่งเพลาเช้าพระปิยลุกออกมาบ้วนปากล้างหน้า ณ ประตูกำแพงแก้ว หลวงสรศักดิ์ผู้สำเร็จราชการที่มหาอุปราช จึ่งสั่งให้ขุนพิพิธรักษาชาวที่ ผลักพระปิยตกลงไปจากประตูกำแพงแก้ว แลพระปิยร้องขึ้นได้คำเดียวว่า ทูลกระหม่อมช่วยด้วย พอขาดคำลงคนทั้งหลายก็คุมเอาตัวพระปิยไปประหารชีวิตเสียในที่นั้น
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงฟังเสียงพระปิยร้องขึ้นมาดั่งนั้น ก็ตกพระทัยจึ่งดำรัสว่า ใครทำอะไรกับไอ้เตี้ยเล่า เมื่อทรงแจ้งเหตุแล้ว ก็ทรงอาลัยในพระปิยยิ่งนัก แลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็สวรรคต ณ พระที่นั่งสุธาสวรรย์มหาปราสาทในเพลานั้น
ส่วนผู้ถือหนังสือรับสั่ง ซึ่งลงไปยังกรุงเทพมหานครนั้น ก็ไปกราบทูลเจ้าฟ้าอภัยทศเสร็จสิ้นทุกประการ แลเจ้าฟ้าอภัยทศมิทันทราบเรื่องราว สำคัญว่าจริง แลพี่เลี้ยงจึงกราบทูลว่า
“ อยู่แต่พระเพทราชาแลหลวงสรศักดิ์ แลซึ่งเสด็จขึ้นไปครั้งนี้ จงระมัดระวังพระองค์ให้จงหนัก “
เจ้าฟ้าอภัยทศก็ทรงพยักเอา แล้วก็เสด็จลงเรือพระที่นั่งขึ้นไปยังเมืองลพบุรี ครั้นไปถึงวัดพระพรหมตำบลปากน้ำโพสพ ก็เสด็จแวะเรือขึ้นไปหาพระพรหมครูครู่หนึ่งแล้วนมัสการลา เสด็จกลับลงเรือพระที่นั่งรีบไปยังเมืองลพบุรี ครั้นถึงก็ให้ประทับเรือพระที่นั่ง ณ ฉนวนประจำท่า
ขณะนั้นสมเด็จพระบรมราชบิดาเสด็จสวรรคตเสียก่อนแล้ว หลวงสรศักดิ์ก็ให้ข้าหลวงไปคุมเอาพระองค์เจ้าฟ้าอภัยทศ สำเร็จโทษเสียด้วยท่อนจันทน์ ที่ตำบลวัดทราก
แล พระบาทบรมนารถนารายณ์ราชบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จสวรรคตนั้นเป็น วันพฤหัสบดี เดือนห้า แรมสามค่ำ ปีจอ เสด็จดำรงราชอาณาจักรอยู่ได้ ยี่สิบเก้าพรรษา สิริพระชนม์ห้าสิบเอ็ดพรรษา
ความโดยพิสดารในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับ สมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ตั้งแต่ต้นแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถ จนถึงสิ้นแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่ได้นำมาเล่าต่อเนื่องกัน
ก็จบชุดสมุดไทยลงแต่เพียงนี้.
###########