เตรียมชิงราชบัลลังก์ ๖ เม.ย.๖๑

พลิกพงศาวดาร

เตรียมชิงราชบัลลังก์

พ.สมานคุรุกรรม

อยู่มาเพลาหนึ่ง เจ้าพระยาวิชาเยนทร์สมุหนายกกราบทูลพระกรุณาว่า

“ เมืองพระพิษณุโลกเป็นหัวเมืองใหญ่กว่าฝ่ายเหนือ แลที่ทางซึ่งจะรับราชศัตรูเพื่อจะมีมานั้น เห็นมิสู้มั่นคง แลจะขอพระราชทานให้ก่อป้อมใหญ่ไว้สำหรับเมือง อนึ่งฝ่ายข้างปากใต้เล่า ขอให้ก่อป้อมใหญ่ไว้ ณ เมืองธนบุรี ทั้งสองฟากฝั่งน้ำ แลจะทำสายโซ่อันใหญ่ขึงขวางน้ำ ตลอดถึงกันทั้งสองฟาก สำหรับจะป้องกันอรินราชไพรีจะมีทางทะเล “

สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเห็นชอบด้วยถ้อยคำ อันเจ้าพระยาวิชาเยนทร์
กราบทูลนั้น แลทรงพระกรุณาดำรัสให้เจ้าพระยาวิชาเยนทร์เป็นแม่กองก่อป้อม ณ เมืองพระพิษณุโลก แลเมืองธนบุรีนั้น แล้วเสร็จทั้งสองตำบล

ครั้งนั้นพระบาทบรมนาถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสด็จทรงพระราชดำเนิน
ขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาททุกปีมิได้ขาด แลเสด็จประทับอยู่ ณ พระราชนิเวศธารเกษม ทรงพระกรุณาให้เล่นการมหรสพถวายพระพุทธบาท สมโภชสามวัน ตามโบราณราชประเพณี เสร็จแล้วก็เสด็จกลับมายังเมืองลพบุรี แลดำรัสให้ตกแต่งทุบปราบสถลมารค แต่พระพุทธบาทมาโดยท้ายภูนกยูง แลท่าศิลา เป็นทางหลวงตลอด ตราบเท่าเมืองลพบุรี แลให้ตกแต่งทาง ขุดทะเลชุบศรแลทางสระแก้ว แลทางท่าเรือตำบลพระตำหนักท่าเจ้าสนุก แล้วทรงพระกรุณาให้ปฏิสังขรณ์ พระมณฑปพระพุทธบาท ที่ชำรุดปรักพังนั้นแล้วเสร็จ แลพระองค์ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล เป็นศาสนูปถัมภก โดยเอนกนุปการ

อยู่มาวันหนึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปประพาส พระตำหนักตำบลสระแก้ว พร้อมด้วยมุขมนตรีทั้งหลายโดยเสด็จพระราชดำเนินที่นั้นเป็นอันมาก แลเมื่อเสด็จกลับเข้าในพระราชวัง พระองค์เสด็จทรงม้าพระที่นั่งบรมราชพาหนะมีพรรณอันแดง ประดับด้วยเครื่องราชูปโภคพร้อมเสร็จ แลเสด็จขับม้าพระที่นั่งเป็นบาทย่างสะเทิ้น มาถึงหน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จึ่งเสด็จลงจากม้าพระที่นั่ง มีพระราชโองการตรัสเรียกพระเพทราชาเข้ามา แล้วดำรัสว่า

“ ท่านจงมาขี่ม้าแดงพยศตัวนี้ ลองดูจะขี่ได้หรือไม่ “

พระเพทราชารับประราชโองการ กราบถวายบังคมแล้วก็เปลื้องผ้าส่านซึ่งเกี้ยวพุงนั้นออก ปูทับพระยี่ภู่บนอานม้า เพื่อเคารพในละอองธุลีพระบาท มิได้นั่งร่วมราชาอาสน์นั้น จึงขึ้นขี่ม้าพระที่นั่งขับย่างไป ฝ่ายตำรวจแห่หน้าหลังแลเจ้าพนักงานซึ่งถือเครื่องสูง แลกลองชนะแตรสังข์ทั้งหลาย ก็สำคัญว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิน จึ่งประโคมแตรสังข์เภรีนี่สนั่นนฤนาท เคลื่อนขยาย พยุหยาตรา แลพระเพทราชาเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึ่งลงเสียจากม้าพระที่นั่ง กราบถวายบังคมสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อทอดพระเนตรเห็นดั่งนั้น ก็ทรงพระสรวลดำรัสว่า คนทั้งหลายเหล่านี้มันสำคัญว่าเรา แล้วเสด็จกลับขึ้นทรงม้าพระที่นั่ง ไปยังพระราชวังนั้น

พระบาทสมเด็จบรมนาถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสด็จเสวยสวรรยาธิปัตติย ถวัลยราช ณ เมืองลพบุรี แลพระมหานครศรีอยุธยา เป็นมหาบรมสุขสนุกมั่งคั่ง พรั่งพร้อมด้วยพลช้างพลม้าพลานิกรทวยหาญ ล้วนแกล้วกล้าสามารถ ปราศจากอริราชไพรีมิได้มีมาย่ำยีบีฑา ระอาพระเดช เดชานุภาพกฤษฎาธิการ แลพระองค์เสด็จผ่านภิภพสิริราชมไหศูรย์สันตติยวงศ์ ดำรงราชอาณาจักรโดยยุติธรรม โบราณราชบรมกษัตริย์สืบกันมา ฟ้าฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล ธัญญาหารก็บริบูรณ์ทั่วชนบท พระเกียรติยศคือฉัตรแก้วกั้นเกศ ทุกประเทศธานีน้อยใหญ่ทั้งปวง ซึ่งเป็นขอบขันธเสมาก็ผาสุขสมบูรณ์ยิ่งนัก จวบกาลล่วงมาประมาณยี่สิบปี

ขณะนั้นเป็นปีจอ พระยาเศวตกุญชรบรมคเชนทรฉัตทันต์ ได้ป่วยลงถึงอนิจกรรม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระโทมนัสอาลัย ในพระยาช้างเผือกนั้นเป็นอันมาก จำเดิมแต่นั้นมาก็มิได้สบายพระทัยเลย จนทรงพระประชวรลงในปีนั้น แลพระโรคนั้นก็หนักลง ทรงนั่งว่าราชการมิได้ลำบากพระทัยนัก จึ่งมีพระราชโองการตรัสเหนือเหล้าเหนือกระหม่อม โปรดให้พระเพทราชาว่าราชการแทนพระองค์ แลพระเพทราชาก็ไปว่าราชการแทนอยู่ที่ตึกพระเจ้าเหา พร้อมด้วยท้าวพระยาเสนาบดีมุขมนตรีทั้งหลายเป็นอันมาก แลให้มีตราไปทุกเมือง ให้เจ้าเมืองกรมการจัดแจงตรวจตราเลขหัวเมืองให้พร้อมไว้ แล้วให้ขัดด่านทางทุกตำบล เกลือกกิตติศัพท์ซึ่งทรงประชวรนั้นจะเลื่องลือไป หมู่อรินราชไพรีรู้แล้วก็จะกำเริบยกมาย่ำยีบีฑาในแว่นแคว้น แล้วให้ตรวจตราตระเวนรักษาด่านแดน ระวังการศึก แลพระเพทราชาว่าราชการาครั้งนั้น โดยสุจริตจะได้คิดสิ่งหนึ่งนั้นหามิได้

อยู่มาวันหนึ่งหลวงสรศักดิ์เข้าไปในพระราชวัง มิได้ไปฟังราชการ ณ ตึกพระเจ้าเหา แลไปนั่งอยู่ ณ ทิมดาบ เห็นสมิงพัตบะผู้เฒ่าก็เรียกให้เข้ามานั่งในที่นั้น แลสนทนาด้วยกิจอื่น ๆ เป็นอันมาก แล้วจึ่งถามสมิงพัตบะว่า

“ อย่างธรรมเนียมข้างรามัญประเทศ ถ้าพระเจ้าแผ่นดินทรงพระประชวรหนัก จะ ถึงกาลทิวงคต แลพระราชบุตรพระราขนัดดา วงศานุวงศ์แลเสนาบดี จะคิดเอาราชสมบัตินั้นจะทำอย่างไร “

สมิงพัตบะก็บอกว่า

“ อย่างธรรมเนียมข้างรามัญประเทศ ถ้าพระมหากษัตริย์ประชวรหนักจะสวรรคต แลผู้ใดคิดจะเอาราชสมบัตินั้น ก็เร่งจัดแจงตระเตรียมผู้คนเครื่องศัสตราวุธ ให้พร้อมไว้แต่ยังมิทันสวรรคต ครั้นเห็นจวนจะสวรรคตแล้ว ก็ยกจู่เข้าปล้นเอาราชสมบัติในเพลานั้น อย่าให้ทันคนอื่นรู้ จึ่งจะได้โดยสะดวก ถ้าแลผู้อื่นรู้การนี้แล้ว ก็จะมีความปรารถนาในราชสมบัติบ้าง แลจะตระเตรียมผู้คนรบพุ่งช่วงชิงกัน จะฆ่าฟันกันตายเป็นอันมาก แล้วก็จะไม่สมคะเนที่คิดไว้ แลจะได้เป็นอันยาก “

หลวงสรศักดิ์ได้ฟังถ้อยคำสมิงพัตบะบอกอุบายชี้แจงดั่งนั้น ก็มีความยินดีนักจึ่งว่า

“ บัดนี้พระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนัก เห็นจะสิ้นพระชนมายุสวรรคาลัย ในสองสามวันนี้เป็นแน่แท้ แลตัวเราเป็นพระราชโอรส มีความปรารถนาในราชสมบัติ แลจะคิดอ่านเอาราชสมบัติ ท่านจะเข้าด้วยเราหรือหาไม่ “

สมิงพัตบะก็ตอบว่า

“ ถ้าท่านจะทำการจริงแล้ว ข้าพเจ้าก็จะช่วยคิดอ่านด้วย อย่าวิตกเลย “
หลวงสรศักดิ์เห็นสมิงพัตบะเข้าด้วยสุจริตจริงแล้ว จึ่งถามว่า คนของท่านมีอยู่มากน้อยเท่าใด สมิงพัตบะบอกว่ามีอยู่สามร้อยเศษ หลวงสรศักดิ์จึ่งว่า

“ ท่านจงตระเตรียมให้พร้อมไว้แต่ในสองสามวัน สรรพด้วยเครื่องศัสตราวุธทั้งปวง แล้วจงซุ่มไว้อย่าให้ใคร ๆ รู้ “

สมิงพัตบะก็รับคำ แล้วไปจัดแจงผู้คนแลเครื่องศัสตราวุธไว้พร้อมเสร็จทุกประการ ครั้นเวลาค่ำประมาณยามเศษ หลวงสรศักดิ์ก็ขึ้นไปหาพระเพทราชา ณ จวนที่อยู่ ยกมือไหว้แล้วถามว่า

“ บัดนี้เจ้าคุณได้ว่าราชการอย่างไร “

พระเพทราชาก็บอกกิจอันว่าราชการนั้น ให้แจ้งสิ้นทุกประการ หลวงสรศักดิ์จึ่งถามว่า

“ เจ้าคุณว่าราชการบัดนี้ จะเอาราชสมบัติเอง หรือจะให้แก่ผู้ใด “

พระเพทราชาจึ่งบอกว่า

“ ถ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตแล้ว บิดาก็จะถวายราชสมบัติแก่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ ซึ่งเสด็จอยู่ ณ พระราชวังหลัง “

หลวงสรศักดิ์ได้ฟังดั่งนั้น จึงว่า

“ ถ้าเจ้าคุณจะยอมให้แก่ผู้อื่นไซร้ ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าด้วย “

พระเพทราชาได้ฟังดังนั้น ก็เห็นว่าหลวงสรศักดิ์จะกระทำการใหญ่ จึงว่า

“ เจ้าจะคิดอ่านกระทำเป็นประการใด ๆ บิดาก็จะกระทำตามถ้อยคำทุกประการ “

หลวงสรศักดิ์จึงว่า

“ ผู้คนทแกล้วทหารที่ร่วมใจของเรา มีอยู่มากน้อยสักเท่าใด เจ้าคุณจงให้หาตัวมาให้สิ้น แลให้ตระเตรียมเครื่องศัสตรวุธให้พร้อมมือกัน แล้วให้ซุ่มอยู่ที่วัด แลบ้านทั้งหลาย แยกย้ายกันอยู่ อย่าให้การทั้งหลายเอิกเกริกเฟื่องฟุ้งไป แลเจ้าคุณจงจัดแจงการให้พร้อมไว้แต่ในสองสามวัน แล้วจึ่งส่งคนทั้งหลายไปยังสำนักข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะคิดอ่านเอาราชสมบัติให้ได้ “

แลพระเพทราชาก็เห็นด้วยโดยความคิดทุกประการ หลวงสรศักดิ์ก็กราบลากลับไปบ้าน ส่วนพระเพทราชาก็จัดแจงตระเตรียมผู้คนแลเครื่องศัสตราวุธพร้อมเสร็จแล้ว ก็ส่งไปบ้านหลวงสรศักดิ์ แล้วก็ไปว่าราชการอยู่ ณ ตึกพระเจ้าเหา พร้อมด้วยท้าวพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งหลาย ประชุมกันอยู่ที่นั้น ทุกเพลาเช้าเย็นเป็นนิจกาลมิได้ขาด

ขณะนั้นสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรอยู่ ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ แลพระโรคนั้นก็กำเริบมากขึ้น จะเสวยพระกระยาหารก็ไม่ได้ เกือบใกล้จะสวรรคตอยู่แล้ว

แลหลวงสรศักดิ์ก็คิดการนั้น ด้วยหลวงทรงบาศกรมช้างขวาผู้หนึ่ง เป็นที่ไว้ใจได้ ครั้นเห็นพอจะทำการได้แล้ว จึงให้หาทแกล้วทหารทั้งหลาย แลรามัญพวกสมิงพัตบะมาพร้อมกันแล้ว จึง สั่งว่า

“ ท่านทั้งหลายจงชวนกันไปรับอาวุธแล้วจงแยกย้ายกันไปซุ่มอยู่ทางนั้น ๆ พร้อมกันแต่ในเพลาสามนาฬิกา แล้วจงทำอุบายซ่อนอาวุธเข้าไปในพระราชวังให้จงได้ อย่าให้นายประตูเขาสงสัย ถ้าเราเข้าไป ณ ตึกพระเจ้าเหาสักครู่หนึ่งแล้ว ท่านทั้งหลายจงรีบเข้าไปในที่นั้นให้พร้อมกัน แล้วจงเอาอาวุธพาดเข้าไปตามช่องประตูหน้าต่างตึกนั้น แลแวดล้อมเราอยู่โดยรอบ “

คนทั้งหลายรับคำแล้วก็ไปทำตามถ้อยคำหลวงสรศักดิ์ ทุกประการ ฝ่ายหลวงสรศักดิ์ก็ใช้ทนาย ให้เข้าไปดูท้าวพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งหลาย ซึ่งประชุมกันอยู่ ณ ตึกพระเจ้าเหานั้น ว่ามาพร้อมกันแล้วหรือยังประการใด แลทหารก็เข้าไปยังตึกพระเจ้าเหา เห็นท้าวพระยาข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งหลายมาพร้อมสิ้นแล้ว ยังไม่มาแต่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ผู้เดียว ก็กลับเอาเหตุนั้นมาแจ้งทุกประการ หลวงสรศักดิ์ได้แจ้งเหตุแล้วจึ่งว่า ทำไมแก่อ้ายฝรั่งนั้น มันไม่มาก็แล้วไปเถิด

ครั้นเพลาสายแล้วสามนาฬิกา หลวงสรศักดิ์ก็แต่งกายอันจะให้มีอำนาจ เสร็จแล้วก็เข้าไปในพระราชวังแวดล้อมด้วยนายทหารร่วมใจสิบหกคน แลให้ทนายคนสนิทผู้หนึ่งถือดาบตามเข้าไปด้วย ครั้นเข้าไปถึงตึกพระเจ้าเหาแล้ว ก็นั่งใกล้พระเพทราชา ยกมือไหว้บิดาแล้วจึ่งว่าขึ้นท่ามกลาง ขุนนางทั้งปวงว่า

“ บัดนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวรหนักอยู่แล้ว ถ้าแลพระองค์เสด็จสวรรคตไซร้ ตัวเราเป็นพระราชโอรสจะเอาราชสมบัติ ท่านทั้งหลายจะเข้าด้วยเราหรือไม่ ให้เร่งบอกมา ถ้าผู้ใดไม่เข้าด้วยเรา เราก็จะประหารชีวิตผู้นั้นเสีย “

ขณะเมื่อหลวงสรศักดิ์ว่าขึ้นดังนั้น ฝ่ายทแกล้วทหารทั้งหลายก็มาพร้อมกันสิ้น แล้วเอาอาวุธพาดเข้าไปตามช่องประตูหน้าต่างตึกนั้นโดยรอบ บ้างก็ถืออาวูธเข้าไปในตึกนั้นเป็นมาก ท้าวพระยาหลวงขุนหมื่นข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งหลาย ได้ฟังคำหลวงสรศักดิ์ว่าดังนั้น แล้วเห็นผู้คนถือ ศัสตราวุธเป็นอันมาก ก็ตกใจกลัวยิ่งนัก แลจะคิดอ่านประการใดก็ไม่ได้ ด้วยการนั้นจู่เอามิทันรู้ตัว กลัวความตายก็ต้องนิ่งอยู่มิรู้ที่จะโต้ตอบประการใด

#########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่