พลิกพงศาวดาร เปลี่ยนแผ่นดิน ๖ ก.ค.๕๘

กระทู้สนทนา
พลิกพงศาวดาร

เปลี่ยนแผ่นดิน
                                                   พ.สมานคุรุกรรม

                       ถึงปีฉลู พระอาทิตยวงศ์ ที่ถูกถอดยศมีพระชนม์ได้สิบเจ็ดพรรษา คบคิดกับขุนนางซึ่งเป็นโทษเสียจากราชการแต่ก่อนนั้น ครั้นได้พวกสองร้อยเศษ เพลาย่ำฆ้องรุ่งก็เปิดประตูกรูกันเข้าไปในพระราชวัง ถึงหน้าสิงห์สรรเพชญปราสาทโห่ร้องอื้ออึง  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปราสาททอง ไม่ทันรู้พระองค์ลงเรือพระที่นั่งลอยอยู่หน้าขนานประจำท่า ตรัสให้ตำรวจไปเร่งขุนนาง เข้าไปจับเหล่าร้าย เสนาบดีทั้งปวงรู้ก็พากันคุมไพร่ เข้าไปตีพวกพระอาทิตยวงศ์แตกกระจาย  จับตัวพระ                อาทิตยวงศ์ได้  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเข้าพระราชวัง จึงสั่งให้พิจารณาเอาพวกกบฏ ซึ่งคบคิดกับพระอาทิตยวงศ์ทั้งสิ้น ไปประหารชีวิตเสียที่ตะแลงแกง

                    ถึงปีขาล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสปรึกษาแก่เสนาพฤฒามาตย์ราชปุโรหิตทั้งหลาย เปลี่ยนศักราชเสียใหม่ แล้วให้มีพระราชสาส์น ไปกรุงรัตนบุระอังวะให้พระเจ้ากรุงอังวะ แลเมืองขอบขัณฑเสมาทั้งปวง ใช้ศักราชตามพระนครศรีอยุธยา  

                    อีกสองปีต่อมา พระเจ้ากรุงอังวะจึงแต่งทูตานุทูตจำทูลพระราชสาส์นมาว่า

          " พระเจ้ากรุงรัตนบุระอังวะ อันตั้งอยู่ในธรรมศาสตรราชศาสตร์ แลมีบ่อแก้วบ่อทองง และพื้นเมือง ขอจำเริญทางพระราชไมตรี มายังสมเด็จพระเจ้ากรุงทวราว ด้วยแจ้งกิตติศัพท์ไปว่า สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมนั้นทิวงคตไปแล้ว พระองค์ราชขึ้นผ่านพิภพ ตามประเพณี มีพระเกียรติยศเกียรติคุณ ใหญ่ยิ่งกว่ากษัตราธิราชแต่ก่อน ก็ประกอบด้วยปราสาททองแลเศวตกุญชรตัวประเสริฐเป็นศรีเมืองนั้น  ฝ่ายกรุงรัตนบุระอังวะมีความยินดีนัก  บัดนี้ให้ทูตมาถามข่าวพระศพตามประเพณี  แลจำเริญทางพระราชไมตรีด้วย ประการหนึ่ง ซึ่งพระองค์จะให้ใช้ศักราช ตามพระนครศรีอยุธยานั้น ฝ่ายกรุงพุกามประเทศแลรามัญประเทศ ได้ใช้ศักราชเดิมหลายชั่วกษัตริย์มาแล้ว ครั้นจะใช้ตามมีพระราช สาส์นไปนั้น เกรงจะฟั่นเฟือน ซึ่งพระเจ้ากรุงทวาราวดี     ลบได้ ก็ให้พระองค์ใช้เถิด "

                    ครั้นแปลแล้ว  สมุหนายกเอามากราบทูลพระกรุณา  ทรงเคืองพระทัยตรัสว่า ไอ้พม่ามันมิใช้ตามเราก็แล้วไป

                    ปีต่อมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิน ลงไปประพาสพระที่นั่งไอสวรรยทิพอาสน์ วันนั้นเสด็จอยู่แรมเพลาค่ำ ออกมาประทับยืนอยู่หน้ามุข ให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระนารายณ์ราชกุมาร พระชนม์ได้เก้าพรรษาส่องโคม  อสนีตกลงต้องหน้าบันแว่นประดับรูปสัตว์ ตกกระจายลงมารอบพระองค์  สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว แลสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ จะได้เป็นอันตรายหามิได้ ทรงพระกรุณาให้พระโหราทำนาย ถวายพยากรณ์ว่าเป็นมหาศุภนิมิต จะทรงพระกฤษฎาธิการยิ่งขึ้นไป แล้วจะได้พระราชลาภต่างประเทศ

                    ถึงเดือนสิบกำปั่นอลิมัดหลำลูกค้าเมืองเทศ บรรทุกพรรณผ้า  แลได้ม้าเทศสูงสามศอกสองนิ้วเข้ามาถวายสองม้า กับกั้นหยั่นฝักดำถมยาราชาวดีประดับนพรัตน์เล่มหนึ่ง กับสิ่งของนอกนั้นเป็นอันมาก

                    อีกสองปีถัดมา พระโหราถวายฤกษ์ฎีกาว่า ในสามวันนี้ จะเกิดเพลิงไหม้ในพระราชวัง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงฟังก็ตกพระทัย ด้วยโหรานี้ทายแม่นยำนัก  ครั้งหนึ่งเสด็จอยู่ในพระที่นั่งไพชยนตมหาปราสาท มีหนูตกลงมาตัวหนึ่ง  ทรงพระกรุณาเอาขันทองครอบไว้ ให้หาพระโหรามาทาย พระโหราคำนวณแล้วทูลว่าสัตว์สี่เท้า  ทรงพระกรุณาตรัสว่ากี่ตัว พระโหราขับคำนวณแล้วว่าสี่ตัว  ทรงพระกรุณาตรัสว่าสัตว์สี่เท้านั้นถูกอยู่แล้ว แต่ที่สี่ตัวนั้นผิด ครั้นเปิดขันทองขึ้น เห็นลูกมุสิกะคลานอยู่สามตัว กับแม่ตัวหนึ่งเป็นสี่ตัว ก็ทรงพระกรุณาตรัสสรรเสริญพระโหราธิบดีว่า ดูแม่นยิ่งกว่าตาเห็นอีก ให้พระราชทานเงินตราชั่งหนึ่ง เสื้อผ้าสองสำรับ แต่นั้นมาก็เชื่อถือพระโหราธิบดีนัก

                    ครั้นทราบว่าจักเกิดเพลิง จึ่งมิไว้พระทัย ให้ขนของในพระราชวังออกมา ไปอยู่วัด  ชัยวัฒนารามทั้งเรือบัลลังก์ เรือศรี เรือคลัง คับคั่งแออัดกันอยู่ แลในพระราชวังนั้น เกณฑ์ไพร่สมพรรค สรรพด้วยพร้าขอตะกร้อน้ำรักษา ห้ามมิให้หุงข้าวในพระราชวัง แล้วให้เรือตำรวจคอยบอกเหตุทุกทุ่มโมง

                          ครั้นถึงคำรบสามวัน เพลาชายแล้วสี่นาฬิกา เรือตำรวจลงไปกราบทูลพระกรุณาว่าสงบอยู่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่าครั้งนี้เห็นพระโหราธิบดีจะผิดอยู่แล้ว สั่งเรือเถิดจะเข้าพระราชวัง  เจ้าพนักงานก็เคลื่อนเรือพระที่นั่งกิ่งเข้ารับเสด็จ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาถึงฉนวนน้ำประจำท่า พระโหราธิบดีอยู่ท้ายเรือพระที่นั่ง กราบทูลว่าขอให้ย่ำฆ้องค่ำก่อน จึ่งจะสิ้นพระเคราะห์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ให้ลอยเรือพระที่นั่งอยู่  

                         เพลาชายแล้วห้านาฬิกา  เมฆตั้งพยับคลุ้มขึ้นข้างปราจิมทิศ ฝนตกพรำ ๆ ลงมา ทรงพระกรุณาตรัสแก่พระโหราว่าฝนตกลงมาสิ้นเหตุแล้วกระมัง พระโหรากราบทูลว่าขอพระราชทานงดก่อน พอสิ้นคำลง อสนีเปรี้ยงลงมาต้องเหมพระมหาปราสาท เป็นเพลิงติดพลุ่งโพลงขึ้นไหม้ลามลงมา คนทั้งหลายซึ่งอยู่ในพระราชวังมิรู้ที่จะทำประการใด แลดีบุกอันดาดหลังคานั้นไหลรดลงมาดั่งห่าฝน เพลิงก็ไหม้ติดต่อไปทั้งห้องคลัง เรือนหลังร้อยเรือนจึ่งดับได้

                    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสให้พระโหราดูว่า เพลิงฟ้าไหม้ดั่งนี้ จะดีหรือร้าย พระโหรากราบทูลพระกรุณาว่าดี จะมีลาภแลกอรปด้วยอิสริยยศ พระเกียรติยศจะปรากฎไปในนานาประเทศทั้งปวง บรรดาอริราชไพรีจะเกรงพระเดชเดชานุภาพ เป็นอันมาก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงฟังมีพระทัยปราโมทย์ยิ่งนัก

                    ครั้งนั้นเพลิงไหม้แต่พระที่นั่งมังคลาภิเษกที่ชื่อปราสาททอง แต่พระที่นั่งจักรวรรดิ     ไพชยนตมหาปราสาท  แลพระที่นั่งสรรเพชญปราสาท  จะได้ไหม้ด้วยหามิได้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเข้าพระราชวัง ทรงพระกรุณาให้ช่างจัดการก่อพระมหาปราสาท แลทำคลังเรือนข้างในทั้งปวง สามเดือนเรือนข้างในเสร็จ  แต่พระมหาปราสาทปีหนึ่งจึงสำเร็จ ให้นามว่าพระวิหารสมเด็จ

                    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปราสาททอง ครองพิภพมณฑลสบสกลสีมาอาณาจักร พรักพร้อมด้วยหมู่จาตุรงค์เรืองพระเดชเดชานุภาพ สมณพราหมณาจารย์ แลไพร่ฟ้าขอบขัณฑเสมา     เป็นสุขสมบูรณ์ทั่วหน้า ต่อมาอีกสิบเอ็ดปีก็ทรงประชวรหนัก แปรสถานลงไปอยู่พระที่นั่งเบญจรัตน์ ทรงพระกรุณามอบราชสมบัติ และพระแสงขรรค์ชัยศรี ให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าไชย ต่อมาอีกสามวันก็เสด็จสวรรคต  เมื่ออยู่ในราชสมบัติได้ยี่สิบหกพรรษา เจ้าฟ้าไชยก็ได้ครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระนามว่าพระไชยราชาธิราช

                    ปีต่อมา สมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้าก็ให้คนสอดแนม ออกมาคิดการกับพระศรีสุธรรมราชา ผู้เป็นพระเจ้าอา ครั้นเพลาค่ำพระนารายณ์เป็นเจ้าก็พาพระขนิษฐาของพระองค์ ลอบหนีออกทางประตูตัดสระแก้วไปหาพระเจ้าอา พระศรีสุธรรมราชากับพระนารายณ์ราชนัดดา ซุ่มผู้คนพร้อมแล้วก็ยกเข้ามาในพระราชวัง กุมเอาตัวเจ้าฟ้าไชยไปสำเร็จโทษเสียที่วัดโคกพระยา      

                    พระศรีสุธรรมราชาก็ได้ผ่านพิภพกรุงทวาราวดีศรีอยุธยา  แล้วตรัสให้สมเด็จพระนารายณ์ราชนัดดาเป็นอุปราช สมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้าเสด็จอยู่ ณ พระราชวังบวรมงคลสถาน อยู่มาสองเดือนเศษ สมเด็จพระศรีสุธรรมราชาพระเจ้าแผ่นดินเห็นพระราชกัลยาณีน้องพระนารายณ์ราชนัดดา ทรงพระรูปสิริวิลาสเลิศลักษณะนารี ก็มีพระทัยเสน่หาผูกพัน ปราศจากลัชชีสมโภค  จึ่งให้หาขึ้นไปบนที่  หวังจะร่วมรสสังวาส  พระราชกัลยาณีมิได้ขึ้นไปหนีลงมาพระตำหนักแล้วบอกเหตุกับพระนม นางพระนมจึ่งเชิญพระกัลยาณีเข้าไว้ในตู้พระสมุดหามออกมา เสว่าจะเอาพระสมุด ไปยังพระราชวังบวรสถานมงคล นายประตูก็มิได้สงสัย

                    ครั้นไปยังพระราชวังบวรสถานมงคลแล้ว  พระราชกัลยาณีก็ออกจากตู้  เข้าเฝ้าสมเด็จพระเชษฐาธิราช ทรงพระกันแสงทูลประพฤติเหตุทั้งปวง ซึ่งพระเจ้าอาเป็นพาลทุจริต  สมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้าได้ทรงฟัง ก็ทรงพระโทมนัสน้อยพระทัยนัก  ตรัสว่า
        “ อนิจจาพระเจ้าอา เรานี้คิดว่าสมเด็จพระปิตุราชสวรรคตแล้ว ยังแต่พระเจ้าอาก็เหมือนบรมราชบิดายังอยู่ จะได้ปกป้องพระราชวงศานุวงศ์สืบไป ควรหรือมาเป็นดั่งนี้ได้ พระองค์ปราศจากหิริโอตัปปะแล้ว ไหนจะครอบครองราชสมบัติเป็นยุติธรรมได้เล่า น่าที่จะร้อนอกสมณชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎร ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเป็นแท้ จะละไว้มิได้ “

    สมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้าจึ่งจำเป็นจะต้อง ขจัดภัยอันจะมาถึงพระองค์นั้น  ด้วยพระองค์ก่อแล้วจำจะสานตาม แลจะเสี่ยงเอาบารมีเป็นที่พึ่ง

##########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่