ธรรมที่ควรกำหนดรู้ ธรรมที่ควรละ ธรรมที่ควรเจริญ ธรรมที่ควรทำให้แจ้ง... ด้วยปัญญา

[๘๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนบุคคลเมื่อรู้เมื่อเห็นจักษุ ตามความเป็นจริง เมื่อรู้เมื่อเห็นรูป ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้เมื่อเห็นจักษุวิญญาณ ตามความเป็นจริง เมื่อรู้เมื่อเห็นจักษุสัมผัส ตามความเป็นจริง เมื่อรู้เมื่อเห็นความเสวยอารมณ์
เป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ตามความเป็นจริง ย่อมไม่กำหนัดในจักษุ
ไม่กำหนัดในรูป ไม่กำหนัดในจักษุวิญญาณ ไม่กำหนัดในจักษุสัมผัส ไม่กำหนัดในความเสวยอารมณ์ เป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม
มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย เมื่อบุคคลนั้นไม่กำหนัดนักแล้ว ไม่ประกอบพร้อมแล้ว ไม่ลุ่มหลง
เล็งเห็นโทษอยู่ ย่อมมีอุปาทานขันธ์ ๕ ถึงความไม่พอกพูนต่อไป
และเขาจะละตัณหาที่นำไปสู่ภพใหม่ สหรคตด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความยินดี อันมีความเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ ได้
จะละความกระวนกระวายแม้ทางกาย แม้ทางใจได้ จะละความเดือดร้อนแม้ทางกาย แม้ทางใจได้
จะละความเร่าร้อนแม้ทางกาย แม้ทางใจได้ เขาย่อมเสวยสุขทางกายบ้าง สุขทางใจบ้าง บุคคลผู้เป็นเช่นนั้นแล้ว
มีความเห็นอันใด ความเห็นอันนั้นย่อมเป็นสัมมาทิฐิ มีความดำริอันใด ความดำริอันนั้นย่อมเป็นสัมมาสังกัปปะ
มีความพยายามอันใด ความพยายามอันนั้นย่อมเป็นสัมมาวายามะ มีความระลึกอันใดความระลึกอันนั้นย่อมเป็นสัมมาสติ
มีความตั้งใจอันใด ความตั้งใจอันนั้นย่อมเป็นสัมมาสมาธิ ส่วนกายกรรม วจีกรรม อาชีวะของเขา ย่อมบริสุทธิ์ดีในเบื้องต้นเทียว
ด้วยอาการอย่างนี้ เขาชื่อว่ามีอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐถึงความเจริญบริบูรณ์ ฯ

             [๘๒๙] เมื่อบุคคลนั้นเจริญอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐนี้อยู่อย่างนี้ ชื่อว่ามีสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔
อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ ถึงความเจริญบริบูรณ์ บุคคลนั้นย่อมมีธรรมทั้งสองดังนี้ คือสมถะและวิปัสสนาคู่เคียงกันเป็นไป
เขาชื่อว่ากำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ละธรรมที่ควรละด้วยปัญญาอันยิ่ง เจริญธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง
ทำให้แจ้งธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่ควรกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน มีข้อที่เรากล่าวไว้ว่า
อุปาทานขันธ์ ๕ ได้แก่อุปาทานขันธ์ คือรูป คือเวทนา คือสัญญา คือสังขาร คือวิญญาณ
เหล่านี้ชื่อว่าธรรมที่ควรกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่ควรละด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน คืออวิชชาและภวตัณหา
เหล่านี้ชื่อว่าธรรมที่ควรละด้วยปัญญาอันยิ่ง
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน คือสมถะและวิปัสสนา
เหล่านี้ชื่อว่าธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน คือ วิชชาและวิมุตติ
เหล่านี้ชื่อว่าธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง ฯ

บางส่วน จากพระสูตรไหนต้องบอกมั้ย
พระไตรปิฏก เล่มที่ ๑๔  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ๗. สฬายตนวิภังคสูตร (๑๔๙)
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_item.php?book=14&item=828
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=825


ประเด็นคืออะไร คืองี้นะ
เอาย่อหน้าแรกก่อน พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า... ขอย่อสั้นๆเลยนะครับ
เมื่อรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว อุปาทานขันธ์ ๕ ย่อมไม่พอกพูนต่อไป ละตัณหา ประกอบไปด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘
เอาล่ะ หยุดตรงนี้ก่อนนะครับ
การรู้เห็นตามความเป็นจริง เป็นการปฏิบัติ หรือเป็นผลจากการปฏิบัติ...?
ถ้าอ่านแบบนี้แล้ว ฉันรู้สึกว่า การรู้เห็นตามความเป็นจริงนั้น เป็นผลจากการปฏิบัตินะ
ปฏิบัติอะไร ตอบว่า ปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา ซึ่งอันนี้ตามที่อ่านย่อหน้าสุดท้ายนะ

ทีนี้มาที่ย่อหน้าตอนท้าย ท่านว่า
ธรรมที่ควรกำหนดรู้ คือ อุปาทานขันธ์ ๕ กำหนดรู้ยังไง แบบไหน...? ก็คงต้องไปอ่านในพระสูตรอื่นๆที่ว่ากันด้วยขันธ์ ๕
เช่น รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง เป็นต้น กระมัง...?
ธรรมที่ควรละ คือ อวิชชาและภวตัณหา ทำไมท่านไม่รวมถึง ตัณหาอื่นด้วยเล่า อันนี้ก็ละไว้
ธรรมที่ควร เจริญ คือ สมถะและวิปัสสนา อันนี้ก็ธรรมดา ภาวนาก็คือเจริญนั่นเอง ไม่แปลกอะไร
ถ้าถามว่าต้องทำอย่างไรเพื่อกำหนดรู้และละอวิชชาและภวตัณหาข้างต้น ก็ต้องบอกว่า เจริญสมถะและวิปัสสนา
ธรรมที่ควรทำให้แจ้ง คือ วิชชาและวิมุตติ อันนี้คือปลายทางแห่งการปฏิบัติ
ถ้าไม่มีปลายทางอย่างนี้มันจะเคว้ง เหมือนปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมาย บางทีก็เลยปฏิบัติไปเลยเถืดก็มี
เพราะเราไม่หาตัวปลายว่าคืออะไร

ฉันคิดอย่าง คุณก็อาจจะคิดอีกอย่างก็ได้ ความคิดมีได้หลายอย่างนะ
ตามความรู้สึกของฉัน เราไม่เข้าใจพระสูตรได้ทั้งหมดหรอก จนกว่าเราจะปฏิบัติผ่านมาแล้วอย่างสมบูรณ์

อ้อ... เคยมีคนทักฉันว่า ฉันเฝ้าไปเถียงกับใครต่อใครในกระทู้
ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เพราะฉันรู้สึกว่า มันเป็นกระทู้สนทนา
สนทนาก็ต้องมีการคุยโต้ตอบกันสิ มันแปลกหรือ...?
มันเป็นกระทู้คุยกันนะจ๊ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่