All the Money in the World (Ridley Scott, 2017) คะแนน C+
By Form Corleone
"ทุกสิ่งอย่างในโลกนี้ล้วนมีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ" เรื่องราวการลักพาตัวหลานชายของ 'จอห์น พอล เก็ตตี้' (คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์) พ่อค้าน้ำมันมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกถูกผู้กำกับ 'ริดลีย์ สก็อตต์' หยิบมาใส่สีตีไข่อิงเรื่องจริงจนตัวภาพยนตร์มีความไม่สมจริงและเสแสร้งคนดูอยู่ตลอดเวลา แต่ก็เป็นอะไรที่ยอมรับได้เพราะหนังเลือกบอกกับคนดูไว้ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่าเรื่องราวทั้งหมดถูกแต่งเพิ่มจากเรื่องจริง อย่างไรก็ตาม ความไม่จริงจนเข้าขั้นนิยายและวิธีการตัดสลับเหตุการณ์ที่ไม่ต่อเนื่องและมีรอยแผลที่สังเกตเห็นได้เป็นระยะนั้นทำให้เราไม่สามารถคล้อยตามเรื่องราวทั้งหมดหรือสนุกไปกับพล็อตเรื่องต่างๆได้อย่างเต็มที่ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะตัวหนังมีการถ่ายซ่อมจากการเปลี่ยนผู้แสดงจาก 'เควิน สเปซีย์' มาเป็น 'คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์' ในขณะที่หนังถ่ายเสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าคิดแบบนี้ก็พอจะให้อภัยได้อยู่ การแสดงของเหล่านักแสดงไม่ได้โชว์ฝีมือกันมากมายเพราะตัวบทภาพยนตร์ไม่ได้อำนวยให้แสดงพลังออกมา ยกเว้น บทบาทของ 'จอห์น พอล เก็ตตี้' ที่รับบทโดย 'คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์' ที่สามารถโชว์ซีนอารมณ์ได้มีอิทธิพลต่อเส้นเรื่องทั้งหมดอย่างสมเหตุสมผลและครอบคลุมเนื้อหาสาระที่ตัวภาพยนตร์ต้องการนำเสนอได้
ประเด็นคนรวยที่ตีตราทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้เป็นราคาที่ต้องจ่ายเสมอนั้นดูน่าสนใจ แต่วิธีการที่หนังเลือกใช้นำเสนอกลับดูเชยและตรงไปตรงมาเกินไปจนทำให้บทสรุปส่งท้ายไม่สามารถพาเราไปถึงความสะเทือนใจในวิถีของคนรวย ที่มีเพียงเงินท่วมตัวแต่ไม่มีแม้สักคนที่รักและอยู่เป็นเพื่อนข้างกายในวาระสุดท้ายของชีวิต แน่นอนว่า เหตุการณ์แบบนี้ทำให้เรานึกถึงภาพยนตร์เรื่อง Citizen Kane(1941) เพียงแต่งานนี้ไม่ได้โฟกัสไปที่ประเด็นตัวตนคนรวยเพียงอย่างเดียว หนังสอดแทรกการสืบคดีและฉากการลักพาตัว จนไปถึงการต่อรองและวิธีประนีประนอมระหว่างคนร้ายกับผู้ที่ต้องการช่วยเหลือเด็กที่ถูกลักพาตัวเป็นส่วนใหญ่ แง่มุมหนึ่ง ความสนุกสนานที่หนังเลือกตัดสลับอาจมาจากช่วงเวลาของการตามหาคนร้าย ตามสืบคดี และโทนสีผสมงานฉากที่หนังเลือกใช้ ทั้งหมดยังคงมีสไตล์และเป็นงานฝีมือ ไม่เสียชื่อ 'ริดลีย์ สก็อตต์' ภาพรวมทั้งหมดจึงออกมาแบบไม่ดูแย่ แม้ว่าประเด็นที่ต้องการนำเสนอจะไม่ค่อยทรงพลังเท่าที่ควร ตามที่เราคาดหวังไว้ว่าจะได้รับ ท้ายสุด 'All the Money in the World' มีพล็อตเรื่องที่เป็นเส้นตรงเกินไปและข้อความที่อยากนำเสนอนั้นถูกถ่ายทอดออกมาได้เชยและไม่ทรงพลัง แต่ถ้ามองถึงงานฉากและงานสร้าง จนไปถึงความสนุกสนานให้เราพอร่วมลุ้นไปกับคดีลักพาตัวครั้งนี้ก็คงจะดูได้เพลินๆไม่ทำให้รู้สึกง่วงหาวมากจนเกินไป...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่าง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/ 
Review: All the Money in the World (Ridley Scott, 2017) เขียนโดย Form Corleone
By Form Corleone
"ทุกสิ่งอย่างในโลกนี้ล้วนมีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ" เรื่องราวการลักพาตัวหลานชายของ 'จอห์น พอล เก็ตตี้' (คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์) พ่อค้าน้ำมันมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกถูกผู้กำกับ 'ริดลีย์ สก็อตต์' หยิบมาใส่สีตีไข่อิงเรื่องจริงจนตัวภาพยนตร์มีความไม่สมจริงและเสแสร้งคนดูอยู่ตลอดเวลา แต่ก็เป็นอะไรที่ยอมรับได้เพราะหนังเลือกบอกกับคนดูไว้ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่าเรื่องราวทั้งหมดถูกแต่งเพิ่มจากเรื่องจริง อย่างไรก็ตาม ความไม่จริงจนเข้าขั้นนิยายและวิธีการตัดสลับเหตุการณ์ที่ไม่ต่อเนื่องและมีรอยแผลที่สังเกตเห็นได้เป็นระยะนั้นทำให้เราไม่สามารถคล้อยตามเรื่องราวทั้งหมดหรือสนุกไปกับพล็อตเรื่องต่างๆได้อย่างเต็มที่ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะตัวหนังมีการถ่ายซ่อมจากการเปลี่ยนผู้แสดงจาก 'เควิน สเปซีย์' มาเป็น 'คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์' ในขณะที่หนังถ่ายเสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าคิดแบบนี้ก็พอจะให้อภัยได้อยู่ การแสดงของเหล่านักแสดงไม่ได้โชว์ฝีมือกันมากมายเพราะตัวบทภาพยนตร์ไม่ได้อำนวยให้แสดงพลังออกมา ยกเว้น บทบาทของ 'จอห์น พอล เก็ตตี้' ที่รับบทโดย 'คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์' ที่สามารถโชว์ซีนอารมณ์ได้มีอิทธิพลต่อเส้นเรื่องทั้งหมดอย่างสมเหตุสมผลและครอบคลุมเนื้อหาสาระที่ตัวภาพยนตร์ต้องการนำเสนอได้
ประเด็นคนรวยที่ตีตราทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้เป็นราคาที่ต้องจ่ายเสมอนั้นดูน่าสนใจ แต่วิธีการที่หนังเลือกใช้นำเสนอกลับดูเชยและตรงไปตรงมาเกินไปจนทำให้บทสรุปส่งท้ายไม่สามารถพาเราไปถึงความสะเทือนใจในวิถีของคนรวย ที่มีเพียงเงินท่วมตัวแต่ไม่มีแม้สักคนที่รักและอยู่เป็นเพื่อนข้างกายในวาระสุดท้ายของชีวิต แน่นอนว่า เหตุการณ์แบบนี้ทำให้เรานึกถึงภาพยนตร์เรื่อง Citizen Kane(1941) เพียงแต่งานนี้ไม่ได้โฟกัสไปที่ประเด็นตัวตนคนรวยเพียงอย่างเดียว หนังสอดแทรกการสืบคดีและฉากการลักพาตัว จนไปถึงการต่อรองและวิธีประนีประนอมระหว่างคนร้ายกับผู้ที่ต้องการช่วยเหลือเด็กที่ถูกลักพาตัวเป็นส่วนใหญ่ แง่มุมหนึ่ง ความสนุกสนานที่หนังเลือกตัดสลับอาจมาจากช่วงเวลาของการตามหาคนร้าย ตามสืบคดี และโทนสีผสมงานฉากที่หนังเลือกใช้ ทั้งหมดยังคงมีสไตล์และเป็นงานฝีมือ ไม่เสียชื่อ 'ริดลีย์ สก็อตต์' ภาพรวมทั้งหมดจึงออกมาแบบไม่ดูแย่ แม้ว่าประเด็นที่ต้องการนำเสนอจะไม่ค่อยทรงพลังเท่าที่ควร ตามที่เราคาดหวังไว้ว่าจะได้รับ ท้ายสุด 'All the Money in the World' มีพล็อตเรื่องที่เป็นเส้นตรงเกินไปและข้อความที่อยากนำเสนอนั้นถูกถ่ายทอดออกมาได้เชยและไม่ทรงพลัง แต่ถ้ามองถึงงานฉากและงานสร้าง จนไปถึงความสนุกสนานให้เราพอร่วมลุ้นไปกับคดีลักพาตัวครั้งนี้ก็คงจะดูได้เพลินๆไม่ทำให้รู้สึกง่วงหาวมากจนเกินไป...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่าง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/