รีวิว ALL THE MONEY IN THE WORLD
ฆ่า-ไถ่-อำมหิต (คะแนน 9 /10)
[**No Spoil ไม่เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ]
หนังที่จะทำให้คุณ "เกลียด" คนรวย และก็อยากเอาเป็น "เยี่ยงอย่าง" ในเวลาเดียวกัน.. ภาพยนตร์สุดระทึกขวัญ ชวนสร้างความตึงเครียดให้กับสมอง
#ที่เราก็ไม่ค่อยจะมี กับการสืบสวนและการต่อรองทางจิตวิทยาแบบคนโคตรรวย เมื่อหลานชายหัวแก้วหัวแหวนถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ แต่เขากลับรีรอไม่รีบร้อนที่จะจ่ายเงินจำนวนที่ดูน้อยนิด เมื่อเทียบกับทรัพย์สินทั้งหมดที่เขามีอยู่ให้กับโจรเรียกค่าไถ่ในครั้งนี้ !!
เรื่องราวสร้างโดยอ้างอิงจากเรื่องจริงสุดสะเทือนขวัญ จากคดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่ชื่อดังในช่วงยุคปี 70 อย่างคดีลักพาตัว "จอห์น พอล เกตตี้ที่ 3" หลานชายของ "จอห์น พอล เกตตี้" บุรุษที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในขณะนั้น เมื่อหลานชายถูกโจรลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ ด้วยเงินจำนวนมหาศาลถึง 17 ล้านเหรียญ !! แต่แล้ว.. บุรุษที่ได้ชื่อว่าร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์โลกในเวลานั้น ยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าจะไม่มีการจ่ายค่าไถ่ให้หลานชาย ซึ่งเป็นสายเลือดแท้ ๆ ของเขาแม้แต่เหรียญเดียว !!
#อ้าวเฮ้ย!!!
เนื้อหามีความน่าสนใจตรงที่ว่า คุณปู่เกตตี้ คิดอะไร ? ทำไมถึงให้คุณค่ากับเงินของเขา มากกว่าหลานชายแท้ ๆ เป็นเพราะว่าเขาไม่รักหลานชาย ? หรือเป็นเกมการต่อรอง การเจรจาเพื่อให้เสียค่าไถ่น้อยที่สุด ? หรือแท้จริงแล้วเขามีความคิดอะไรที่คนธรรมดาอย่างเราไม่สามารถหยั่งถึงได้เลย ? คุณจะเกิดคำถามขึ้นมามากมายในหัว พร้อมแอบสบถด่าคุณปู่จอมขี้เหนียวคนนี้ในใจเป็นระยะ ๆ ในช่วงขณะที่คุณรับชมหนังเรื่องนี้ แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็จะได้เรียนรู้ว่า เพราะเหตุใดทำไมเขาถึงก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกได้เช่นกัน..
จุดที่เรารู้สึกชอบในหนังเรื่องนี้.. คือหนังดำเนินเรื่องได้น่าติดตามเอามาก ๆ แม้ว่าจะโทนหนังจะไม่ได้หวือหวาด้วยภาพ หรือฉากบู๊อะไรเลยก็ตาม แต่มันน่าติดตามในบทพูดของตัวละครแทบจะทุกคนเลยทีเดียว ประกอบกับการแสดงสีหน้าของนักแสดงทุกคนที่ช่วยขับอารมณ์ของตัวละครออกมาได้อย่างดีเยี่ยม มันทำให้เราจดจ่อไปกับหนังแบบไม่อาจละสายตาได้เลยแม้แต่น้อย
สำหรับตัวละครที่เราชื่นชอบที่สุดคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก "จอห์น พอล เกตตี้" (รับบทโดย : คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์) ที่แสดงเป็นมหาเศรษฐีออกมาได้น่าเชื่อถือ น่าเกรงขาม และดูมีกลิ่นอายของความเขี้ยวลากดินสูงมาก !! จนทำให้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และเป็นสถิตินักแสดงอายุมากที่สุดที่เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงในรางวัลนี้ด้วยวัย 88 ปี !!!
และที่น่าทึ่งยิ่งไปกว่านั้น คือคุณปู่พลัมเมอร์ ใช้เวลาในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในระยะเวลาเพียงแค่ 10 วันเท่านั้น !!!! หลังจาก "ริดลีย์ สก็อตต์" ผู้กำกับ ตัดสินใจเปลี่ยนตัวนักแสดงแบบสายฟ้าแลบ หลังจาก "เควิน สเปซีย์" ผู้รับบทคุณปู่เกตตี้ก่อนหน้านี้มีข่าวอื้อฉาวเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ ทำให้มีเวลาถ่ายซ่อมก่อนหนังจะเข้าฉายเพียงแค่ 6 สัปดาห์เท่านั้น..
นอกจากบทของคุณปู่เกตตี้แล้ว ตัวละครอื่น ๆ ก็มีความโดดเด่นในแบบฉบับของตัวเองเช่นกัน ทั้ง "เกล" (รับบทโดย : มิเชลล์ วิลเลียมส์) กับบทคุณแม่ที่จนตรอกหมดหนทาง สิ้นหวังในการหาเงินค่าไถ่ลูกชาย หรือบทของ "จอห์น พอล เก็ตตี้ ที่ 3" (รับบทโดย : ชาร์ลี พลัมเมอร์) หลานชายผู้ถูกจับตัวไป ที่เล่นได้สมกับเป็นหลานชายสไตล์ฮิปปี้ ที่ภายนอกดูเป็นคนไม่ค่อยเอาไหน ดูเป็นเด็กมีปัญหา แต่ก็มีความเป็นเด็กที่ "มีของ" อยู่ในตัวไม่น้อย
จุดที่เราไม่ค่อยชอบ.. คือเรารู้สึกว่าบางตัวละครดูมีมิติที่เบาบางไป ไม่ใช่ว่าไม่ดีเพราะนักแสดง แต่เป็นเพราะบทที่ทำให้ตัวละครดูราบเรียบกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะบทของที่ปรึกษาส่วนตัวของคุณปู่เกตตี้ ผู้ที่รับการไว้วางใจให้เป็นผู้เจรจาในคดีเรียกค่าไถ่สะเทือนโลกครั้งนี้ ดีกรีอดีตสายลับ CIA อย่าง "เฟลตเชอร์ เชซ" (รับบทโดย : มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) หรือบทของ "จอห์น พอล เก็ตตี้ ที่ 3" เองก็มีช่องว่างพอจะเติมบางสิ่งให้เป็นที่น่าจดจำมากกว่านี้
อีกจุดหนึ่งคือ.. หนังไม่ได้สอนเราตรง ๆ ว่าการกระทำแต่ละอย่างของคุณปู่เกตตี้ เขามีกระบวนการคิดอย่างไร ซึ่งถ้าใครสามารถดูแล้วตกผลึกทางความคิดเอาไปต่อยอดได้เอง เลือกนำสิ่งที่ดี ๆ ไปใช้ มันก็จะเป็นผลดีกับคนนั้นๆ แต่มันก็มีความ "อันตราย" อยู่เหมือนกัน เพราะถ้าหากใครดูแล้วไม่เข้าใจ พาลจะเกลียดคนรวยไปซะดื้อ ๆ เราเกรงว่ามันอาจจะเป็นการปิดกั้นโอกาสหลาย ๆ อย่างในชีวิตของคน ๆ นึงเลยก็เป็นได้ ซึ่งในจุดนี้เราอาจจะคิดมากไปเองก็เป็นได้..
หนังค่อนข้างที่จะชักจูงให้คนดูมองว่าคุณปู่เกตตี้กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาคนดูอยู่ไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่น่าจะนำเสนอแง่มุมที่แตกต่างไปได้มากกว่านี้ ให้คนได้เข้าใจความคิดของคุณปู่มากขึ้น และนำไปปรับใช้ในชีวิตจริงไปพัฒนาตัวเองกัน..
สรุป.. โดยรวมแล้วชอบมากครับ ดูแล้วเครียดคิ้วขมวดสะใจซะจริงๆ #ใครกลัวหน้าแก่ไม่เหมาะนะบอกเลย เรียกได้ว่า ได้รับความบันเทิงในแบบเครียด ๆ ไปมากโขเลยทีเดียวกับหนังเรื่องนี้
ใครชอบหนังแนวค่อนข้างเครียด เฉือดเฉือนกันด้วยคำพูด แนะนำเลยครับเรื่องนี้ การันตีด้วยชื่อของ "ริดลีย์ สก็อตต์" ผู้กำกับสุดเก๋าวัย 80 ปี ที่มีผลงานกำกับหนังมาอย่างโชกโชน ทั้งหนังแฟรนไชส์ Aliens หรือหนังดังอย่าง Black Hawk Down (2001) และ The Martian (2015) เป็นต้น หนังเข้าฉายวันพฤหัสที่ 22 กุมภาพันธ์นี้ครับ ^^
“รสนิยมการดูหนังแต่ละคน ไม่เหมือนกัน
ถ้าคุณคิดว่าใช่ พิสูจน์ด้วยตาของคุณเองในโรงหนังดีที่สุด
แล้วอย่าลืมกลับมาคุยกันนะครับ ^^”
.
.
.
Facebook : ก็แค่คนชอบดูหนัง
ใครอยากติดตามรีวิวหนังใหม่ ๆ สามารถติดตามได้ทาง GUAWESOME.com อีกช่องทางครับ
ผมพึ่งได้มีโอกาสเขียนให้กับทางเว็บไซต์ ก่อนจะนำมาลง Pantip อีกทีฮะ
ยังไงก็ฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยจ้า~
http://goo.gl/HreaWL
[SR] [ก็แค่คนชอบดูหนัง] All Money in The World : บุคคลที่น่ารังเกียจ และน่าเอาเยี่ยงอย่างในเวลาเดียวกัน.. [**No Spoil]
ฆ่า-ไถ่-อำมหิต (คะแนน 9 /10)
[**No Spoil ไม่เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ]
หนังที่จะทำให้คุณ "เกลียด" คนรวย และก็อยากเอาเป็น "เยี่ยงอย่าง" ในเวลาเดียวกัน.. ภาพยนตร์สุดระทึกขวัญ ชวนสร้างความตึงเครียดให้กับสมอง #ที่เราก็ไม่ค่อยจะมี กับการสืบสวนและการต่อรองทางจิตวิทยาแบบคนโคตรรวย เมื่อหลานชายหัวแก้วหัวแหวนถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ แต่เขากลับรีรอไม่รีบร้อนที่จะจ่ายเงินจำนวนที่ดูน้อยนิด เมื่อเทียบกับทรัพย์สินทั้งหมดที่เขามีอยู่ให้กับโจรเรียกค่าไถ่ในครั้งนี้ !!
เรื่องราวสร้างโดยอ้างอิงจากเรื่องจริงสุดสะเทือนขวัญ จากคดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่ชื่อดังในช่วงยุคปี 70 อย่างคดีลักพาตัว "จอห์น พอล เกตตี้ที่ 3" หลานชายของ "จอห์น พอล เกตตี้" บุรุษที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในขณะนั้น เมื่อหลานชายถูกโจรลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ ด้วยเงินจำนวนมหาศาลถึง 17 ล้านเหรียญ !! แต่แล้ว.. บุรุษที่ได้ชื่อว่าร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์โลกในเวลานั้น ยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าจะไม่มีการจ่ายค่าไถ่ให้หลานชาย ซึ่งเป็นสายเลือดแท้ ๆ ของเขาแม้แต่เหรียญเดียว !! #อ้าวเฮ้ย!!!
เนื้อหามีความน่าสนใจตรงที่ว่า คุณปู่เกตตี้ คิดอะไร ? ทำไมถึงให้คุณค่ากับเงินของเขา มากกว่าหลานชายแท้ ๆ เป็นเพราะว่าเขาไม่รักหลานชาย ? หรือเป็นเกมการต่อรอง การเจรจาเพื่อให้เสียค่าไถ่น้อยที่สุด ? หรือแท้จริงแล้วเขามีความคิดอะไรที่คนธรรมดาอย่างเราไม่สามารถหยั่งถึงได้เลย ? คุณจะเกิดคำถามขึ้นมามากมายในหัว พร้อมแอบสบถด่าคุณปู่จอมขี้เหนียวคนนี้ในใจเป็นระยะ ๆ ในช่วงขณะที่คุณรับชมหนังเรื่องนี้ แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็จะได้เรียนรู้ว่า เพราะเหตุใดทำไมเขาถึงก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกได้เช่นกัน..
จุดที่เรารู้สึกชอบในหนังเรื่องนี้.. คือหนังดำเนินเรื่องได้น่าติดตามเอามาก ๆ แม้ว่าจะโทนหนังจะไม่ได้หวือหวาด้วยภาพ หรือฉากบู๊อะไรเลยก็ตาม แต่มันน่าติดตามในบทพูดของตัวละครแทบจะทุกคนเลยทีเดียว ประกอบกับการแสดงสีหน้าของนักแสดงทุกคนที่ช่วยขับอารมณ์ของตัวละครออกมาได้อย่างดีเยี่ยม มันทำให้เราจดจ่อไปกับหนังแบบไม่อาจละสายตาได้เลยแม้แต่น้อย
สำหรับตัวละครที่เราชื่นชอบที่สุดคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก "จอห์น พอล เกตตี้" (รับบทโดย : คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์) ที่แสดงเป็นมหาเศรษฐีออกมาได้น่าเชื่อถือ น่าเกรงขาม และดูมีกลิ่นอายของความเขี้ยวลากดินสูงมาก !! จนทำให้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และเป็นสถิตินักแสดงอายุมากที่สุดที่เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงในรางวัลนี้ด้วยวัย 88 ปี !!!
และที่น่าทึ่งยิ่งไปกว่านั้น คือคุณปู่พลัมเมอร์ ใช้เวลาในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในระยะเวลาเพียงแค่ 10 วันเท่านั้น !!!! หลังจาก "ริดลีย์ สก็อตต์" ผู้กำกับ ตัดสินใจเปลี่ยนตัวนักแสดงแบบสายฟ้าแลบ หลังจาก "เควิน สเปซีย์" ผู้รับบทคุณปู่เกตตี้ก่อนหน้านี้มีข่าวอื้อฉาวเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ ทำให้มีเวลาถ่ายซ่อมก่อนหนังจะเข้าฉายเพียงแค่ 6 สัปดาห์เท่านั้น..
นอกจากบทของคุณปู่เกตตี้แล้ว ตัวละครอื่น ๆ ก็มีความโดดเด่นในแบบฉบับของตัวเองเช่นกัน ทั้ง "เกล" (รับบทโดย : มิเชลล์ วิลเลียมส์) กับบทคุณแม่ที่จนตรอกหมดหนทาง สิ้นหวังในการหาเงินค่าไถ่ลูกชาย หรือบทของ "จอห์น พอล เก็ตตี้ ที่ 3" (รับบทโดย : ชาร์ลี พลัมเมอร์) หลานชายผู้ถูกจับตัวไป ที่เล่นได้สมกับเป็นหลานชายสไตล์ฮิปปี้ ที่ภายนอกดูเป็นคนไม่ค่อยเอาไหน ดูเป็นเด็กมีปัญหา แต่ก็มีความเป็นเด็กที่ "มีของ" อยู่ในตัวไม่น้อย
จุดที่เราไม่ค่อยชอบ.. คือเรารู้สึกว่าบางตัวละครดูมีมิติที่เบาบางไป ไม่ใช่ว่าไม่ดีเพราะนักแสดง แต่เป็นเพราะบทที่ทำให้ตัวละครดูราบเรียบกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะบทของที่ปรึกษาส่วนตัวของคุณปู่เกตตี้ ผู้ที่รับการไว้วางใจให้เป็นผู้เจรจาในคดีเรียกค่าไถ่สะเทือนโลกครั้งนี้ ดีกรีอดีตสายลับ CIA อย่าง "เฟลตเชอร์ เชซ" (รับบทโดย : มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) หรือบทของ "จอห์น พอล เก็ตตี้ ที่ 3" เองก็มีช่องว่างพอจะเติมบางสิ่งให้เป็นที่น่าจดจำมากกว่านี้
อีกจุดหนึ่งคือ.. หนังไม่ได้สอนเราตรง ๆ ว่าการกระทำแต่ละอย่างของคุณปู่เกตตี้ เขามีกระบวนการคิดอย่างไร ซึ่งถ้าใครสามารถดูแล้วตกผลึกทางความคิดเอาไปต่อยอดได้เอง เลือกนำสิ่งที่ดี ๆ ไปใช้ มันก็จะเป็นผลดีกับคนนั้นๆ แต่มันก็มีความ "อันตราย" อยู่เหมือนกัน เพราะถ้าหากใครดูแล้วไม่เข้าใจ พาลจะเกลียดคนรวยไปซะดื้อ ๆ เราเกรงว่ามันอาจจะเป็นการปิดกั้นโอกาสหลาย ๆ อย่างในชีวิตของคน ๆ นึงเลยก็เป็นได้ ซึ่งในจุดนี้เราอาจจะคิดมากไปเองก็เป็นได้..
หนังค่อนข้างที่จะชักจูงให้คนดูมองว่าคุณปู่เกตตี้กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาคนดูอยู่ไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่น่าจะนำเสนอแง่มุมที่แตกต่างไปได้มากกว่านี้ ให้คนได้เข้าใจความคิดของคุณปู่มากขึ้น และนำไปปรับใช้ในชีวิตจริงไปพัฒนาตัวเองกัน..
สรุป.. โดยรวมแล้วชอบมากครับ ดูแล้วเครียดคิ้วขมวดสะใจซะจริงๆ #ใครกลัวหน้าแก่ไม่เหมาะนะบอกเลย เรียกได้ว่า ได้รับความบันเทิงในแบบเครียด ๆ ไปมากโขเลยทีเดียวกับหนังเรื่องนี้
ใครชอบหนังแนวค่อนข้างเครียด เฉือดเฉือนกันด้วยคำพูด แนะนำเลยครับเรื่องนี้ การันตีด้วยชื่อของ "ริดลีย์ สก็อตต์" ผู้กำกับสุดเก๋าวัย 80 ปี ที่มีผลงานกำกับหนังมาอย่างโชกโชน ทั้งหนังแฟรนไชส์ Aliens หรือหนังดังอย่าง Black Hawk Down (2001) และ The Martian (2015) เป็นต้น หนังเข้าฉายวันพฤหัสที่ 22 กุมภาพันธ์นี้ครับ ^^
“รสนิยมการดูหนังแต่ละคน ไม่เหมือนกัน
ถ้าคุณคิดว่าใช่ พิสูจน์ด้วยตาของคุณเองในโรงหนังดีที่สุด
แล้วอย่าลืมกลับมาคุยกันนะครับ ^^”
.
.
.
Facebook : ก็แค่คนชอบดูหนัง
ใครอยากติดตามรีวิวหนังใหม่ ๆ สามารถติดตามได้ทาง GUAWESOME.com อีกช่องทางครับ
ผมพึ่งได้มีโอกาสเขียนให้กับทางเว็บไซต์ ก่อนจะนำมาลง Pantip อีกทีฮะ
ยังไงก็ฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยจ้า~
http://goo.gl/HreaWL