[CR] [Review] All the Money in the World (2017) ฆ่า ไถ่ อำมหิต


ในโลกนี้อาชญากรรมมากมายล้วนเกิดขึ้นมาจากความโลภ อยากจะได้ทรัพย์สิน อยากจะได้ผลประโยชน์ ฯลฯ และเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้มา คนที่มีความโลภก็จะต้องทำการลักขโมย ปล้น จี้ หรือรวมไปถึงการคอรัปชั่นฉ้อโกง ซึ่งผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไรเราคงเห็นกันตามหน้าหนังสือพิมพ์กันในทุกวันนี้ มีทั้งติดคุกชดใช้กรรมบ้าง รอดพ้นไปบ้าง แต่อย่างไรก็ตามกรรมต้องตามทันเข้าสักวัน การลักพาตัวเพื่อเรียกค่าไถ่ก็เช่นกัน ซึ่งกลุ่มเป้าหมายที่จะถูกลักพาตัวพรากไปจากผู้ปกครองผู้มีฐานะก็ล้วนเป็นเป้าหมายที่อ่อนแอ ไม่ว่าจะเป็น เด็ก ผู้หญิง คนชรา หรืออย่างในหนังเรื่องนี้ที่ผู้ที่ถูกเรียกค่าไถ่ซึ่งเป็นถึงสายเลือดของมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยจากธุรกิจน้ำมันของเครือ เก็ตตี้ออยล์ ก็ตกเป็นเหยื่ออันโอชะของพวกโจรเหมือนกัน ภาพยนตร์อาชญากรรมเรื่องนี้สร้างมาจากเหตุการณ์จริงเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนในคดีการลักพาตัวเรียกค่าไถ่ทายาทของมหาเศรษฐีเจ. พอล เก็ตตี้อันลือลั่นไปทั่วโลก เป็นผลงานกำกับของผู้กำกับชั้นครูอย่าง ริดลีย์ สก็อตต์ ที่มาคราวนี้สลัดภาพเจ้าพ่อหนังไซไฟมากำกับหนังทริลเลอร์ชั้นเยี่ยม นำแสดงโดยดาราสาวมากบทบาท มิเชล วิลเลี่ยมส์ ร่วมด้วย มาร์ค วอห์ลเบิร์ก ,โรแมง ดูริส ,ชาร์ลี พลัมเมอร์ และดาราระดับตำนาน คริสโตเฟอร์  พลัมเมอร์

หนังบอกเล่าเรื่องราวของเหตุอาชญากรรมสะเทือนขวัญอันลือลั่นไปทั่วโลก นั่นคือการที่มีโจรเรียกค่าไถ่ได้มาลักพาตัวหลานชายสายเลือดโดยตรง ( ชาร์ลี พลัมเมอร์ ) ของมหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจน้ำมันเก็ตตี้ออยล์ที่ล่ำลือกันว่าเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนั้น เจ. พอล เก็ตตี้ ( คริส พลัมเมอร์ ) ที่กลางกรุงโรมในอิตาลี ทำให้เกล ( วิลเลี่ยมส์ ) อดีตลูกสะใภ้และเป็นแม่ของเด็กต้องร้อนรนรีบไปพบกับ พอล เพื่อขอให้คุณปู่มหาเศรษฐีช่วยจ่ายเงินค่าไถ่กว่า 17 ล้านดอลล่าร์ให้กับโจร ซึ่งในระหว่างที่เธอรอนั้น ไม่ทันที่พอลจะตอบคำเรียกร้องของเธอ ปรากฏว่าพอลไปตอบคำถามให้กับสื่อที่มาทำข่าว คำตอบของพอล ที่บอกต่อสื่อมวลชน ก็คือ ไม่ ไม่จ่ายแม้แต่แดงเดียว ทำให้เกลรู้สึกสิ้นหวังอย่างยิ่งเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกัน แม้ว่าปากของพอลจะพูดปฏิเสธว่าไม่จ่าย แต่เขาก็เรียกตัวที่ปรึกษาของเขาที่เป็นอดีตซีไอเอผู้เชี่ยวชาญในการเจรจา เชส เฟลทเชอร์ ( วอห์ลเบิร์ก ) มาช่วยในการเจรจากับโจร เพื่อนำตัวพอลที่ 3 กลับมา แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปความอดทนของโจรเริ่มหมด ในที่สุดความรุนแรงก็ค่อยๆ เกิดขึ้นต่อพอลที่ 3 นอกจากนั้นระหว่างที่เกลและเชสเจรจากับพวกคนร้ายความจริงเกี่ยวกับพอล เก็ตตี้ก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็นถึงความชั่วร้ายและเขี้ยวลากดินขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเกล แม่ของเด็กจึงต้องพยายามหาหนทางเพื่อนำตัวพอลที่ 3 กลับมาให้ได้ก่อนที่จะสายเกินไป

การดำเนินเรื่องค่อนข้างที่จะตื่นเต้นและทำให้เราลุ้นไปได้ตลอดเรื่องเหมือนกัน นอกจากนั้นหนังยังจะพาเราไปดูบรรยากาศในเมืองอิตาลีไม่ว่าจะเป็นกรุงโรมที่เป็นเมืองหลวง หรือชนบทในแคว้นคาลาเบรียที่ค่อนข้างเงียบสงบและสวยงาม ตัดกับบรรยากาศความเคร่งเครียดในหนังได้เป็นอย่างดี ส่วนในบรรยากาศการพบกันของตัวละคร ซึ่งทำให้เราได้ซึมซับกับบรรยากาศความกดดันอึดอัด ไม่ว่าจะเป็นการพบกันของลูกสะใภ้และพ่อสามีในสถานที่ที่พักอาศัยของมหาเศรษฐี เจ. พอล เก็ตตี้ ที่ดูแล้วก็รู้สึกน่ากลัวแล้ว ยังจะพบกับอารมณ์บทสนทนาที่ชวนเครียดไปด้วย ถือว่าเป็นความยอดเยี่ยมของผู้กำกับระดับตำนาน ที่สามารถดึงเราให้มีอารมณ์ร่วมและสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของตัวละครได้เป็นอย่างดี ราวกับว่าเราอยู่ในเหตุการณ์นั้นเช่นกัน แม้ว่าจะพูดว่าหนังเป็นแนวเรียกค่าไถ่ เหมือนกับหนังหลายๆ เรื่อง ยกตัวอย่างเช่น Man on Fire ที่นำแสดงโดย แดนเซล วอร์ชิงตัน แต่หนังกลับไม่ได้มีความเหมือนกัน ซึ่งเรื่อง Man on Fire จะมีฉากบู๊ไล่ล่าล้างแค้น แต่ขณะที่เรื่องนี้แทบจะไม่มีฉากบู๊ให้เราเห็นเลย แต่จะโดดเด่นในเรื่องบรรยากาศและบทสนทนาที่ทำให้เราต้องคอยติดตามตลอด อีกทั้งหนังมีการหักมุมไปมาทำให้เราได้รู้สึกลุ้นระทึกตาม เรียกได้ว่าหากเข้าห้องน้ำเมื่อใดก็อาจทำให้พลาดตอนสำคัญได้ อารมณ์จะคล้ายๆ กับ Bridge of Spies ของสปีลเบิร์กเสียมากกว่า นอกจากนั้นสิ่งที่หนังทำได้ดีมากๆ ก็คงจะเป็นในเรื่องของความสมจริงที่ทำให้เรารู้สึกว่าได้อยู่ในยุค 70 จริงๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแต่งกาย อาคารบ้านเรือน รถราต่างๆ ดูแล้วเนียนตามาก รวมไปถึงคฤหาสน์ของเจ. พอล เก็ตตี้ ที่แลดูอลังการงานสร้างสมกับฐานะมหาเศรษฐี ไม่ว่าจะเป็นบรรดาวัตถุ โบราณภาพวาด แต่ก็จะมีมุมที่ตรงกันข้ามกับความหรูหรานั่นก็คือการที่ไฟฟ้าที่มืดมิด มีเพียงแสงสลัวเล็กน้อยไว้เพียงพอแค่ดูกระดาษราคาน้ำมันในตลาดโลกซึ่งเป็นการบ่งบอกได้ถึงความตระหนี่และเขี้ยวของเจ้าของคฤหาสน์ได้เป็นอย่างดี


มาพูดถึงบทบาทการแสดงของตัวละครในหนังกันครับ เริ่มจากบทบาทของเกล ลูกสะใภ้ของพอล เก็ตตี้ เรื่องนี้วิลเลี่ยมส์เล่นได้ดี เธอเล่นเป็นผู้หญิงที่มีความแข็งแกร่งต้องคอยเลี้ยงดูลูกๆ เพียงคนเดียว เธอต้องแบกรับปัญหาต่างๆ รวมไปถึงเรื่องของการที่ลูกชายคนโตของเธอถูกลักพาตัวไปด้วย เธอต้องทำทุกวิถีทาง ที่แม้เธอเองจะดูร้อนรน แต่ในขณะเดียวกันเธอก็มีความเยือกเย็นไหวพริบในการแก้ปัญหาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ รวมไปถึงการต่อกรกับพ่อผัวอย่างพอล เก็ตตี้ มิเชล วิลเลี่ยมส์ก็สามารถแสดงได้ดีชนิดที่เรียกได้ว่ารัศมีของพลัมเมอร์ไม่ได้ข่มแต่อย่างใด ถือว่าเป็นอีกบทบาทหนึ่งของวิลเลี่ยมส์ที่เข้าถึงบทบาทได้ดี สมแล้วที่ได้รับชื่อเข้าชิงดารานำหญิงยอดเยี่ยมในรางวัลลูกโลกทองคำ ในส่วนไฮไลท์ของเรา คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ ในบทของเจ. พอล เก็ตตี้ผู้ที่เคยได้รับยกย่องว่าเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิต ที่แต่เดิมบทนี้ถูกวางตัวไว้กับเควิน สเปซี่ย์ซึ่งต้องถูกเปลี่ยนตัวกลางคันในระหว่างถ่ายทำ และถึงแม้จะเปลี่ยนมือเป็นพลัมเมอร์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เรื่องเสียอรรถรสต่อย่างใด ตรงกันข้ามบทนี้กลับส่งให้ตัวพอล เก็ตตี้มีมิติและความสมจริงมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องวัยที่ใกล้เคียงกัน อีกทั้งบุคลิกลักษณะของพลัมเมอร์ก็ยังส่งให้กับบทนี้ด้วย เรื่องนี้เก็ตตี้ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเขาทำอย่างไรถึงจะรวย แต่เรื่องนี้แสดงให้เราเห็นได้ว่าคนรวยเขาใช้ชีวิตอย่างไร พลัมเมอร์แสดงให้เห็นถึงชายชราที่มีความขี้เหนียวและเขี้ยวลากดินสุดๆ ถึงขั้นว่าแม้แต่จะต้องจ่ายค่าไถ่ก็จะต้องหาช่องทางนำไปหักภาษีให้ได้ เรียกได้ว่าไม่สนใจใยดีอะไรกับสายเลือดตัวเอง รวมไปถึงการที่ใครก็ตามที่จะต้องการอะไรจากเขา ก็อย่าหวังว่าจะได้มาฟรีๆ ทุกอย่างต้องมีการแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งเขาก็จะต้องเป็นคนได้เปรียบเสมอ และแม้จะเสียก็จะต้องเสียให้น้อยที่สุด อีกทั้งยังแสดงให้เราเห็นอีกว่าชายแก่คนนี้แม้ว่าจะสายเลือดเดียวกัน แต่สายเลือดก็ไม่ได้สำคัญกว่าเงินทองและทรัพย์สินของเขา ซึ่งต่อให้มีมากเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ และสุดท้ายต่อให้เขามีทรัพย์สินมากมายเพียงใดแต่ก็ต้องอยู่อย่างเงียบเหงาไร้ความรักความอบอุ่นใดๆ ต้องทนทุกข์กับความว้าเหว่และไม่เคยไว้ใจใครสักคน ส่วนในบทของ พอลที่3 ถือว่าชาร์ลี พลัมเมอร์แสดงได้ดีพอสมควร เขาแสดงให้เห็นถึงเด็กหนุ่มที่ใช้ชีวิตไปวันๆ และไม่ได้สนใจใยดีโลกก่อนที่จะมาถูกลักพาตัวไป ซึ่งนั่นมาจากการที่ครอบครัวขาดความอบอุ่น ยิ่งปรากฏความจริงอีกว่าปู่ของเขาไม่ได้รักและห่วงเขาเท่าไหร่นักก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกยิ่งดำดิ่งลงไป รวมไปถึงอารมณ์หวาดกลัวที่จะถูกโจรทำอะไร แต่เขาเองก็ใจดีสู้เสือ กล้าพูดคุยกับโจร ถือว่าเล่นได้เข้าถึงบทบาททีเดียวสำหรับชาร์ลี พลัมเมอร์ อีกตัวนึงที่ต้องพูดถึงก็คือบทของซินควอนต้า โจรลักพาตัวที่แสดงโดยดูริส ที่เราดูในตอนแรกว่าไอ้นี่ต้องชั่วร้ายและถ่อยแน่นอน แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อหนังดำเนินไปเรื่อยๆ ความเป็นคน และความดีของโจรคนนี้ค่อยๆ ปรากฏ รวมไปถึงความจริงใจ และสัจจะที่มันยังมีในหมู่โจรอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งเขายังเป็นคนเดียวในท่ามกลางคนเลวที่แลดูมีมนุษยธรรมสุด และคนสุดท้ายที่ต้องพูดถึงก็คือ เชส เฟลทเชอร์ที่ปรึกษาของพอล เก็ตตี้ แสดงโดยวอห์ลเบิร์ก เรื่องนี้วอห์ลเบิร์กเล่นเป็นที่ปรึกษาที่มีเบื้องหลังเป็นอดีตซีไอเอ เชสเป็นนักเจรจาชั้นเยี่ยม จุดเด่นของเขาคือการเจรจาจนได้มาซึ่งผลประโยชน์โดยเสียเงินน้อยที่สุด วอห์ลเบิร์กก็สามารถทำให้เราเชื่อได้ว่า เออ เก่งจริงๆ โน้มน้าวคนได้อย่างยอดเยี่ยม แต่น่าเสียดายที่เมื่อหนังเริ่มดำเนินไปเรื่อยๆ บทบาทของวอห์ลเบิร์กกลับค่อยๆ ถูกคนอื่นแย่งซีนไปอย่างน่าเสียดาย ดูไม่เด่นเท่าไร

สำหรับเรื่องนี้ ให้โฟกัสที่บทบาทการแสดงของพลัมเมอร์ให้ดีครับ เล่นดีสมบทบาทมากๆ สมแล้วที่ได้เข้าชิงออสการ์ในปีนี้ ผมว่าสนุกและลุ้นระทึกได้พอสมควรเลยทีเดียว แถมยังมีการหักมุมให้ดูอีกต่างหาก สมแล้วที่มาจากผลงานจากผู้กำกับในตำนาน ริดลีย์ สก็อตต์ ผมให้ 8 เต็ม 10 คะแนน จะหักตรงที่ในตอนต้นเรื่องราวของเจ. พอล เก็ตตี้ร่ำรวยอย่างไรมันรวบรัดไปนิดนึงทำให้เราอาจจะไม่รู้ถึงความต่อสู้ยากลำบากขนาดไหนถึงออกมาเป็นเก็ตตี้ที่เขี้ยวสุดๆ ได้ ต้องมารับรู้เอาจากบทสนทนาในระหว่างเรื่องเอา รวมไปถึงที่หนังมีระยะเวลายาวนานกว่าสองชั่วโมงทำให้หนังมีช่วงน่าเบื่อและยืดเยื้อบ้าง และอีกสิ่งหนึ่งที่น่าเสียดายคือ บทของวอห์ลเบิร์กที่อุตส่าห์เอามาเล่นทั้งทีกลับมีอิทธิพลในหนังน้อยไปหน่อย แต่อย่างไรก็ตามครับหนังได้ให้แง่มุมแก่เราหลายๆ อย่าง เช่น ทรัพย์สินเงินทองไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกในความเป็นคนของตัวคุณ ตรงกันข้ามแม้จะเป็นคนยากจนก็ตามกลับกลายเป็นคนที่มีความเป็นคนมากกว่ามหาเศรษฐี และอาจจะมีความสุขมากกว่าคนรวยอีกต่างหาก รวมไปถึง เงินนั้นอาจจะซื้ออะไรได้หลายๆ อย่างแต่ในบางครั้งการที่คนเราไม่เคยพอกับการหาเงินสักที ทำให้เงินนั้นก็ไม่สามารถช่วยเติมเต็มความสุขให้กับเรา และสุดท้ายเราเองก็ต้องอยู่กับความทุกข์แถมว้าเหว่เพราะมีเงินมากเกินไปและไม่เคยไว้ใจใครสักคน แนะนำครับว่าต้องลองไปดู หนังดีใช้ได้เลยทีเดียว

การดูหนังก็เปรียบเสมือนกับการเก็บผลไม้ที่อยู่เต็มต้น ที่บางครั้งเราก็อาจจะเก็บผลไม้ได้ไม่หมด แต่ก็เลือกเก็บมาเฉพาะที่เราเก็บได้หรือเลือกเก็บในผลที่เราชื่นชอบ เช่นเดียวกันกับข้อคิดในหนังครับ เรื่องเดียวกันคนดูอาจเก็บข้อคิดจากหนังได้ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ใครเก็บอะไรได้บ้างก็สามารถร่วมแชร์ได้ที่เพจผมครับ หรือถ้าสนใจดูรีวิวหนังเรื่องอื่นเพิ่มเติม ให้คำติชมแนะนำ หรือถ้าอยากให้รีวิวหนังเรื่องไหน มาพูดคุยกันได้ที่ https://www.facebook.com/cineman95/ ขอให้สนุกกับการดูหนัง ขอบคุณครับ
ชื่อสินค้า:   All the money in the world
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่