Jurassic World: Fallen Kingdom (J.A. Bayona, 2018) คะแนน C+
By Form Corleone
"แม้ว่าภาพยนตร์จะไม่ได้พัฒนาตัวเองให้แตกต่างไปจากเดิมมากนัก แต่ก็ยังคงดูได้เพลินๆไม่ต้องคิดอะไรมาก" ถ้าย้อนเวลาไปเป็นเด็กอายุสัก 10 ขวบ เราเชื่อเลยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่เราชื่นชอบที่สุดเรื่องหนึ่ง แต่เพราะกาลเวลาทำให้เราผ่านการรับชมภาพยนตร์ไดโนเสาร์มามากมายเหลือเกินตั้งแต่ 'Jurassic Park' ทำให้เรามีความคาดหวังที่จะได้รับชมอะไรใหม่ๆ หรือได้เห็นพัฒนาการของเส้นเรื่องที่ดีมากกว่าที่เป็นอยู่ แม้ว่า 'Jurassic World: Fallen Kingdom' ของผู้กำกับ 'เจ. เอ. บาโยน่า' จะมีฉากดราม่าหรืออารมณ์ร่วมระหว่างไดโนเสาร์กับมนุษย์ที่น่าสนใจ และถ่ายทอดอารมณ์ดราม่าเหล่านี้ได้ค่อนข้างดี แต่ภาพรวมทั้งหมดของ 'Jurassic World' ภาคนี้กลับหนีไม่พ้นรูปแบบที่จำเจ ซ้ำซาก และเป็นเส้นตรง เดาทางได้ ทั้งๆที่ ตัวภาพยนตร์มีตัวละครที่น่าสนใจเพิ่มเข้ามา
สิ่งที่เราคาดหวังที่จะได้รับจากภาพยนตร์ชุด 'Jurassic' คือการได้เห็นบทภาพยนตร์ที่แข็งแรงมากกว่าการได้เห็นฉากไดโนเสาร์สู้กัน (มันมีให้เห็นบ่อยแล้ว) ด้วยพล็อตเรื่องเราคิดว่าตัวงานมีประเด็นที่น่าสนใจและน่าตั้งคำถามต่อ เช่น การที่มนุษย์พยายามสร้างสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปแล้วนั้นส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์เองอย่างไร มากกว่าการตื่นเต้นที่ได้ดูโชว์ไดโนเสาร์ การที่มนุษย์พยายามยกตัวเองเป็นพระเจ้าโดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการคืนชีพหรือผลิตสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ ได้สร้างหายนะหรือผลประโยชน์อะไรต่อโลกมนุษย์บ้าง มากกว่าการต่อสู้กันระหว่างสายพันธุ์ปกติกับสายพันธุ์ใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม 'Jurassic World' ก็น่าจะยืนยันได้ด้วยตัวมันเอง ว่ามนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ทำลายสิ่งมีชีวิตด้วยกันเองเสมอ และมนุษย์ที่ขาดจิตสำนึกส่วนรวม จะนำพามาซึ่งความวอดวายในท้ายที่สุด และแน่นอนว่า นักวิทยาศาสตร์ที่ไร้สติเมื่อจับมือกับมหาเศรษฐีที่บ้าเงิน จะนำพาโลกไปสู่จุดจบ
สิ่งที่เราไม่ชอบในภาคนี้คือตัวหนังค่อนข้างมีเหตุการณ์ชวนบังเอิญมากจนเกินไป ความสมเหตุสมผลต่างๆในเรื่องถูกโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี ประกอบด้วยบทภาพยนตร์ที่อ่อนแรง ยิ่งไปกว่านั้นภาคนี้ยังจงใจพยายามใช้ฉากให้ละม้ายคล้าย 'Jurassic Park' ซึ่งบางมุมก็ทำได้ดี แต่บางมุมกลับทำให้ตัวงานดูน่าเบื่อ รวมไปถึงตัวละครแวดล้อมที่ไร้สมองทำได้เพียงรอคอยการเป็นอาหารให้ไดโนเสาร์ แม้กระทั่งตัวละครหลักก็ดูเล่นท่าง่ายกันทุกตัว นอกจากนี้ ตัวภาพยนตร์ยังขาดสมดุลในเรื่องสเกลอย่างชัดเจน จากเกาะอิสลา นูบลาร์ ย้ายไปอยู่ในคฤหาสน์ งานฉากจึงถูกลดสเกลลงมาอย่างเห็นได้ชัด ส่วนข้อดีคือการเล่นฉากจั้มสแกร์ยังคงทำงานได้มีประสิทธิภาพ การเล่นแสงเงาของไดโนเสาร์ต่ออารมณ์หวาดผวายังคงส่งมอบได้อย่างไม่มีปัญหาหรือติดขัดอะไร ซาวด์ประกอบใช้ได้ตรงตามสถานการณ์ไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษ ฉากต่อสู้ระหว่างไดโนเสาร์ทำได้แนบเนียนตามยุคสมัย นักแสดงที่เราประทับใจที่สุดในเรื่องคือ 'อิซาเบลล่า เซอร์มอน' ในบท เด็กสาวตัวน้อยที่มีแววตาน่ารัก น่าชัง น่าเอ็นดูสุดๆ
ท้ายสุด 'Jurassic World: Fallen Kingdom' คงจะเป็นภาพยนตร์ที่ดูสนุกๆแบบไม่ต้องคิดอะไรมากเรื่องหนึ่ง มีบทสรุปที่คาดเดาได้ สามารถดูได้เพลินๆตลอดทั้งเรื่อง มีฉากหลบๆซ่อนๆให้เราได้หวาดเสียวอยู่เกือบครึ่งค่อนเรื่อง และสำหรับใครที่อยากรับชมไดโนเสาร์หลากหลายสายพันธุ์ งานนี้น่าจะส่งมอบไดโนเสาร์อย่างล้นทะลักกันเลยทีเดียว ที่พิเศษกว่าภาคอื่นๆ คงจะเป็นซีนอารมณ์ระหว่างมนุษย์กับไดโนเสาร์ที่เริ่มมีชีวิตจิตใจมากกว่าสิ่งมีชีวิตดุร้ายกระหายเลือดอย่างเดียว ส่วนอื่นๆคือเหมือนเดิมชนิดก๊อปปี้+วาง ดังนั้นแล้ว ถ้าใครอยากได้รับอะไรที่แปลกหูแปลกตาหรือประเทืองปัญญา คงจะต้องไปดูเรื่องอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่าง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: Jurassic World: Fallen Kingdom (J.A. Bayona, 2018) เขียนโดย Form Corleone
By Form Corleone
"แม้ว่าภาพยนตร์จะไม่ได้พัฒนาตัวเองให้แตกต่างไปจากเดิมมากนัก แต่ก็ยังคงดูได้เพลินๆไม่ต้องคิดอะไรมาก" ถ้าย้อนเวลาไปเป็นเด็กอายุสัก 10 ขวบ เราเชื่อเลยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่เราชื่นชอบที่สุดเรื่องหนึ่ง แต่เพราะกาลเวลาทำให้เราผ่านการรับชมภาพยนตร์ไดโนเสาร์มามากมายเหลือเกินตั้งแต่ 'Jurassic Park' ทำให้เรามีความคาดหวังที่จะได้รับชมอะไรใหม่ๆ หรือได้เห็นพัฒนาการของเส้นเรื่องที่ดีมากกว่าที่เป็นอยู่ แม้ว่า 'Jurassic World: Fallen Kingdom' ของผู้กำกับ 'เจ. เอ. บาโยน่า' จะมีฉากดราม่าหรืออารมณ์ร่วมระหว่างไดโนเสาร์กับมนุษย์ที่น่าสนใจ และถ่ายทอดอารมณ์ดราม่าเหล่านี้ได้ค่อนข้างดี แต่ภาพรวมทั้งหมดของ 'Jurassic World' ภาคนี้กลับหนีไม่พ้นรูปแบบที่จำเจ ซ้ำซาก และเป็นเส้นตรง เดาทางได้ ทั้งๆที่ ตัวภาพยนตร์มีตัวละครที่น่าสนใจเพิ่มเข้ามา
สิ่งที่เราคาดหวังที่จะได้รับจากภาพยนตร์ชุด 'Jurassic' คือการได้เห็นบทภาพยนตร์ที่แข็งแรงมากกว่าการได้เห็นฉากไดโนเสาร์สู้กัน (มันมีให้เห็นบ่อยแล้ว) ด้วยพล็อตเรื่องเราคิดว่าตัวงานมีประเด็นที่น่าสนใจและน่าตั้งคำถามต่อ เช่น การที่มนุษย์พยายามสร้างสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปแล้วนั้นส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์เองอย่างไร มากกว่าการตื่นเต้นที่ได้ดูโชว์ไดโนเสาร์ การที่มนุษย์พยายามยกตัวเองเป็นพระเจ้าโดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการคืนชีพหรือผลิตสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ ได้สร้างหายนะหรือผลประโยชน์อะไรต่อโลกมนุษย์บ้าง มากกว่าการต่อสู้กันระหว่างสายพันธุ์ปกติกับสายพันธุ์ใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม 'Jurassic World' ก็น่าจะยืนยันได้ด้วยตัวมันเอง ว่ามนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ทำลายสิ่งมีชีวิตด้วยกันเองเสมอ และมนุษย์ที่ขาดจิตสำนึกส่วนรวม จะนำพามาซึ่งความวอดวายในท้ายที่สุด และแน่นอนว่า นักวิทยาศาสตร์ที่ไร้สติเมื่อจับมือกับมหาเศรษฐีที่บ้าเงิน จะนำพาโลกไปสู่จุดจบ
สิ่งที่เราไม่ชอบในภาคนี้คือตัวหนังค่อนข้างมีเหตุการณ์ชวนบังเอิญมากจนเกินไป ความสมเหตุสมผลต่างๆในเรื่องถูกโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี ประกอบด้วยบทภาพยนตร์ที่อ่อนแรง ยิ่งไปกว่านั้นภาคนี้ยังจงใจพยายามใช้ฉากให้ละม้ายคล้าย 'Jurassic Park' ซึ่งบางมุมก็ทำได้ดี แต่บางมุมกลับทำให้ตัวงานดูน่าเบื่อ รวมไปถึงตัวละครแวดล้อมที่ไร้สมองทำได้เพียงรอคอยการเป็นอาหารให้ไดโนเสาร์ แม้กระทั่งตัวละครหลักก็ดูเล่นท่าง่ายกันทุกตัว นอกจากนี้ ตัวภาพยนตร์ยังขาดสมดุลในเรื่องสเกลอย่างชัดเจน จากเกาะอิสลา นูบลาร์ ย้ายไปอยู่ในคฤหาสน์ งานฉากจึงถูกลดสเกลลงมาอย่างเห็นได้ชัด ส่วนข้อดีคือการเล่นฉากจั้มสแกร์ยังคงทำงานได้มีประสิทธิภาพ การเล่นแสงเงาของไดโนเสาร์ต่ออารมณ์หวาดผวายังคงส่งมอบได้อย่างไม่มีปัญหาหรือติดขัดอะไร ซาวด์ประกอบใช้ได้ตรงตามสถานการณ์ไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษ ฉากต่อสู้ระหว่างไดโนเสาร์ทำได้แนบเนียนตามยุคสมัย นักแสดงที่เราประทับใจที่สุดในเรื่องคือ 'อิซาเบลล่า เซอร์มอน' ในบท เด็กสาวตัวน้อยที่มีแววตาน่ารัก น่าชัง น่าเอ็นดูสุดๆ
ท้ายสุด 'Jurassic World: Fallen Kingdom' คงจะเป็นภาพยนตร์ที่ดูสนุกๆแบบไม่ต้องคิดอะไรมากเรื่องหนึ่ง มีบทสรุปที่คาดเดาได้ สามารถดูได้เพลินๆตลอดทั้งเรื่อง มีฉากหลบๆซ่อนๆให้เราได้หวาดเสียวอยู่เกือบครึ่งค่อนเรื่อง และสำหรับใครที่อยากรับชมไดโนเสาร์หลากหลายสายพันธุ์ งานนี้น่าจะส่งมอบไดโนเสาร์อย่างล้นทะลักกันเลยทีเดียว ที่พิเศษกว่าภาคอื่นๆ คงจะเป็นซีนอารมณ์ระหว่างมนุษย์กับไดโนเสาร์ที่เริ่มมีชีวิตจิตใจมากกว่าสิ่งมีชีวิตดุร้ายกระหายเลือดอย่างเดียว ส่วนอื่นๆคือเหมือนเดิมชนิดก๊อปปี้+วาง ดังนั้นแล้ว ถ้าใครอยากได้รับอะไรที่แปลกหูแปลกตาหรือประเทืองปัญญา คงจะต้องไปดูเรื่องอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่าง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/