ความจำเป็น
“ เพทาย “
แต่เดิมนั้นถนนที่ผมเดินอยู่นี้ มาสิ้นสุดลงที่ริมคลองสามเสน เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ก็มีการสร้างสะพานข้ามคลองไปตัดกับถนนนครไชยศรี แล้วก็ขยายซอยเล็ก ๆ ออกไปเป็นถนน จนไปจรดกับถนนอำนวยสงคราม ย่านบางกระบือ แต่ต่อไปอีกไม่ได้เพราะเป็นซอยเล็กที่ไปสุดลง ที่คลองบางกระบือ ข้ามไปก็เป็นกองพันทหารม้าที่เคยมีชื่อเสียงในอดีต
เมื่อผมมีกิจธุระที่จะต้องไปยังที่ทำการไปรษณีย์ดุสิต ผมก็ต้องเดินข้ามสะพานนี้เป็นประจำ วันนี้ก็เช่นเดียวกัน แต่พอข้ามสะพานไปได้ไม่เท่าไร ก็มีเด็กชายคนหนึ่งหน้าตาเรียบร้อย ตัดผมทรงนักเรียนโรงเรียนรัฐบาล เดินสวนมาแล้วบอกว่า
“ ลุงขอตังห้าบาท “
ผมเอามือล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง ด้วยความเคยชินกับการทำทานแบบนี้ แต่อดถามไม่ได้ว่า
“ จะเอาไปทำอะไร “
เขาตอบว่า
“ เอาไปซื้อข้าวกิน “
ผมชักมือออกจากกระเป๋าปรากฎว่ามีเหรียญห้าบาทหนึ่งอัน กับเหรียญบาท เหรียญสองสลึง และเหรียญสลึง ที่กระเป๋ารถเมล์ทอนมาให้หลายอัน แต่คงจะไม่ถึงห้าบาท ผมจึงหยิบเหรียญห้าบาทขึ้น แล้วเทเหรียญที่เหลือทั้งหมด ลงในฝ่ามือของเด็กชายผู้นั้น ที่แบรออยู่ เขาก้มหน้าลงมองเศษเหรียญในมือ แล้วเงยหน้ามองตาผม ทักท้วงว่า
“ ลุง ผมขอห้าบาทนะ “
ผมชักจะสับสนว่าเขาจะเอาอย่างไรกับผม แต่ใจยังคิดจะบริจาคอยู่ จึงบอกว่า
“ งั้นเอาห้าบาทไป เศษนั้นคืนมา ลุงจะเอาไปขึ้นรถเมล์ “
แล้วผมก็ส่งเหรียญห้าบาทให้เขา ซึ่งเขาก็เทเศษสตางค์คืนใส่มือผม แล้วก็เดินสวนทางไป โดยไม่ได้ไหว้แบบคนขอทาน และไม่มีคำขอบคุณ
ผมเดินต่อไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่หายงง เขาอาจคิดว่าเป็นหน้าที่ของผม ที่มีมากกว่าจึงควรจะเจือจานหรือแบ่งปันให้เขาบ้าง ตามหลัก…เอ…หลักอะไรก็ไม่รู้ ผมหย่อนเศษเหรียญลงกระเป๋าตามเดิม แต่อดหันไปมองดูเขาไม่ได้ ปรากฎว่าเขาเดินลงไปในซอกข้างสะพานที่ผมผ่านมานั้นเอง เขาคงจะอาศัยอยู่ใต้สะพาน กับครอบครัวของเขา ผมภาวนาให้เขามีโอกาสเรียนให้สำเร็จ…เอ้อ..สำเร็จในระดับหนึ่ง และเป็นคนดี…… อย่างน้อยก็ดีกว่านี้
พระท่านสอนว่า ทานเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ คือสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการบำเพ็ญบุญ ซึ่งมีอยู่สามประการ คือ ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน ศีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
ผมพยายามที่จะบำเพ็ญบุญ แต่ก็ยังไม่สามารถเจริญภาวนา หรือทำสมาธิได้ เพราะศีลห้าก็ยังไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง จึงทำได้แค่การบริจาคทานเท่านั้น
ทุกเย็นเมื่อผมกลับบ้าน ผมจะเอาเศษเหรียญ ที่เหลือจากการขึ้นรถโดยสารประจำทาง ใส่ขันเล็ก ๆ ไว้ วันรุ่งขึ้นเมื่อออกจากบ้าน ผมก็จะเทเหรียญเหล่านั้นใส่กระเป๋ากางเกง แต่ไม่พยายามใช้ เอาไว้ให้ขอทานที่พบเห็นทุกคน จนหมดเหรียญนั้น แล้วก็สะสมจากเงินทอน ค่ารถเมล์เอาใหม่
บางครั้งเมื่อขึ้นสะพานลอยข้ามถนนหลายครั้ง อาจมีคนขอทานมากกว่าจำนวนเหรียญที่ผมมีอยู่ในกระเป๋า ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้ให้มากมายอะไร เพียงรายละสองสามบาทเท่านั้น แต่ผมจะให้ทุกคนไม่ว่าจะมาในลักษณะไหน จะเป็นวนิพก บรรเลงเครื่องดนตรีประเภทดีดสีตีเป่าและกด หรือเป็นคนพิการชนิดไหน หรือเป็นผู้หญิงที่มีลูกเล็ก ๆ อุ้มบ้างปล่อยให้คลานเล่นบ้าง และแม้แต่ผู้ที่มีลักษณะเหมือนบุคคลธรรมดา แถมแต่งตัวดีอีกต่างหาก
ประเภทหลังนี้มักจะเจอโดยไม่รู้ตัว บางวันผมเดินอยู่ในซอย มีชายผู้หนึ่งเดินเข้ามายิ้มกับผม ถามว่าสบายดีหรือ ผมพยายามนึกอย่างรวดเร็วว่า เขาเป็นเพื่อนกลุ่มไหนของผม เพราะผมมีเพื่อนหลายกลุ่ม หรือจะเป็นอดีตผู้น้อยที่เคยอยู่ในหน่วยเดียวกันด้วยกันมา ก่อนที่ผมจะเกษียณอายุ แต่ยังไม่ทันจะนึกออกเขาก็มาถึงตัว บอกว่าลุงขอตังค์กินข้าวสักสิบบาท ผมก็เลยผสมว่าเอาไปเลย แล้วก็ควักเศษเหรียญในกระเป๋ากางเกงให้ไปแต่โดยดี รายนี้ต่อมาก็สนิทกันมากขึ้น พอเห็นหน้าแต่ไกลผมก็จะจำได้ และรีบล้วงกระเป๋าเตรียมไว้ให้เขา ก่อนที่จะขอ
วันหนึ่งผมนั่งรอเรียกตรวจโรคที่โรงพยาบาล ผมชอบพกหนังสือประเภทการ์ตูนเล่มเล็ก ๆ ไปอ่านฆ่าเวลา จึงนั่งแถวหลังสุด ก็มีชายคนหนึ่งมากระซิบเบา ๆ ขอเงินสิบบาท ผมเงยหน้าขึ้นดูเห็นว่ามีลักษณะเช่นเดียวกับคนไข้ทั่วไป ผมก็ไม่ถามส่งเงินให้ทันที ถ้าเขาไม่มีความจำเป็นเขาคงไม่มาขอผมหรอก
ส่วนอีกรายหนึ่ง ผมนั่งเล่นอยู่ที่ริมเขื่อน ใกล้ท่าเรือด่วนเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า ในยามเย็นแดดร่มลมโชย พร้อมด้วยเบียร์กระป๋อง หมูปิ้ง กำลังชมภาพที่เคลื่อนไหวอยู่ในลำน้ำเจ้าพระยา อย่างเพลิดเพลินอารมณ์ ก็ปรากฎว่ามีชายรูปร่างหน้าตาตลอดจนเครื่องนุ่งห่ม ที่ดู ขมุกขมอมเต็มที เข้ามาหาพร้อมกับบอกด้วยเสียงห้วน ๆ ว่า ลุงขอตังสิบบาท
ผมมองหน้าเขาแล้วก็คิดเพียงเสี้ยววินาทีเดียว รีบควักส่งให้เขาไปด้วยความเต็มใจ เพราะถ้าเขาจำเป็นมากกว่านี้ เขาคงคว้ากระเป๋าหิ้วใบเล็กที่วางข้างตัวผมไปแล้ว และผมคงไม่มีปัญญาที่จะวิ่งตามไปเอาคืนเป็นแน่
อีกรายหนึ่งมาด้วยกันสองคน ท่าทางและเครื่องแต่งตัวแสดงความเป็นคนชนบท สะพายถุงย่ามคนละห่อ พอเดินสวนกันก็เข้ามาถามทางที่จะไปรังสิต ผมก็รู้ทันทีว่าลงท้ายเขาจะพูดว่าอะไร แต่ผมก็ชี้ทางให้เขาไปขึ้นรถสายที่จะไปรังสิต เขาก็บอกอย่างที่ผมคิด คือขอเงินคนละสิบบาท เพื่อซื้อข้าวกินก่อน เขาบอกว่าตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินข้าวเลย ผมก็ให้เขาไปโดยดี เชื่อว่ายังไม่ได้กินข้าวจริง ๆ เพราะได้กลิ่นแอลกอฮอล์หึ่งทั้งสองคน
ผมเองหาโอกาสที่จะทำบุญอยู่เสมอ แต่ก็มีบางครั้งบางคราวที่พลาดไป ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพราะไม่มีเงิน หรือมีก็หมดไปเสียแล้ว แต่ด้วยสาเหตุอื่นก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน อย่างเด็กหญิงคนหนึ่งในซอยบ้านผมเอง คะเนอายุคงไม่เกินประถมต้น ๆ แต่งตัวสวยงาม บ้านคงจะอยู่แถวนั้น เธอเดินแทะขนมปังกรอบที่มีช็อคโกแลตหุ้มอยู่ อย่างเอร็ดอร่อย เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้เธอก็หยุดยืนรอ แล้วพูดด้วยเสียงน่ารักว่า
“ ตาขา…ขอตังหนูห้าบาท “
ผมล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงด้วยความเคยชิน แต่ด้วยความที่อยากจะคุยกับเธอ จึงถามว่า
“ หนูจะเอาไปทำอะไรหรือ “
ผมไม่ได้คิดว่าเธอจะเอาไปซื้อขนม เพราะมีอยู่ในมือแล้ว จึงอยากจะให้มากกว่าที่ขอนั้น แต่เธอกลับมองหน้าผมที่ช่างซักถามจู้จี้ เธอแกว่งตัวจนกระโปรงส่ายไปมา แล้วสะบัดหน้าเดินต่อไป แต่ไม่ก่อนที่จะพูดว่า
“ ฮึ…หนูไม่เอาก็ได้ “
อีกคราวหนึ่งผมไปเยี่ยมญาติ ที่ป่วยเป็นคนไข้ในของโรงพยาบาล ตอนขากลับก็แวะที่เครื่องโทรศัพท์สาธารณะ เพื่อโทรศัพท์บอกแม่บ้านว่าจะไปธุระต่อ พอพูดเสร็จก็เห็นหญิงค่อนข้างสาวระดับกลาง ยืนอยู่ตรงหน้าในมือของเธอหอบหิ้วถุงพะรุงพะรัง
“ น้าขอเงินสักห้าสิบบาทซี่ “
ผมนิ่งอึ้งอยู่ชั่วอึดใจว่าจะให้ หรือปฏิเสธ เพราะคิดว่ามากเกินไป แต่เธอรีบชี้แจงเมื่อเห็นเครื่องหมายคำถามในดวงตาของผม
“ หนูมาตรวจโรค หมอสั่งให้เจาะเลือด เขาคิดเงินสองร้อย หนูมีไม่พอเพราะซื้อยาไปแล้ว จะกลับบ้านก็ไกล กว่าจะมาอีกเขาก็ปิดแล้ว “
เธอพูดพร้อมกับชูแผ่นกระดาษใบสั่ง และบัตรประจำตัวคนไข้ในมือขวา พร้อมกับแบมือซ้ายที่ถือถุงยาให้เห็นธนบัตรใบย่อยให้ดู ผมจึงพร้อมที่จะให้ จึงหยิบกระเป๋าเงินออกมาเปิดดึงธนบัตรร้อยบาทออกมาส่งให้
“ หนูช่วยทอนให้ลุงห้าสิบบาทนะ “
เธอนิ่งคิดเหมือนกัน แล้วก็บอกว่า
“ น้าให้หนูทั้งหมดก็แล้วกัน จะได้เหลือเป็นค่ารถกลับบ้านด้วย “
เอ…การทำทานทีละร้อยบาทนี่ มันมิยิ่งมากเกินฐานะของผมไปใหญ่หรือ ผมคิดแว่บเดียวแล้วก็ตัดสินใจบอกว่า
“ ไม่ได้หรอกมากเกินไป ลุงไม่ได้มีเงินมากมายอะไร “
เธอจึงลดมือลงแล้วบอกว่า
“ งั้นหนูไม่เอาก็ได้ ขอบคุณค่ะ น้าเก็บไว้ใช้เถอะ “
แล้วเธอก็เดินจากไปแต่ยังดีที่อุตส่าห์ขอบคุณ ทำให้ผมใจหายที่ไม่ได้ช่วยผ่อนคลายความทุกข์ของเธอในครั้งนี้ เธออาจจะต้องไปขอคนอื่น ซึ่งเขาอาจจะไม่เข้าใจเธออย่างผม ก็ได้
แต่ผมจำเป็นที่จะต้องฝืนใจทำเช่นนั้น จะให้ผมทำอย่างไรได้ ถ้าผมให้เธอไปหมดนั่น ผมก็คงจะเหลือแต่กระเป๋าที่ว่างเปล่าเท่านั้น
เพราะผมไม่มีเศษสตางค์เหลืออยู่เลย แม้แต่สลึงเดียว.
##########
ความจำเป็น ๒๗ ก.พ.๖๑
“ เพทาย “
แต่เดิมนั้นถนนที่ผมเดินอยู่นี้ มาสิ้นสุดลงที่ริมคลองสามเสน เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ก็มีการสร้างสะพานข้ามคลองไปตัดกับถนนนครไชยศรี แล้วก็ขยายซอยเล็ก ๆ ออกไปเป็นถนน จนไปจรดกับถนนอำนวยสงคราม ย่านบางกระบือ แต่ต่อไปอีกไม่ได้เพราะเป็นซอยเล็กที่ไปสุดลง ที่คลองบางกระบือ ข้ามไปก็เป็นกองพันทหารม้าที่เคยมีชื่อเสียงในอดีต
เมื่อผมมีกิจธุระที่จะต้องไปยังที่ทำการไปรษณีย์ดุสิต ผมก็ต้องเดินข้ามสะพานนี้เป็นประจำ วันนี้ก็เช่นเดียวกัน แต่พอข้ามสะพานไปได้ไม่เท่าไร ก็มีเด็กชายคนหนึ่งหน้าตาเรียบร้อย ตัดผมทรงนักเรียนโรงเรียนรัฐบาล เดินสวนมาแล้วบอกว่า
“ ลุงขอตังห้าบาท “
ผมเอามือล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง ด้วยความเคยชินกับการทำทานแบบนี้ แต่อดถามไม่ได้ว่า
“ จะเอาไปทำอะไร “
เขาตอบว่า
“ เอาไปซื้อข้าวกิน “
ผมชักมือออกจากกระเป๋าปรากฎว่ามีเหรียญห้าบาทหนึ่งอัน กับเหรียญบาท เหรียญสองสลึง และเหรียญสลึง ที่กระเป๋ารถเมล์ทอนมาให้หลายอัน แต่คงจะไม่ถึงห้าบาท ผมจึงหยิบเหรียญห้าบาทขึ้น แล้วเทเหรียญที่เหลือทั้งหมด ลงในฝ่ามือของเด็กชายผู้นั้น ที่แบรออยู่ เขาก้มหน้าลงมองเศษเหรียญในมือ แล้วเงยหน้ามองตาผม ทักท้วงว่า
“ ลุง ผมขอห้าบาทนะ “
ผมชักจะสับสนว่าเขาจะเอาอย่างไรกับผม แต่ใจยังคิดจะบริจาคอยู่ จึงบอกว่า
“ งั้นเอาห้าบาทไป เศษนั้นคืนมา ลุงจะเอาไปขึ้นรถเมล์ “
แล้วผมก็ส่งเหรียญห้าบาทให้เขา ซึ่งเขาก็เทเศษสตางค์คืนใส่มือผม แล้วก็เดินสวนทางไป โดยไม่ได้ไหว้แบบคนขอทาน และไม่มีคำขอบคุณ
ผมเดินต่อไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่หายงง เขาอาจคิดว่าเป็นหน้าที่ของผม ที่มีมากกว่าจึงควรจะเจือจานหรือแบ่งปันให้เขาบ้าง ตามหลัก…เอ…หลักอะไรก็ไม่รู้ ผมหย่อนเศษเหรียญลงกระเป๋าตามเดิม แต่อดหันไปมองดูเขาไม่ได้ ปรากฎว่าเขาเดินลงไปในซอกข้างสะพานที่ผมผ่านมานั้นเอง เขาคงจะอาศัยอยู่ใต้สะพาน กับครอบครัวของเขา ผมภาวนาให้เขามีโอกาสเรียนให้สำเร็จ…เอ้อ..สำเร็จในระดับหนึ่ง และเป็นคนดี…… อย่างน้อยก็ดีกว่านี้
พระท่านสอนว่า ทานเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ คือสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการบำเพ็ญบุญ ซึ่งมีอยู่สามประการ คือ ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน ศีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
ผมพยายามที่จะบำเพ็ญบุญ แต่ก็ยังไม่สามารถเจริญภาวนา หรือทำสมาธิได้ เพราะศีลห้าก็ยังไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง จึงทำได้แค่การบริจาคทานเท่านั้น
ทุกเย็นเมื่อผมกลับบ้าน ผมจะเอาเศษเหรียญ ที่เหลือจากการขึ้นรถโดยสารประจำทาง ใส่ขันเล็ก ๆ ไว้ วันรุ่งขึ้นเมื่อออกจากบ้าน ผมก็จะเทเหรียญเหล่านั้นใส่กระเป๋ากางเกง แต่ไม่พยายามใช้ เอาไว้ให้ขอทานที่พบเห็นทุกคน จนหมดเหรียญนั้น แล้วก็สะสมจากเงินทอน ค่ารถเมล์เอาใหม่
บางครั้งเมื่อขึ้นสะพานลอยข้ามถนนหลายครั้ง อาจมีคนขอทานมากกว่าจำนวนเหรียญที่ผมมีอยู่ในกระเป๋า ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้ให้มากมายอะไร เพียงรายละสองสามบาทเท่านั้น แต่ผมจะให้ทุกคนไม่ว่าจะมาในลักษณะไหน จะเป็นวนิพก บรรเลงเครื่องดนตรีประเภทดีดสีตีเป่าและกด หรือเป็นคนพิการชนิดไหน หรือเป็นผู้หญิงที่มีลูกเล็ก ๆ อุ้มบ้างปล่อยให้คลานเล่นบ้าง และแม้แต่ผู้ที่มีลักษณะเหมือนบุคคลธรรมดา แถมแต่งตัวดีอีกต่างหาก
ประเภทหลังนี้มักจะเจอโดยไม่รู้ตัว บางวันผมเดินอยู่ในซอย มีชายผู้หนึ่งเดินเข้ามายิ้มกับผม ถามว่าสบายดีหรือ ผมพยายามนึกอย่างรวดเร็วว่า เขาเป็นเพื่อนกลุ่มไหนของผม เพราะผมมีเพื่อนหลายกลุ่ม หรือจะเป็นอดีตผู้น้อยที่เคยอยู่ในหน่วยเดียวกันด้วยกันมา ก่อนที่ผมจะเกษียณอายุ แต่ยังไม่ทันจะนึกออกเขาก็มาถึงตัว บอกว่าลุงขอตังค์กินข้าวสักสิบบาท ผมก็เลยผสมว่าเอาไปเลย แล้วก็ควักเศษเหรียญในกระเป๋ากางเกงให้ไปแต่โดยดี รายนี้ต่อมาก็สนิทกันมากขึ้น พอเห็นหน้าแต่ไกลผมก็จะจำได้ และรีบล้วงกระเป๋าเตรียมไว้ให้เขา ก่อนที่จะขอ
วันหนึ่งผมนั่งรอเรียกตรวจโรคที่โรงพยาบาล ผมชอบพกหนังสือประเภทการ์ตูนเล่มเล็ก ๆ ไปอ่านฆ่าเวลา จึงนั่งแถวหลังสุด ก็มีชายคนหนึ่งมากระซิบเบา ๆ ขอเงินสิบบาท ผมเงยหน้าขึ้นดูเห็นว่ามีลักษณะเช่นเดียวกับคนไข้ทั่วไป ผมก็ไม่ถามส่งเงินให้ทันที ถ้าเขาไม่มีความจำเป็นเขาคงไม่มาขอผมหรอก
ส่วนอีกรายหนึ่ง ผมนั่งเล่นอยู่ที่ริมเขื่อน ใกล้ท่าเรือด่วนเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า ในยามเย็นแดดร่มลมโชย พร้อมด้วยเบียร์กระป๋อง หมูปิ้ง กำลังชมภาพที่เคลื่อนไหวอยู่ในลำน้ำเจ้าพระยา อย่างเพลิดเพลินอารมณ์ ก็ปรากฎว่ามีชายรูปร่างหน้าตาตลอดจนเครื่องนุ่งห่ม ที่ดู ขมุกขมอมเต็มที เข้ามาหาพร้อมกับบอกด้วยเสียงห้วน ๆ ว่า ลุงขอตังสิบบาท
ผมมองหน้าเขาแล้วก็คิดเพียงเสี้ยววินาทีเดียว รีบควักส่งให้เขาไปด้วยความเต็มใจ เพราะถ้าเขาจำเป็นมากกว่านี้ เขาคงคว้ากระเป๋าหิ้วใบเล็กที่วางข้างตัวผมไปแล้ว และผมคงไม่มีปัญญาที่จะวิ่งตามไปเอาคืนเป็นแน่
อีกรายหนึ่งมาด้วยกันสองคน ท่าทางและเครื่องแต่งตัวแสดงความเป็นคนชนบท สะพายถุงย่ามคนละห่อ พอเดินสวนกันก็เข้ามาถามทางที่จะไปรังสิต ผมก็รู้ทันทีว่าลงท้ายเขาจะพูดว่าอะไร แต่ผมก็ชี้ทางให้เขาไปขึ้นรถสายที่จะไปรังสิต เขาก็บอกอย่างที่ผมคิด คือขอเงินคนละสิบบาท เพื่อซื้อข้าวกินก่อน เขาบอกว่าตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินข้าวเลย ผมก็ให้เขาไปโดยดี เชื่อว่ายังไม่ได้กินข้าวจริง ๆ เพราะได้กลิ่นแอลกอฮอล์หึ่งทั้งสองคน
ผมเองหาโอกาสที่จะทำบุญอยู่เสมอ แต่ก็มีบางครั้งบางคราวที่พลาดไป ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพราะไม่มีเงิน หรือมีก็หมดไปเสียแล้ว แต่ด้วยสาเหตุอื่นก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน อย่างเด็กหญิงคนหนึ่งในซอยบ้านผมเอง คะเนอายุคงไม่เกินประถมต้น ๆ แต่งตัวสวยงาม บ้านคงจะอยู่แถวนั้น เธอเดินแทะขนมปังกรอบที่มีช็อคโกแลตหุ้มอยู่ อย่างเอร็ดอร่อย เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้เธอก็หยุดยืนรอ แล้วพูดด้วยเสียงน่ารักว่า
“ ตาขา…ขอตังหนูห้าบาท “
ผมล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงด้วยความเคยชิน แต่ด้วยความที่อยากจะคุยกับเธอ จึงถามว่า
“ หนูจะเอาไปทำอะไรหรือ “
ผมไม่ได้คิดว่าเธอจะเอาไปซื้อขนม เพราะมีอยู่ในมือแล้ว จึงอยากจะให้มากกว่าที่ขอนั้น แต่เธอกลับมองหน้าผมที่ช่างซักถามจู้จี้ เธอแกว่งตัวจนกระโปรงส่ายไปมา แล้วสะบัดหน้าเดินต่อไป แต่ไม่ก่อนที่จะพูดว่า
“ ฮึ…หนูไม่เอาก็ได้ “
อีกคราวหนึ่งผมไปเยี่ยมญาติ ที่ป่วยเป็นคนไข้ในของโรงพยาบาล ตอนขากลับก็แวะที่เครื่องโทรศัพท์สาธารณะ เพื่อโทรศัพท์บอกแม่บ้านว่าจะไปธุระต่อ พอพูดเสร็จก็เห็นหญิงค่อนข้างสาวระดับกลาง ยืนอยู่ตรงหน้าในมือของเธอหอบหิ้วถุงพะรุงพะรัง
“ น้าขอเงินสักห้าสิบบาทซี่ “
ผมนิ่งอึ้งอยู่ชั่วอึดใจว่าจะให้ หรือปฏิเสธ เพราะคิดว่ามากเกินไป แต่เธอรีบชี้แจงเมื่อเห็นเครื่องหมายคำถามในดวงตาของผม
“ หนูมาตรวจโรค หมอสั่งให้เจาะเลือด เขาคิดเงินสองร้อย หนูมีไม่พอเพราะซื้อยาไปแล้ว จะกลับบ้านก็ไกล กว่าจะมาอีกเขาก็ปิดแล้ว “
เธอพูดพร้อมกับชูแผ่นกระดาษใบสั่ง และบัตรประจำตัวคนไข้ในมือขวา พร้อมกับแบมือซ้ายที่ถือถุงยาให้เห็นธนบัตรใบย่อยให้ดู ผมจึงพร้อมที่จะให้ จึงหยิบกระเป๋าเงินออกมาเปิดดึงธนบัตรร้อยบาทออกมาส่งให้
“ หนูช่วยทอนให้ลุงห้าสิบบาทนะ “
เธอนิ่งคิดเหมือนกัน แล้วก็บอกว่า
“ น้าให้หนูทั้งหมดก็แล้วกัน จะได้เหลือเป็นค่ารถกลับบ้านด้วย “
เอ…การทำทานทีละร้อยบาทนี่ มันมิยิ่งมากเกินฐานะของผมไปใหญ่หรือ ผมคิดแว่บเดียวแล้วก็ตัดสินใจบอกว่า
“ ไม่ได้หรอกมากเกินไป ลุงไม่ได้มีเงินมากมายอะไร “
เธอจึงลดมือลงแล้วบอกว่า
“ งั้นหนูไม่เอาก็ได้ ขอบคุณค่ะ น้าเก็บไว้ใช้เถอะ “
แล้วเธอก็เดินจากไปแต่ยังดีที่อุตส่าห์ขอบคุณ ทำให้ผมใจหายที่ไม่ได้ช่วยผ่อนคลายความทุกข์ของเธอในครั้งนี้ เธออาจจะต้องไปขอคนอื่น ซึ่งเขาอาจจะไม่เข้าใจเธออย่างผม ก็ได้
แต่ผมจำเป็นที่จะต้องฝืนใจทำเช่นนั้น จะให้ผมทำอย่างไรได้ ถ้าผมให้เธอไปหมดนั่น ผมก็คงจะเหลือแต่กระเป๋าที่ว่างเปล่าเท่านั้น
เพราะผมไม่มีเศษสตางค์เหลืออยู่เลย แม้แต่สลึงเดียว.
##########