เรื่องสั้น
ผู้มี(แต่)น้ำใจ (๕)
“ เพทาย “
แต่เดิมนั้นถนนที่ผมเดินอยู่นี้ มาสิ้นสุดลงที่ริมคลองสามเสน เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ก็มีการสร้างสะพานข้ามคลองไปตัดกับถนนนครไชยศรี แล้วก็ขยายซอยเล็ก ๆ ออกไปเป็นถนน จนไปจรดกับถนนอำนวยสงคราม ย่านบางกระบือ แต่ต่อไปอีกไม่ได้เพราะเป็นซอยเล็กที่ไปสุดลง ที่คลองบางกระบือ ข้ามไปก็เป็นกองพันทหารม้าที่เคยมีชื่อเสียงในอดีต
เมื่อผมมีกิจธุระที่จะต้องไปยังที่ทำการไปรษณีย์ดุสิต ผมก็ต้องเดินข้ามสะพานนี้เป็นประจำ วันนี้ก็เช่นเดียวกัน แต่พอข้ามสะพานไปได้ไม่เท่าไร ก็มีเด็กชายคนหนึ่งหน้าตาเรียบร้อย ตัดผมทรงนักเรียนโรงเรียนรัฐบาล เดินสวนมาแล้วบอกว่า
“ ลุงขอตังห้าบาท “
ผมเอามือล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง ด้วยความเคยชินกับการทำทานแบบนี้ แต่อดถามไม่ได้ว่า
“ จะเอาไปทำอะไร “
เขาตอบว่า
“ เอาไปซื้อข้าวกิน “
ผมชักมือออกจากกระเป๋าปรากฎว่ามีเหรียญห้าบาทหนึ่งอัน กับเหรียญบาท เหรียญสองสลึง และเหรียญสลึง ที่กระเป๋ารถเมล์ทอนมาให้หลายอัน แต่คงจะไม่ถึงห้าบาท ผมจึงหยิบเหรียญห้าบาทขึ้น แล้วเทเหรียญที่เหลือทั้งหมด ลงในฝ่ามือของเด็กชายผู้นั้น ที่แบรออยู่ เขาก้มหน้าลงมองเศษเหรียญในมือ แล้วเงยหน้ามองตาผม ทักท้วงว่า
“ ลุง ผมขอห้าบาทนะ “
ผมชักจะสับสนว่าเขาจะเอาอย่างไรกับผม แต่ใจยังคิดจะบริจาคอยู่ จึงบอกว่า
“ งั้นเอาห้าบาทไป เศษนั้นคืนมา ลุงจะเอาไปขึ้นรถเมล์ “
แล้วผมก็ส่งเหรียญห้าบาทให้เขา ซึ่งเขาก็เทเศษสตางค์คืนใส่มือผม แล้วก็เดินสวนทางไป โดยไม่ได้ไหว้แบบคนขอทาน และไม่มีคำขอบคุณ
ผมเดินต่อไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่หายงง เขาอาจคิดว่าเป็นหน้าที่ของผม ที่มีมากกว่า
จึงควรจะเจือจานหรือแบ่งปันให้เขาบ้าง ตามหลัก…เอ…หลักอะไรก็ไม่รู้
ผมหย่อนเศษเหรียญลงกระเป๋าตามเดิม แต่อดหันไปมองดูเขาไม่ได้
ปรากฎว่าเขาเดินลงไปในซอกข้างสะพานที่ผมผ่านมานั้นเอง
เขาคงจะอาศัยอยู่ใต้สะพาน กับครอบครัวของเขา
ผมภาวนาให้เขามีโอกาสเรียนให้สำเร็จ…เอ้อ..สำเร็จในระดับหนึ่ง
และเป็นคนดี…… อย่างน้อยก็ดีกว่านี้
######
ผู้มีแต่น้ำใจ (๕) ๘ ก.พ.๖๑
ผู้มี(แต่)น้ำใจ (๕)
“ เพทาย “
แต่เดิมนั้นถนนที่ผมเดินอยู่นี้ มาสิ้นสุดลงที่ริมคลองสามเสน เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ก็มีการสร้างสะพานข้ามคลองไปตัดกับถนนนครไชยศรี แล้วก็ขยายซอยเล็ก ๆ ออกไปเป็นถนน จนไปจรดกับถนนอำนวยสงคราม ย่านบางกระบือ แต่ต่อไปอีกไม่ได้เพราะเป็นซอยเล็กที่ไปสุดลง ที่คลองบางกระบือ ข้ามไปก็เป็นกองพันทหารม้าที่เคยมีชื่อเสียงในอดีต
เมื่อผมมีกิจธุระที่จะต้องไปยังที่ทำการไปรษณีย์ดุสิต ผมก็ต้องเดินข้ามสะพานนี้เป็นประจำ วันนี้ก็เช่นเดียวกัน แต่พอข้ามสะพานไปได้ไม่เท่าไร ก็มีเด็กชายคนหนึ่งหน้าตาเรียบร้อย ตัดผมทรงนักเรียนโรงเรียนรัฐบาล เดินสวนมาแล้วบอกว่า
“ ลุงขอตังห้าบาท “
ผมเอามือล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง ด้วยความเคยชินกับการทำทานแบบนี้ แต่อดถามไม่ได้ว่า
“ จะเอาไปทำอะไร “
เขาตอบว่า
“ เอาไปซื้อข้าวกิน “
ผมชักมือออกจากกระเป๋าปรากฎว่ามีเหรียญห้าบาทหนึ่งอัน กับเหรียญบาท เหรียญสองสลึง และเหรียญสลึง ที่กระเป๋ารถเมล์ทอนมาให้หลายอัน แต่คงจะไม่ถึงห้าบาท ผมจึงหยิบเหรียญห้าบาทขึ้น แล้วเทเหรียญที่เหลือทั้งหมด ลงในฝ่ามือของเด็กชายผู้นั้น ที่แบรออยู่ เขาก้มหน้าลงมองเศษเหรียญในมือ แล้วเงยหน้ามองตาผม ทักท้วงว่า
“ ลุง ผมขอห้าบาทนะ “
ผมชักจะสับสนว่าเขาจะเอาอย่างไรกับผม แต่ใจยังคิดจะบริจาคอยู่ จึงบอกว่า
“ งั้นเอาห้าบาทไป เศษนั้นคืนมา ลุงจะเอาไปขึ้นรถเมล์ “
แล้วผมก็ส่งเหรียญห้าบาทให้เขา ซึ่งเขาก็เทเศษสตางค์คืนใส่มือผม แล้วก็เดินสวนทางไป โดยไม่ได้ไหว้แบบคนขอทาน และไม่มีคำขอบคุณ
ผมเดินต่อไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่หายงง เขาอาจคิดว่าเป็นหน้าที่ของผม ที่มีมากกว่า
จึงควรจะเจือจานหรือแบ่งปันให้เขาบ้าง ตามหลัก…เอ…หลักอะไรก็ไม่รู้
ผมหย่อนเศษเหรียญลงกระเป๋าตามเดิม แต่อดหันไปมองดูเขาไม่ได้
ปรากฎว่าเขาเดินลงไปในซอกข้างสะพานที่ผมผ่านมานั้นเอง
เขาคงจะอาศัยอยู่ใต้สะพาน กับครอบครัวของเขา
ผมภาวนาให้เขามีโอกาสเรียนให้สำเร็จ…เอ้อ..สำเร็จในระดับหนึ่ง
และเป็นคนดี…… อย่างน้อยก็ดีกว่านี้
######