“นิพิฐ” แฉหมัดเด็ดหลักฐานมัด “สุภา” มีเอี่ยวพยานปากเอกรับสินบนคดีทุจริตปาล์มอินโดฯ แถม ป.ป.ช. ยังแอบอ้างลงลายเซ็นในการสอบสวน ทั้งที่ไม่มีการพบปะกัน
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2661 นายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา ได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมครั้งที่ 16 ต่อประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอคัดค้านและขอเปลี่ยนตัว นางสาวสุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวนคดีทุจริตโครงการปาล์มน้ำมัน ที่ประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากมีพยานหลักฐานใหม่และเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่ทำให้การพิจารณาวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เปลี่ยนแปลงไป
หนึ่งในหลักฐานสำคัญ เป็นการสนทนาผ่านทางโปรแกรมวอตส์แอปป์ (WhatsApp) ระหว่าง นายบูลฮัน หรือ นายบูรฮาน พยานคนสำคัญที่นางสาวสุภา พร้อมทั้งคณะ ป.ป.ช. บินไปสอบสวนที่ประเทศอินโดนีเซีย กับนางแนนซี่ มาร์ตาสุตา อดีตรองประธานของ KITHA หอการค้าอินโดนีเซีย
โดยบทสนทนาบางช่วงบางตอน ที่มีการนำรูปนางสาวสุภามาเอ่ยถึง นางแนนซี่ ระบุขึ้นว่า “นั่น เป็นผู้หญิงคนนี้จริงใช่ไหม ที่เป็นผู้สอบสวนคุณบูรฮาน ในวันที่ 7 สิงหาคม 2560” นายบูรฮาน กล่าวตอบไปว่า “ไม่ มันไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้” และนางแนนซี่ไล่ถามอีกว่า “คุณแน่ใจว่าคุณได้ลงลายมือชื่อในรายงานของผลการสอบสวนในวันที่ 7 สิงหาคม 2560" ซึ่งนายบูรฮานตอบไปว่า “คุณแนนซี่ฟังผม ผมไม่ได้เซ็นอะไรทั้งสิ้นในเวลานั้น และผมไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของพวกเขาทั้งหมด” นางแนนซี่ กล่าวขึ้นมาว่า “นี่หมายความว่ามีการกลั่นแกล้งทำลายกัน คุณสุภา จาก ป.ป.ช. ประเทศ ได้แจ้งข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงและออกทางสื่อในประเทศไทย มีการกลั่นแกล้งกันด้วยลายมือชื่อปลอมของคุณบูรฮานในรายงานผลการสอบสวนหลังจากการสอบสวนในวันที่ 7 สิงหาคม 2560 ซึ่งทั้งหมดได้ถูกทำขึ้นโดย ป.ป.ช. ประเทศไทย ดังนั้นนี่คือข้อสรุปใช่ไหม” นายบูรฮาน สวนกลับมาทันทีว่า “พวกเขากล้าแสดงลายมือชื่อของผมเพื่อไปยืนยันเลยหรือ ซึ่งผมไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวเข้าออกจากห้องผมเลย” ซึ่งนางแนนซี่ ได้โต้ตอบอีกว่า “คุณสุภาแจ้งว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ประเทศไทย ผู้ซึ่งได้ทำการสอบสวนคุณบูรฮานด้วยตัวเองที่จาการ์ตาในวันที่ 7 สิงหาคม 2560 และเขายังประกาศว่าคุณบูรฮานได้ลงลายมือชื่อยืนยันในรายงานผลการสอบสวนในวันเดียวกันด้วย” ซึ่งนายบูรฮาน ยืนยันว่า “ผมไม่เคยเห็นหน้าเธอเลย”
จากบทสนทนาดังกล่าวเริ่มเรื่องมาจาก นางรสยา เธียรวรรณ รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTGE ถูกฟ้องเป็นจำเลย ในคดีอาญาต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางถึง 5 คดี และถูกกล่าวหาต่อ ป.ป.ช. ว่า ทุจริตในโครงการปลูกปาล์มอินโดนีเซีย 1 คดี ปัจจุบันอยู่ในระหว่างไต่สวน ได้นำถุงสินบนมาให้ นายบูลฮัน หรือ บูรฮาน เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2560 ก่อนที่ ป.ป.ช. จะเดินทางไปสอบเพียง 48 ชั่วโมง นั่นแสดงว่าความลับของทางราชการ การข่าวของ ป.ป.ช. รั่วไหล หรือว่า จงใจให้รั่วไหล ซึ่งนางสาวสุภาฯ และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ควรได้รู้และเข้าข่ายเกี่ยวข้องกับถุงสินบน เนื่องจากมีชื่อเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. นั่งเครื่องบินกลับลำเดียวกันกับ นางรสยา เธียรวรรณ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2560 ด้วยสายการบิน TG0434 ซึ่งไม่ใช่เหตุบังเอิญอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ นายบูรฮานผู้รับถุงสินบนได้ยอมรับว่ามีการให้สินบนจริงพร้อมพยานหลักฐานภาพถ่าย เมื่อจับได้คาหนังคาเขาแล้วนายนิพิฐฯ จึงยื่นเรื่องร้องขอความเป็นธรรมให้นางสาวสุภาฯ สอบสวนเรื่องกรณีสินบนหลายครั้งแต่นางสาวสุภาฯ กลับละเว้นไม่สอบสวนตนเองและสอบสวนนางรสยาเกี่ยวกับเรื่องสินบนแต่อย่างใด
ยังมีการให้ข่าวผ่านสำนักข่าวอิศราเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2560 เกี่ยวกับการสอบสวนวันที่ 7 สิงหาคม 2560 – วันที่ 8 สิงหาคม 2560 ว่า นางสาวสุภาฯ ได้สอบสวนหรือสอบปากคำพยานนายบูรฮานในระหว่างวันที่ 7–8 สิงหาคม 2560 ด้วยตนเอง ระหว่างสอบปากคำพบนายบูรฮานเดินเข้าออกห้องเกือบตลอดเวลา เข้าใจว่าเพื่อปรึกษาทนายความและเมื่อสอบปากคำเสร็จได้ยอมลงนามแต่โดยดี ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงแต่อย่างใด
โดยสรุปจากพยานหลักฐานบทสนทนาผ่านวอตส์แอปป์ (WhatsApp) ได้ความจริงว่า ในวันสอบสวนดังกล่าวนั้น นางสาวสุภาฯ ไม่ได้เข้าร่วมการสอบสวน ไม่มีการเดินเข้า ๆ ออก ๆ ห้องของนายบูรฮานซึ่งเขานั่งอยู่ในที่สอบสวนตลอดการสอบสวน นายบูรฮานไม่มีการติดต่อทนายความเลย ที่สำคัญที่สุดไม่มีการตกลงเซ็นเอกสารหรือลงนามในเอกสารใดๆทั้งสิ้นจากนายบูรฮานในวันที่ 7 สิงหาคม 2560 หรือวันถัดมา
ทั้งหมดจึงเป็นการให้การโดยประจักษ์พยานชาวอินโดนีเซีย ซึ่งยอมรับว่า เป็นผู้รับถุงสินบนและประจักษ์พยานผู้เห็นถุงสินบนของนางรสยาในวันที่ 4 สิงหาคม 2560โดยพยานทั้ง 2 คนยินยอมให้นำพยานหลักฐานมาใช้ในชั้นศาลและจะมาเบิกความต่อศาลต่อไป
"นิพิฐ" งัดหลักฐานเด็ดน็อค "สุภา" รับสินบนคดีปาล์มอินโด
“นิพิฐ” แฉหมัดเด็ดหลักฐานมัด “สุภา” มีเอี่ยวพยานปากเอกรับสินบนคดีทุจริตปาล์มอินโดฯ แถม ป.ป.ช. ยังแอบอ้างลงลายเซ็นในการสอบสวน ทั้งที่ไม่มีการพบปะกัน
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2661 นายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา ได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมครั้งที่ 16 ต่อประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอคัดค้านและขอเปลี่ยนตัว นางสาวสุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวนคดีทุจริตโครงการปาล์มน้ำมัน ที่ประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากมีพยานหลักฐานใหม่และเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่ทำให้การพิจารณาวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เปลี่ยนแปลงไป
หนึ่งในหลักฐานสำคัญ เป็นการสนทนาผ่านทางโปรแกรมวอตส์แอปป์ (WhatsApp) ระหว่าง นายบูลฮัน หรือ นายบูรฮาน พยานคนสำคัญที่นางสาวสุภา พร้อมทั้งคณะ ป.ป.ช. บินไปสอบสวนที่ประเทศอินโดนีเซีย กับนางแนนซี่ มาร์ตาสุตา อดีตรองประธานของ KITHA หอการค้าอินโดนีเซีย
โดยบทสนทนาบางช่วงบางตอน ที่มีการนำรูปนางสาวสุภามาเอ่ยถึง นางแนนซี่ ระบุขึ้นว่า “นั่น เป็นผู้หญิงคนนี้จริงใช่ไหม ที่เป็นผู้สอบสวนคุณบูรฮาน ในวันที่ 7 สิงหาคม 2560” นายบูรฮาน กล่าวตอบไปว่า “ไม่ มันไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้” และนางแนนซี่ไล่ถามอีกว่า “คุณแน่ใจว่าคุณได้ลงลายมือชื่อในรายงานของผลการสอบสวนในวันที่ 7 สิงหาคม 2560" ซึ่งนายบูรฮานตอบไปว่า “คุณแนนซี่ฟังผม ผมไม่ได้เซ็นอะไรทั้งสิ้นในเวลานั้น และผมไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของพวกเขาทั้งหมด” นางแนนซี่ กล่าวขึ้นมาว่า “นี่หมายความว่ามีการกลั่นแกล้งทำลายกัน คุณสุภา จาก ป.ป.ช. ประเทศ ได้แจ้งข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงและออกทางสื่อในประเทศไทย มีการกลั่นแกล้งกันด้วยลายมือชื่อปลอมของคุณบูรฮานในรายงานผลการสอบสวนหลังจากการสอบสวนในวันที่ 7 สิงหาคม 2560 ซึ่งทั้งหมดได้ถูกทำขึ้นโดย ป.ป.ช. ประเทศไทย ดังนั้นนี่คือข้อสรุปใช่ไหม” นายบูรฮาน สวนกลับมาทันทีว่า “พวกเขากล้าแสดงลายมือชื่อของผมเพื่อไปยืนยันเลยหรือ ซึ่งผมไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวเข้าออกจากห้องผมเลย” ซึ่งนางแนนซี่ ได้โต้ตอบอีกว่า “คุณสุภาแจ้งว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ประเทศไทย ผู้ซึ่งได้ทำการสอบสวนคุณบูรฮานด้วยตัวเองที่จาการ์ตาในวันที่ 7 สิงหาคม 2560 และเขายังประกาศว่าคุณบูรฮานได้ลงลายมือชื่อยืนยันในรายงานผลการสอบสวนในวันเดียวกันด้วย” ซึ่งนายบูรฮาน ยืนยันว่า “ผมไม่เคยเห็นหน้าเธอเลย”
จากบทสนทนาดังกล่าวเริ่มเรื่องมาจาก นางรสยา เธียรวรรณ รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTGE ถูกฟ้องเป็นจำเลย ในคดีอาญาต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางถึง 5 คดี และถูกกล่าวหาต่อ ป.ป.ช. ว่า ทุจริตในโครงการปลูกปาล์มอินโดนีเซีย 1 คดี ปัจจุบันอยู่ในระหว่างไต่สวน ได้นำถุงสินบนมาให้ นายบูลฮัน หรือ บูรฮาน เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2560 ก่อนที่ ป.ป.ช. จะเดินทางไปสอบเพียง 48 ชั่วโมง นั่นแสดงว่าความลับของทางราชการ การข่าวของ ป.ป.ช. รั่วไหล หรือว่า จงใจให้รั่วไหล ซึ่งนางสาวสุภาฯ และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ควรได้รู้และเข้าข่ายเกี่ยวข้องกับถุงสินบน เนื่องจากมีชื่อเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. นั่งเครื่องบินกลับลำเดียวกันกับ นางรสยา เธียรวรรณ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2560 ด้วยสายการบิน TG0434 ซึ่งไม่ใช่เหตุบังเอิญอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ นายบูรฮานผู้รับถุงสินบนได้ยอมรับว่ามีการให้สินบนจริงพร้อมพยานหลักฐานภาพถ่าย เมื่อจับได้คาหนังคาเขาแล้วนายนิพิฐฯ จึงยื่นเรื่องร้องขอความเป็นธรรมให้นางสาวสุภาฯ สอบสวนเรื่องกรณีสินบนหลายครั้งแต่นางสาวสุภาฯ กลับละเว้นไม่สอบสวนตนเองและสอบสวนนางรสยาเกี่ยวกับเรื่องสินบนแต่อย่างใด
ยังมีการให้ข่าวผ่านสำนักข่าวอิศราเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2560 เกี่ยวกับการสอบสวนวันที่ 7 สิงหาคม 2560 – วันที่ 8 สิงหาคม 2560 ว่า นางสาวสุภาฯ ได้สอบสวนหรือสอบปากคำพยานนายบูรฮานในระหว่างวันที่ 7–8 สิงหาคม 2560 ด้วยตนเอง ระหว่างสอบปากคำพบนายบูรฮานเดินเข้าออกห้องเกือบตลอดเวลา เข้าใจว่าเพื่อปรึกษาทนายความและเมื่อสอบปากคำเสร็จได้ยอมลงนามแต่โดยดี ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงแต่อย่างใด
โดยสรุปจากพยานหลักฐานบทสนทนาผ่านวอตส์แอปป์ (WhatsApp) ได้ความจริงว่า ในวันสอบสวนดังกล่าวนั้น นางสาวสุภาฯ ไม่ได้เข้าร่วมการสอบสวน ไม่มีการเดินเข้า ๆ ออก ๆ ห้องของนายบูรฮานซึ่งเขานั่งอยู่ในที่สอบสวนตลอดการสอบสวน นายบูรฮานไม่มีการติดต่อทนายความเลย ที่สำคัญที่สุดไม่มีการตกลงเซ็นเอกสารหรือลงนามในเอกสารใดๆทั้งสิ้นจากนายบูรฮานในวันที่ 7 สิงหาคม 2560 หรือวันถัดมา
ทั้งหมดจึงเป็นการให้การโดยประจักษ์พยานชาวอินโดนีเซีย ซึ่งยอมรับว่า เป็นผู้รับถุงสินบนและประจักษ์พยานผู้เห็นถุงสินบนของนางรสยาในวันที่ 4 สิงหาคม 2560โดยพยานทั้ง 2 คนยินยอมให้นำพยานหลักฐานมาใช้ในชั้นศาลและจะมาเบิกความต่อศาลต่อไป