Day 1&2 BKK-Leh 25-26Aug2017
กลับมาจากอินเดียมานานพอสมควร เพิ่งมีเวลาว่างขอรีวิวทริปแห่งความสมบุกสมบันนี้ไว้ เพราะดินแดนแห่งนี้ถือได้ว่าขึ้นชื่อว่าต้องไปให้ได้ในชีวิตนี้ ได้รับการขนานนามว่า Leh, little Tibet, in the embrace of the Himalayan Range.
เสียงลือเสียงเล่าอ้างหนาหูว่าที่ เลห์ ลาดักห์นั้นสวยมากๆ ได้ยินครั้งแรกก็ไม่อยากเชื่อ อินเดียเนี่ยนะสวย แต่พอได้ดูรูปจากคนที่ไปมา อดอุทานไมได้ เออสวยว่ะ ทำไมสวยอ่ะ ไม่ได้การงานนี้ต้องพิสูจน์ด้วยตาเท่านั้น จัดแจงหาเพื่อนร่วมชะตากรรม พร้อมจองตั๋วทั้งไปกลับ ครั้งนี้ใช้บริการการบินไทยและ domestic Vistara ของอินเดีย
ขอเกริ่นเล็กน้อย หลายคนสงสัยว่า Leh คือที่ไหน ขอบอกว่า Leh อยู่แคว้น Kammu & Kashmir ทางเหนือสุดของอินเดีย มีประชากรอยู่น้อยมากเพราะเนื้อที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง ล้อมรอบด้วยเทือกเขาขนาดใหญ่ ทั้ง หิมาลัย คาราโครัม และอีกมากมาย เท่าที่สังเกตุภูเขาส่วนใหญ่จะหัวโล้นๆเป็นกรวดหิน มีพื้นที่สีเขียวน้อยมาก
อากาศที่นี่ถือว่าโหดไม่แพ้ใคร โชคดีที่ช่วงที่ไปเป็นช่วงฟ้าเปิด อากาศไม่หนาวมาก แต่โดยปกติฤดูหนาวที่นี่กินเวลา 7-8 เดือนทีเดียว หนาวที่ว่าถือว่าหนาววววสุดๆ หิมะตกหนัก ถนนหลายสายปิดตายเดินทางไม่ได้ การท่องเที่ยวต้องหยุดชะงัก ดังนั้นใครวางแผนจะไปเที่ยวควรดูช่วงเวลาให้ดี ร้านค้า ที่พักหลายแห่งก็ปิดเช่นเดียวกันในฤดูหนาว คนพื้นที่บางคนยังต้องอพยพย้ายไปอยู่ถิ่นอื่นเพราะบอกว่าดำรงชีวิตยากมาก เพาะปลูกก็ไม่ได้ เดินทางก็ลำบาก ฟังแล้วรู้สึกดีใจ เกิดในประเทศไทยแสนสุขยิ่งนัก
Day 1 @ Delhi-Leh
เราใช้เวลา 4 ชมโดยประมาณ(ไม่รวมการบินไทยที่ชอบ Delay ไปอีก 1 ชม) ถึงสนามบินอินทิราคานธี เมืองนิวเดลี เราต่อ Domestic flight ไปเมือง Leh ด้วยสายการบิน VISTARA ซึ่งอยู่ Terminal 3 ที่เดียวกัน จึงเบาใจไปได้เปราะนึง เพราะหากใครต่อคนละ Terminal ควรเผื่อเวลาให้ดี อย่างน้อย 3 ชม เพราะกว่าจะผ่านตม กว่าจะตรวจกระเป๋า โน่น นี่นั่น ปาเข้าไปไม่ต่ำกว่า 2 ชม แถมถ้าอยู่คนละ Terminal จำเป็นต้องต่อ Bus ซึ่งนานๆจะมีรถมาที ต้องทำใจไว้เลย ถ้าจะให้ดีอย่าให้ตกเครื่องจะดีที่สุด เพราะซื้อตั๋วใหม่แพงหูฉี่เลยนะคะ
เครื่องภายในประเทศ VISTARA ถือว่าสะอาด บริการดี ความกังวลที่ว่ากลิ่นจะแรง ลำบากนั่นนี่ หมดไป ไม่เห็นเหมือนที่ได้ยินมา บนนี้มีอาหารบริการเป็น Sandwiches + น้ำมะม่วง รสชาดอร่อยไม่เลว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.5 ชมก็มาถึง Leh ระหว่างทางเห็นได้ชัดว่าเมืองๆนี้อยู่ในหุบเขา กว่าเครื่องจะลงได้ต้องอ้อมเขาเพื่อวนมาจอดที่สนามบิน ยอมใจพี่นักบินเลยงานนี้ มองจากด้านบนเห็นได้ชัดว่าพทที่นี่เป็นพทของทหารเป็นส่วนใหญ่ ไม่ต้องแปลกใจไป เพราะที่ Leh ถือเป็นเขตควบคุมพิเศษ เป็นเขตขายแดนติดกับปากีสถานและจีน ดังนั้นจะออกไปไหนพก passport ติดตัวไว้เป็นดี แถมบางพทต้องทำบัตรผ่าน Permit ล่วงหน้าก่อนไปด้วยนะคะ
อีกอย่างที่ต้องรู้คือที่ Leh อยู่ที่ระดับความสูง 3,500 เมตร ถือว่าสูงพอสมควร เมื่อไปถึงควรพักผ่อนให้เพียงพอ และอย่า active เกินควรเพราะอาจะเป็นโรค AMS ได้ หากมียา Diamox ก็ควรทานก่อนล่วงหน้า 24 ชมก่อนมาถึงจะช่วยได้มาก โชคดีที่ทริปนี้พวกเราสี่คนไม่มีใครเจ็บป่วย เที่ยวกันได้สบายใจ ลุยไหน ไปได้ไม่มีบ่น[
เราพักกันที่ Leh Stumpa เป็น guesthouse น่ารักๆสองชั้น มี ชูบัล หนุ่มน้อยหน้ามนคนซื่อมาต้อนรับ เราตั้งชื่อให้ว่า ชัพปุย เพราะเรียกได้ถนัดปากกว่า ที่รร ด้านหน้าจะมีผักผลไม้ปลูกไว้เพื่อใช้ทำอาหารให้นักท่องเที่ยวได้ทานทั้งมื้อเช้าและค่ำ
มาถึงรร มนุษย์โซเชียลถึงกับถามกันให้ระงม ทำไมไฟฟ้าไม่มีวะ เห้ย!! Wifi ล่ะ เรียกชัพปุยมาถามได้ความว่า ที่นี่จำกัดการเปิดปิดไฟ จะมีแค่ช่วงกลางคืนเท่านั้นที่จะมีไฟฟ้าส่วน Wifi นั้น ก็แล้วแต่พระเจ้าจะประทานมาให้ ได้ยินเช่นนั้นก็เป็นอันทำใจ เวลาที่เหลืออยู่ก็ได้โปรดนอน นอน และ นอน น้องๆที่ไปด้วยบางคนขน tablet ไปเพื่อกะว่าจะได้ทำงาน Remote จากที่โน่น 555 ขำว่ะ เก็บขึ้นหิ้งไปเลยน้อง นาทีนี้ Slow life แบบที่น้องต้องการอยู่ในกำมือน้องแล้วค่ะ ผ่านไปสามชม พวกเรานอนหลับพักผ่อนกัน ตื่นมาอีกทีน้องๆมาเรียกพร้อมบ่นว่า พี่ไม่รู้จะทำไรดี 555 โอ้ย วันแรกเองนะ เขาให้พักผ่อนไง๊ นอนสินอน อันที่จริงการนอนพักถือว่าดีมากๆ เพราะร่างกายจำเป็นต้องปรับตัวพอสมควรเนื่องจากพื้นที่สูงระดับนี้อาจจะทำให้ร่างกายเสียสมดุลก็เป็นได้ แต่พวกเรานี่สิ ฟุ้งซ่าน วุ่นวายกันจนเป็นนิสัย อยู่นิ่งกันไม่เป็น แต่เชื่อมั๊ยผ่านไปไม่กี่วันเริ่มชิน นอนเยอะจนชินสินะ 55
เปิดกระเป๋าออกมามีร้องโอย อีกรอบ เพราะลืมนึกไปว่า ความกดอากาศที่นี่ต่ำมาก ทำให้ถุงขนม เครื่องสำอางทุกอย่างโป่งพองออกมา เพราะฉะนั้นแนะนำให้เตรียมตัวมากันดีๆ มิฉะนั้นเครื่องสำอางอาจระเบิดออกมาเลอะกระเป๋าเสื้อผ้าคุณก็เป็นได้
เวลา 5 โมงเย็น พี่คนขับรถสุดหล่อก็มารับพวกเราเข้าไปเดินเล่นที่ Leh Market อันที่จริงเลห์เพิ่งเปิดรับนักท่องเที่ยวพศ 2517 ดังนั้นที่นี่จึงมีการก่อสร้างอยู่เป็นระยะๆ เป็นเมืองที่คึกคัก มีร้านอาหาร ร้าน Café พร้อมรับนักท่องเที่ยวอยู่มาก ใครที่อยากไปเที่ยวเลห์ ขอให้รีบไปก่อนที่บ้านเมืองจะรับวัฒนธรรมตะวันตกไปมากกว่านี้ เพราะเสน่ห์ของเมืองนี้ที่เราชอบมากที่สุด คือการที่ได้เห็นว่าชาวบ้านทำ Farm ทำนา ผลิตเสื้อผ้าใช้ได้เอง ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่มีรายจ่ายมากมายนัก สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองแบบที่เราๆ เรียกว่าระบบพอเพียง เพียงแค่วันแรกก็ Slow life กันไปเต็มๆ คงต้องขอเวลาปรับตัวอีกนิดกว่าจะชิน
Leh Market คึกคักช่วงเย็นๆค่ำๆ มีนักท่องเที่ยวมาเดินเล่นจับจ่ายซื้อของ ทานอาหารกัน
ถนนที่นี่แคบมากกก แต่โชคดีเมื่อมีน้ำใจก็ขับสวนกันได้ไม่ยาก
หมาน้อยที่นี่ดูน่าสงสารมาก ดูหงอยๆไม่สดใส สงสารมันง่ะ
ชื่นชมตลาดได้สักพัก จิบชาอินเดียได้สักหน่อย ก็บอกคนขับขอแวะไปอกีที่ Shanti Stupaเป็นเจดีย์สันติภาพที่สร้างขึ้นโดยชาวญี่ปุ่น อยู่ไม่ห่างจากตลาดเลห์เท่าไหร่ แต่ต้องไต่เขาขึ้นไป เรามาช่วงเวลาค่ำแล้ว อากาศเริ่มเย็นมาก ไหนๆก็มาแล้วขอขึ้นไปชมวิวด้านบนสักหน่อย จริงๆระยะทางใกล้มาก แต่งานนี้เดินไปหอบไป เพราะคงอากาศที่น้อย หายใจไม่ค่อยทันเท่าไหร่
ในที่สุดก็ได้เวลากลับมารับประทานอาหารเย็นที่รร ประมาณ 2 ทุ่ม วันนี้ชัพปุยและครอบครัวต้อนรับเราด้วยเมนูสุดวิเศษ นั่นคือ ข้าวสวยพร้อมกับผัดผักและไข่ต้ม ไม่มีปัญหาใดๆเพราะทีมงานของเรามีน้ำพริกติดตัวมา เรียกว่าแค่มีข้าว เราก็ไม่อดตาย แถมมีไฟฟ้าใช้ในช่วงกลางคืน เอาวะ ชีวิตดีอ่ะ ไฟมี Wifi มา มีเวลาช่วงสั้นๆ อ่านไลน์ได้บ้าง แค่นี้ก็สุขใจ
จะว่าไปคืนแรกเป็นช่วงการปรับตัว หลายๆอย่าง เหมือนเราย้อนเวลาไปนานแสนนาน เราเกิดมาก็มีไฟฟ้าใช้ เราเข้าใจว่าถ้าไม่มีไฟฟ้าคงขาดใจตาย แต่ไม่ใช่ เราได้เรียนรู้ว่า ไฟฟ้ามันแค่อำนวยความสะดวกสบาย จริงๆแล้ว ไม่มีไฟ ไม่มี Wifi เราก็อยู่ได้นี่นา พูดไม่ทันขาดคำ ก็ได้ยินเสียงคนในทริปตะโกนด้วยความดีใจ Wifi มาแล้วๆๆๆ เท่านั้นเอง ช้านก็ปล่อยวางทุกสิ่ง กระโดดเข้าไปคว้ามือถือรีบดู feed ทันที ต่อมเผือกทำงาน อยากรู้เรื่องชาวบ้านเขาไปทั่ว
พอก่อนวันนี้ ขอเวลาปรับตัวอีกนิด พรุ่งนี้จะมาเล่าต่อ แล้วเจอกันที่ Nubra Valley. เริ่มเข้าสู่โหมดผจญภัยเต็มตัว วันนี้ให้พักก่อนชิวว์ๆ พรุ่งนี้ห้ามพลาด หัวสั่นหัวคลอนเลยทีเดียว
ขออภัยทุกๆท่าน มือใหม่หัดรีวิว หากมีข้อผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณที่นี้ด้วยค่า
Jenny the Journey... around the world
Well, see you soon
ชอบ quote นี้มาก ขอยืมมาแปะหน่อยค่า
ติดตาม
ติดตาม
ตอน 1 :
https://ppantip.com/topic/37391318
ตอน 2.1 :
https://ppantip.com/topic/37397160
ตอน 2.2 :
https://ppantip.com/topic/37400675
ตอน 3 :
https://ppantip.com/topic/37404714
[CR] รีวิว เลห์ ลาดัก อินเดียที่รัก Ladakh I'm fall in love ไม่ไปคือพลาดนะจ๊ะ (Aug 2017) ตอน 1
เสียงลือเสียงเล่าอ้างหนาหูว่าที่ เลห์ ลาดักห์นั้นสวยมากๆ ได้ยินครั้งแรกก็ไม่อยากเชื่อ อินเดียเนี่ยนะสวย แต่พอได้ดูรูปจากคนที่ไปมา อดอุทานไมได้ เออสวยว่ะ ทำไมสวยอ่ะ ไม่ได้การงานนี้ต้องพิสูจน์ด้วยตาเท่านั้น จัดแจงหาเพื่อนร่วมชะตากรรม พร้อมจองตั๋วทั้งไปกลับ ครั้งนี้ใช้บริการการบินไทยและ domestic Vistara ของอินเดีย
อากาศที่นี่ถือว่าโหดไม่แพ้ใคร โชคดีที่ช่วงที่ไปเป็นช่วงฟ้าเปิด อากาศไม่หนาวมาก แต่โดยปกติฤดูหนาวที่นี่กินเวลา 7-8 เดือนทีเดียว หนาวที่ว่าถือว่าหนาววววสุดๆ หิมะตกหนัก ถนนหลายสายปิดตายเดินทางไม่ได้ การท่องเที่ยวต้องหยุดชะงัก ดังนั้นใครวางแผนจะไปเที่ยวควรดูช่วงเวลาให้ดี ร้านค้า ที่พักหลายแห่งก็ปิดเช่นเดียวกันในฤดูหนาว คนพื้นที่บางคนยังต้องอพยพย้ายไปอยู่ถิ่นอื่นเพราะบอกว่าดำรงชีวิตยากมาก เพาะปลูกก็ไม่ได้ เดินทางก็ลำบาก ฟังแล้วรู้สึกดีใจ เกิดในประเทศไทยแสนสุขยิ่งนัก
Day 1 @ Delhi-Leh
เราใช้เวลา 4 ชมโดยประมาณ(ไม่รวมการบินไทยที่ชอบ Delay ไปอีก 1 ชม) ถึงสนามบินอินทิราคานธี เมืองนิวเดลี เราต่อ Domestic flight ไปเมือง Leh ด้วยสายการบิน VISTARA ซึ่งอยู่ Terminal 3 ที่เดียวกัน จึงเบาใจไปได้เปราะนึง เพราะหากใครต่อคนละ Terminal ควรเผื่อเวลาให้ดี อย่างน้อย 3 ชม เพราะกว่าจะผ่านตม กว่าจะตรวจกระเป๋า โน่น นี่นั่น ปาเข้าไปไม่ต่ำกว่า 2 ชม แถมถ้าอยู่คนละ Terminal จำเป็นต้องต่อ Bus ซึ่งนานๆจะมีรถมาที ต้องทำใจไว้เลย ถ้าจะให้ดีอย่าให้ตกเครื่องจะดีที่สุด เพราะซื้อตั๋วใหม่แพงหูฉี่เลยนะคะ
Facebook fan page : https://www.facebook.com/jennythejourney.world//
Well, see you soon
ชอบ quote นี้มาก ขอยืมมาแปะหน่อยค่า
ติดตาม
ติดตาม
ตอน 1 : https://ppantip.com/topic/37391318
ตอน 2.1 : https://ppantip.com/topic/37397160
ตอน 2.2 : https://ppantip.com/topic/37400675
ตอน 3 :https://ppantip.com/topic/37404714