เรื่องสั้นเรื่องนี้มาแนวไหนหนอ สืบสวน ? ฆาตกรรม ? ความรัก ?
แต่แค่เห็นชื่อก็สะดุดตาแล้ว
มาอ่านกันครับ แล้วหาตัวคนเขียนดูเด้อ....
คุณยายนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงพยาบาล ร่างกายผ่ายผอม ตาทั้งสองข้างปิดสนิท ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มเสมอยามเมื่อได้พบญาติมิตรลูกหลานกลับเรียบเฉยไม่รับรู้ถึงการมาชุมนุมกันของทุกคนที่นี่
เส้นกราฟบนหน้าจอดีดตัวเป็นยอดแหลมถี่น้อยลงไปเรื่อยๆ ตัวเลขบนนั้นค่อยๆ ลดลงเป็นลำดับ จังหวะกระเพื่อมของหน้าอกทิ้งช่วงห่างจนกลายเป็นนานๆ ครั้ง ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ ไม่แม้แต่จะขยับตัวหรือแสดงสีหน้าแปลกปลอมอื่นใด ความเงียบเข้ากลืนกินจนเสียง ‘ตี๊ด ตี๊ด’ ที่ดังมาจากเครื่องนั้นดังลั่นไปทั้งห้อง
และในที่สุด ทุกอย่างก็หยุดนิ่งลงไป เส้นกราฟราบเรียบ ตัวเลขลดลงเหลือศูนย์ รวมถึงลมหายใจของคุณยาย
“มากราบลายายเสียสิ ลูก”
ความสงบเงียบเมื่อสักครู่กลับแปรเปลี่ยนคล้ายเกิดจราจล บางคนเดินออกจากห้องไป บางคนทรุดตัวลงกอดร่างบนเตียง เสียงสะอื้นไห้แทบขาดใจดังระงมอย่างไม่นึกอายใคร ผมเดินไปกราบคุณยายที่ปลายเท้าตามที่แม่บอก ไม่เข้าใจว่าทำไมยายถึงไม่ตื่นเสียทีทั้งๆ ที่เสียงเอะอะขนาดนี้
ไม่รู้ว่าเป็นตอนไหนที่ชายชุดดำคนนั้นปรากฏตัวขึ้น หมวกที่เขาสวมถูกกดลงต่ำจนทำให้เห็นใบหน้านั้นได้ไม่ถนัดนัก เขายืนอย่างสงบนิ่งห่างจากปลายเตียงไปเล็กน้อย ทุกคนเดินผ่านเขาไปมาราวกับชายคนนั้นไม่มีตัวตนอยู่
และชั่วครู่ต่อจากนั้นร่างโปร่งแสงของคุณยายก็ลุกขึ้นมา ก่อนที่ท่านจะเดินตามชายชุดดำแปลกหน้าคนนั้นไป
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ไม่แน่ใจว่ามาจากความรู้สึกใด จู่ๆ ใจก็เต้นแรง ร่างกายร้อนผ่าวไปหมด ทั้งหมดบอกว่ายายที่รักสุดหัวใจกำลังจะจากไป และจะไม่กลับมาอีกแล้ว พอรู้ตัวอีกทีน้ำตาก็ไหลออกมา พร้อมกับเสียงสะอื้นไห้แทบขาดใจ
“ยาย อย่าไป”
ท่านหันกลับมามองหน่อยหนึ่ง ยิ้มอย่างอารีย์เช่นเคยก่อนจะหันกลับไป ชายชุดดำดันหมวกที่สวมอยู่ให้สูงขึ้น ดวงตาดำมืดจ้องมองมา รอยยิ้มที่ไม่ทราบความหมายปรากฏขึ้นที่มุมปากนั้น ก่อนที่ทั้งคู่จะซีดจางจนเลือนหายไปต่อหน้าต่อตา
ไม่ว่าที่ไหนก็มีคนตาย...
โรงพยาบาลแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนาน เป็นสถานที่ซึ่งก้าวข้ามผ่านกาลเวลามาหลายชั่วอายุคน เจ็บไข้ได้ป่วย เวียนว่ายตายเกิด หลายสิ่งหลายอย่าง หลากหลายเรื่องราวเกิดขึ้นที่นี่
ชีวิตใหม่หลายชีวิตถือกำเนิดขึ้น ในขณะเดียวกันที่ชีวิตจำนวนไม่ต่างกันซึ่งเดินทางเข้ามาสามารถกลับออกไปได้เพียงดวงวิญญาณ
ในช่วงชีวิตของคนหนึ่งคน หากบุคคลผู้นั้นก่อกรรมดีไว้มากเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ในชั่วขณะก่อนที่วิญญาณจะได้รับอิสระจากร่างกาย มโนภาพสุดท้ายจะมีแต่สิ่งดีๆ ปรากฏขึ้นมาให้ได้เห็น ดวงจิตสุดท้ายที่อยู่ระหว่างเส้นแบ่งของสองโลกจึงสงบและบริสุทธิ์ และนั่นทำให้สถานที่ใหม่ที่เขาผู้นั้นกำลังจะเดินทางไปเป็นภพภูมิที่ดี
ส่วนใครก็ตามที่ตลอดชีวิตก่อไว้แต่กรรมชั่ว เขาผู้นั้นคงไขว่คว้าหาสิ่งดีๆ ในมโนภาพสุดท้ายไม่ได้ ดวงจิตในชั่วขณะนั้นจึงเต็มไปด้วยความสับสนหม่นหมอง และนั่นก็เป็นตัวกำหนดภพภูมิที่เขาจะต้องเดินทางไปเช่นกัน
ทว่าก็ยังมีดวงจิตที่ยังไม่ไปไหน...
ดวงจิตเหล่านั้นยังคงยึดติดอยู่กับอะไรบางอย่าง พลังงานที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดจะยังคงรักษารูปร่างสุดท้ายไว้ด้วยการซึมซับเอาพลังงานรอบข้างไว้กับตัวและปรากฏให้ใครต่อใครได้เห็น พวกเขาไม่อาจไปไหนได้ และวนเวียนอยู่ในโลกใบนี้ไปอีกนานแสนนาน
อาทิตย์ใกล้อัสดง ผมยืนอยู่หน้าประตูรั้วโรงพยาบาล...
ในอดีตแห่งความทรงจำอันไกลโพ้น ที่นี่เป็นเพียงอาคารหลังเล็กซึ่งมีเตียงผู้ป่วยอยู่ไม่กี่เตียง ตึกสีขาวทั้งหลังตั้งตระหง่านโดดเด่นแปลกแยกออกจากพื้นที่ว่างเปล่ารกร้างและชุมชนโดยรอบราวกับมันเป็นสถาปัตยกรรมจากต่างดาวก็ไม่ปาน
แม่น้ำสายหลักของชุมชนไหลลัดเลาะคดเคี้ยวอ้อมผ่านพื้นที่ด้านหลังซึ่งเป็นเส้นทางสัญจรหลักในสมัยนั้นหอบพัดเอาความเย็นสบายให้ติดตามมันมาด้วย ศาลาริมน้ำที่ปลูกไว้จึงกลายเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจให้กับคนไข้และผู้มาเยือนไปโดยปริยายสมกับที่ถูกเรียกว่าสถานพยาบาล
แน่นอนว่าไม่มีอะไรสามารถหยุดยั้งกาลเวลาได้ แม้จะไม่ต้องการมากขนาดไหน แต่เวลาก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปเสมอ
คนมากขึ้น ผู้มาใช้บริการสถานพยาบาลก็ย่อมมากขึ้นตามไปด้วย อาคารเก่าถูกรื้อถอน พื้นที่ที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ถูกนำมาใช้ อาคารสูงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดอย่างรวดเร็วจนเต็มพื้นที่รกร้าง ศาลาริมน้ำที่เคยโดดเดี่ยวก็กลับมีศูนย์อาหารอยู่เป็นเพื่อน บรรยากาศเงียบสงบวังเวงกลับกลายเป็นพลุกพล่านไปด้วยผู้คนและรถรา
แต่ไม่ว่าเวลาจะทำให้สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน ทว่าการเวียนว่ายตายเกิดเป็นสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน คนเกิดมากขึ้น คนตายก็ย่อมมากขึ้นตามไปด้วย เช่นนั้นแล้ว ดวงจิตที่ยังไม่ยอมไปไหนก็ย่อมต้องเป็นเช่นเดียวกัน
ตุ้บ
ร่างของใครคนหนึ่งทิ้งตัวลงมาจากชั้นดาดฟ้าของอาคารหลังหนึ่ง ของเหลวสีแดงฉานกระจายออกจากศีรษะที่แยกออกเป็นสองส่วนราวลูกแตกโมถูกผ่าเปราะเต็มพื้นถนน เจ้าของร่างชักกระตุกสองสามครั้งก่อนจะแน่นิ่งไป
ทว่าไม่ทันไร ร่างรุ่งริ่งนั้นก็ดีดตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะพาตัวเองไปนั่งอยู่ตรงม้านั่งหน้าอาคารที่เขาเพิ่งกระโดดลงมา แขนขาที่บิดเสียรูปค่อยๆ คืนสภาพ หัวที่แยกออกเป็นสองเสี่ยงค่อยๆ ประกอบกันและประสานกลับเป็นดังเดิม
ผมหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร่างนั้น สายตาของเขามองผ่านผมไปยังดาดฟ้าเดิมราวกับเขาไม่เห็นหรือไม่ได้ใส่ใจเลยว่าตรงนี้มีผมยืนอยู่ เงียบเชียบและเดียวดาย ในดวงตาเวิ้งว้างว่างเปล่านั้นอัดแน่นไปด้วยความหวาดหวั่น
ตอนนี้เขากำลังรอ รอเวลาที่จะต้องเดินขึ้นไปและดิ่งตัวลงมาอีกครั้ง...และอีกครั้ง อย่างไม่รู้ว่าจะจบสิ้นเมื่อใด คงอีกนานกว่าที่เขาจะพ้นจากทุกข์ทรมานในครั้งนี้ อย่างน้อยก็จนกว่าเรื่องที่ยังคั่งค้างในใจจะได้รับการสะสางให้เรียบร้อย
ผมเดินไปตามถนนสายหลักอ้อมอาคารรับผู้ป่วยฉุกเฉินซึ่งปลูกอยู่กึ่งกลางพื้นที่ของโรงพยาบาลไป ลมเย็นเอื่อยจากแม่น้ำที่พัดมาทำให้ใบไม้ใบหญ้าบริเวณนั้นได้ชูคอไหวเอนอย่างเริงร่า
ที่ศาลาริมน้ำมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ ผมยาวไปจนถึงกลางหลังดูกระเซอะกระเซิงคล้ายกับว่ามันไม่เคยสัมผัสถูกหวีมานานแล้ว ใบหน้าซูบผอม แขนขาเล็กลีบจนเห็นกระดูก สายตาเหม่อลอยดั่งคนอยู่ในภวังค์
ชั่วครู่หนึ่งใบหน้านิ่งก็หัวเราะออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ชั่วครู่ต่อมาก็กลับร้องไห้ราวเสียใจเหลือกำลัง และฉับพลันนั้นเธอก็คว้าใบมีดโกนมาจากที่ไหนสักแห่ง ก่อนจะเฉือนมันซ้ำๆ ลงไปบนข้อมือ
ใบมีดคมเฉือนเนื้อหนังตัดเส้นเลือดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไม่เหลือชิ้นดี เลือดพุ่งกระจายออกมาจากรอยเปิดเหมือนก๊อกน้ำแตก แทนที่จะเจ็บปวด เธอกลับหัวเราะราวกับเป็นเรื่องขบขัน และหลังจากนั้นก็กระโดดลงน้ำไป
เลือดที่ไหลออกมาจากข้อมืออาบย้อมผืนน้ำบริเวณนั้นจนเป็นสีแดง ก่อนที่สีแดงนั้นจะถูกเจือจางและพัดพาให้จางหายไป เมื่อทุกอย่างสงบลง เธอก็โผล่ขึ้นมา มือเกาะยึดเหนี่ยวท่าน้ำไว้และยันกายให้กลับมานั่งที่ท่าน้ำอีกครั้ง
บนหลังคาอาคารสุขนิรันดร์หรืออาคารดับจิตที่ใครๆ รู้จักทางซ้ายมือฝั่งตรงข้ามกับท่าน้ำมีร่างเปลือยเปล่าของชายคนหนึ่งนั่งอยู่ ร่างกายซีดขาวเปราะเปื้อนไปด้วยเลือดที่เกิดจากรอยฉีกขาดทั่วร่าง
รอยแผลที่เห็นน่าจะเกิดจากอุบัติเหตุบนท้องถนน เทคโนโลยีและนวัตกรรมในโลกปัจจุบันทำให้คนเราสะดวกสบายขึ้น แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เราเข้าใกล้ความตายมากขึ้นไปเช่นเดียวกัน
ชีวิตนั้นช่างเปราะบางและพร้อมจะแตกสลายไปได้อย่างง่ายดาย เวลาที่ใช้ทะนุถนอมฟูมฟักคนๆ หนึ่งจนเติบใหญ่นั้นยาวนาน แต่เวลาที่ใช้ทำลายชีวิตนั้นกลับแสนสั้นจนบางครั้งก็เป็นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
เขาแสดงสีหน้าแปลกใจที่เห็นผมสบตาด้วย แต่หลังจากนั้นเขาก็ฉีกยิ้มกว้างตั้งแต่ใบหูอีกขึ้นหนึ่งจนถึงใบหูอีกข้างหนึ่งมาให้ คล้ายๆ กับเขาพยายามจะกล่าวทักทาย แต่สิ่งที่หลุดออกมาจากปากมีเพียงเลือดสีดำเท่านั้น
เดินต่อมาในตัวอาคาร เอื้อมมือกดเรียกลิฟต์จากชั้นบน เสียงเครื่องจักรทำงานดังแว่วมาจากในนั้น ก่อนที่เสียง ‘ติ๊ง’ จะดังขึ้นพร้อมๆ กับประตูลิฟต์เปิดออก ในนั้นมีผู้โดยสารจากชั้นบนยืนอยู่ก่อนแล้ว เขายืนก้มหน้านิ่งไม่มีทีท่าว่าจะเดินออกมาจากในนั้น ทั้งๆ ที่ชั้นนี้เป็นปลายทางของชั้นบนแล้ว
ผมเดินเข้าไปร่วมโดยสาร กดหมายเลขชั้นที่หมาย ถอยตัวเองให้อยู่ในส่วนลึกที่สุดของห้องโดยสาร เครื่องจักรทำงานพาพวกเราตรงดิ่งขึ้นไปสู่ชั้นบนของอาคาร ในขณะนั้น ผู้โดยสารที่ไม่ธรรมดาคนนั้นก็ดึงปืนที่เหน็บอยู่บริเวณเอวออกมา
เขาจ่อมันไปที่ขมับของตนเอง และ...
ปัง
กลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจายคละคลุ้งไปทั่ว เลือดกระเซ็นออกตามแรงเจาะย้อมไปทั่วห้องโดยสาร ลิ่มข้มไหลทะลักออกจากรอยคมกระสุน เขาหันกลับมาสบตากับผม ไม่แน่ใจว่าใบหน้านั้นกำลังยิ้มหรือร้องไห้ หรือว่าเขาอาจต้องการจะบอกว่าอยากหลุดพ้นจากความเจ็บปวดซ้ำๆ อย่างนี้แล้วก็เป็นได้
แล้วชายคนนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไป
ติ๊ง...งงง
ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นที่หมาย บรรยากาศแปลกๆ คล้ายหมอกสีดำไหลทะลักเข้ามาในตัวลิฟต์ ผมเรียกหมอกสีดำนี้ว่า ‘หมอกแห่งความตาย’ หมอกที่นำพาความอึดอัดและชวนสะอิดสะเอียนมาด้วย
ที่ไหนมีคนตาย ที่นั่นมักจะมีคนเสียใจเศร้าหมอง และความเสียใจเศร้าหมองนั้นก็ทำให้เกิดบรรยากาศทะมึนหดหู่ โดยเฉพาะสถานที่ที่มีคนตายอยู่บ่อยๆ ทุกเมื่อเชื่อวันอย่างเช่น วัดหรือโรงพยาบาลด้วยแล้วล่ะก็ บรรยากาศแบบนั้นจะมีมากกว่าที่อื่นหลายสิบหลายร้อยเท่าทีเดียว
หมอกสีดำเกิดขึ้นมาจากสาเหตุนั้น ความรู้สึกทางลบเหล่านั้นที่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันสะสมเข้มข้นมากขึ้นจนกลายเป็นหมอกสีดำที่สร้างความรู้สึกอึดอัดหดหู่ให้กับผู้ที่สัมผัสมันได้
บนนี้เต็มไปด้วยผู้ล่วงลับที่ยังไม่ไปไหน พวกเขาเดินขวักไขว่ปะปนไปกับผู้ที่ยังมีลมหายใจเพียงแต่ไม่อาจสัมผัสและรับรู้ถึงกันได้เท่านั้น บางดวงวิญญาณหันมามองและพยายามสื่อสารกับผม บางดวงวิญญาณก็ทำท่าทางแปลกๆ ให้ได้เห็น
ผมแสร้งทำเป็นไม่สนใจ เดินต่อไปจนถึงห้องผู้ป่วยเดี่ยวด้านในสุดของทางเดิน สำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง ขยับชุดสูทและเนคไทสีดำสนิทให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะเดินแทรกผ่านบานประตูเข้าไปด้านใน
ยายคนหนึ่งนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงพยาบาล ผมสั้นสีดอกเลาเสมอกันทั่วทั้งศีรษะ ร่างกายผ่ายผอมขาวซีดดูไร้เรี่ยวแรง เปลือกตาทั้งสองข้างปิดสนิทไม่รับรู้ว่ารอบกายในขณะนี้เต็มไปด้วยญาติสนิทมิตรสหาย
ความถี่ของเส้นกราฟและตัวเลขบนหน้าจอค่อยๆ ลดน้อยลง จังหวะหายใจทิ้งช่วงนานขึ้นเป็นลำดับ แม้จะเต็มไปด้วยผู้คน แต่ทั้งห้องกลับเงียบกริบ นอกจากเสียงครางของเครื่องปรับอากาศ และเสียง ‘ตี๊ด’ ของเครื่องตรวจสัญญาณชีวิตแล้วไม่มีเสียงอื่นใดอีก
เด็กน้อยคนหนึ่งยืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ใหญ่ รับรู้ได้ถึงความไม่ปกติในขณะนี้ ทว่ากลับยังไม่เข้าใจว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น มือน้อยๆ นั้นบีบมือผู้เป็นพ่อแน่นคล้ายต้องการความมั่นคงมั่นใจในอะไรบางอย่าง
และทุกอย่างก็หยุดนิ่งลงไป เส้นกราฟชีวิตราบเรียบ อัตราการเต้นของหัวใจกลายเป็นศูนย์ ลมหายใจขาดห้วงจนหยุดลงในที่สุด
เสียงสะอื้นไห้ที่เริ่มจากคนหนึ่งคนกลับลุกลามไปยังทุกคนในห้องราวโรคระบาด แล้วน้ำตาของเด็กน้อยก็ไหลออกมาพร้อมกับเสียงร้องไห้แทบขาดใจ
“ผมมารับแล้วครับ”
ร่างโปร่งแสงลุกขึ้นแยกออกมาจากกายเนื้อ ดวงจิตงดงามเจิดจ้าส่งยิ้มมาให้ก่อนจะเดินตามผมมา
“ยาย อย่าไป”
(ต่ออีกนิดครับ)
💦💧💦 THE WEEKLY GLOVES วีคที่ 8 เรื่องสั้น#14 "ชายชุดดำ" โดย "ถุงมือ สายน้ำไม่ไหลย้อนกลับ" ครับ 💦💧💦
เรื่องสั้นเรื่องนี้มาแนวไหนหนอ สืบสวน ? ฆาตกรรม ? ความรัก ?
แต่แค่เห็นชื่อก็สะดุดตาแล้ว
มาอ่านกันครับ แล้วหาตัวคนเขียนดูเด้อ....
คุณยายนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงพยาบาล ร่างกายผ่ายผอม ตาทั้งสองข้างปิดสนิท ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มเสมอยามเมื่อได้พบญาติมิตรลูกหลานกลับเรียบเฉยไม่รับรู้ถึงการมาชุมนุมกันของทุกคนที่นี่
เส้นกราฟบนหน้าจอดีดตัวเป็นยอดแหลมถี่น้อยลงไปเรื่อยๆ ตัวเลขบนนั้นค่อยๆ ลดลงเป็นลำดับ จังหวะกระเพื่อมของหน้าอกทิ้งช่วงห่างจนกลายเป็นนานๆ ครั้ง ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ ไม่แม้แต่จะขยับตัวหรือแสดงสีหน้าแปลกปลอมอื่นใด ความเงียบเข้ากลืนกินจนเสียง ‘ตี๊ด ตี๊ด’ ที่ดังมาจากเครื่องนั้นดังลั่นไปทั้งห้อง
และในที่สุด ทุกอย่างก็หยุดนิ่งลงไป เส้นกราฟราบเรียบ ตัวเลขลดลงเหลือศูนย์ รวมถึงลมหายใจของคุณยาย
“มากราบลายายเสียสิ ลูก”
ความสงบเงียบเมื่อสักครู่กลับแปรเปลี่ยนคล้ายเกิดจราจล บางคนเดินออกจากห้องไป บางคนทรุดตัวลงกอดร่างบนเตียง เสียงสะอื้นไห้แทบขาดใจดังระงมอย่างไม่นึกอายใคร ผมเดินไปกราบคุณยายที่ปลายเท้าตามที่แม่บอก ไม่เข้าใจว่าทำไมยายถึงไม่ตื่นเสียทีทั้งๆ ที่เสียงเอะอะขนาดนี้
ไม่รู้ว่าเป็นตอนไหนที่ชายชุดดำคนนั้นปรากฏตัวขึ้น หมวกที่เขาสวมถูกกดลงต่ำจนทำให้เห็นใบหน้านั้นได้ไม่ถนัดนัก เขายืนอย่างสงบนิ่งห่างจากปลายเตียงไปเล็กน้อย ทุกคนเดินผ่านเขาไปมาราวกับชายคนนั้นไม่มีตัวตนอยู่
และชั่วครู่ต่อจากนั้นร่างโปร่งแสงของคุณยายก็ลุกขึ้นมา ก่อนที่ท่านจะเดินตามชายชุดดำแปลกหน้าคนนั้นไป
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ไม่แน่ใจว่ามาจากความรู้สึกใด จู่ๆ ใจก็เต้นแรง ร่างกายร้อนผ่าวไปหมด ทั้งหมดบอกว่ายายที่รักสุดหัวใจกำลังจะจากไป และจะไม่กลับมาอีกแล้ว พอรู้ตัวอีกทีน้ำตาก็ไหลออกมา พร้อมกับเสียงสะอื้นไห้แทบขาดใจ
“ยาย อย่าไป”
ท่านหันกลับมามองหน่อยหนึ่ง ยิ้มอย่างอารีย์เช่นเคยก่อนจะหันกลับไป ชายชุดดำดันหมวกที่สวมอยู่ให้สูงขึ้น ดวงตาดำมืดจ้องมองมา รอยยิ้มที่ไม่ทราบความหมายปรากฏขึ้นที่มุมปากนั้น ก่อนที่ทั้งคู่จะซีดจางจนเลือนหายไปต่อหน้าต่อตา
ไม่ว่าที่ไหนก็มีคนตาย...
โรงพยาบาลแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนาน เป็นสถานที่ซึ่งก้าวข้ามผ่านกาลเวลามาหลายชั่วอายุคน เจ็บไข้ได้ป่วย เวียนว่ายตายเกิด หลายสิ่งหลายอย่าง หลากหลายเรื่องราวเกิดขึ้นที่นี่
ชีวิตใหม่หลายชีวิตถือกำเนิดขึ้น ในขณะเดียวกันที่ชีวิตจำนวนไม่ต่างกันซึ่งเดินทางเข้ามาสามารถกลับออกไปได้เพียงดวงวิญญาณ
ในช่วงชีวิตของคนหนึ่งคน หากบุคคลผู้นั้นก่อกรรมดีไว้มากเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ในชั่วขณะก่อนที่วิญญาณจะได้รับอิสระจากร่างกาย มโนภาพสุดท้ายจะมีแต่สิ่งดีๆ ปรากฏขึ้นมาให้ได้เห็น ดวงจิตสุดท้ายที่อยู่ระหว่างเส้นแบ่งของสองโลกจึงสงบและบริสุทธิ์ และนั่นทำให้สถานที่ใหม่ที่เขาผู้นั้นกำลังจะเดินทางไปเป็นภพภูมิที่ดี
ส่วนใครก็ตามที่ตลอดชีวิตก่อไว้แต่กรรมชั่ว เขาผู้นั้นคงไขว่คว้าหาสิ่งดีๆ ในมโนภาพสุดท้ายไม่ได้ ดวงจิตในชั่วขณะนั้นจึงเต็มไปด้วยความสับสนหม่นหมอง และนั่นก็เป็นตัวกำหนดภพภูมิที่เขาจะต้องเดินทางไปเช่นกัน
ทว่าก็ยังมีดวงจิตที่ยังไม่ไปไหน...
ดวงจิตเหล่านั้นยังคงยึดติดอยู่กับอะไรบางอย่าง พลังงานที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดจะยังคงรักษารูปร่างสุดท้ายไว้ด้วยการซึมซับเอาพลังงานรอบข้างไว้กับตัวและปรากฏให้ใครต่อใครได้เห็น พวกเขาไม่อาจไปไหนได้ และวนเวียนอยู่ในโลกใบนี้ไปอีกนานแสนนาน
อาทิตย์ใกล้อัสดง ผมยืนอยู่หน้าประตูรั้วโรงพยาบาล...
ในอดีตแห่งความทรงจำอันไกลโพ้น ที่นี่เป็นเพียงอาคารหลังเล็กซึ่งมีเตียงผู้ป่วยอยู่ไม่กี่เตียง ตึกสีขาวทั้งหลังตั้งตระหง่านโดดเด่นแปลกแยกออกจากพื้นที่ว่างเปล่ารกร้างและชุมชนโดยรอบราวกับมันเป็นสถาปัตยกรรมจากต่างดาวก็ไม่ปาน
แม่น้ำสายหลักของชุมชนไหลลัดเลาะคดเคี้ยวอ้อมผ่านพื้นที่ด้านหลังซึ่งเป็นเส้นทางสัญจรหลักในสมัยนั้นหอบพัดเอาความเย็นสบายให้ติดตามมันมาด้วย ศาลาริมน้ำที่ปลูกไว้จึงกลายเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจให้กับคนไข้และผู้มาเยือนไปโดยปริยายสมกับที่ถูกเรียกว่าสถานพยาบาล
แน่นอนว่าไม่มีอะไรสามารถหยุดยั้งกาลเวลาได้ แม้จะไม่ต้องการมากขนาดไหน แต่เวลาก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปเสมอ
คนมากขึ้น ผู้มาใช้บริการสถานพยาบาลก็ย่อมมากขึ้นตามไปด้วย อาคารเก่าถูกรื้อถอน พื้นที่ที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ถูกนำมาใช้ อาคารสูงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดอย่างรวดเร็วจนเต็มพื้นที่รกร้าง ศาลาริมน้ำที่เคยโดดเดี่ยวก็กลับมีศูนย์อาหารอยู่เป็นเพื่อน บรรยากาศเงียบสงบวังเวงกลับกลายเป็นพลุกพล่านไปด้วยผู้คนและรถรา
แต่ไม่ว่าเวลาจะทำให้สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน ทว่าการเวียนว่ายตายเกิดเป็นสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน คนเกิดมากขึ้น คนตายก็ย่อมมากขึ้นตามไปด้วย เช่นนั้นแล้ว ดวงจิตที่ยังไม่ยอมไปไหนก็ย่อมต้องเป็นเช่นเดียวกัน
ตุ้บ
ร่างของใครคนหนึ่งทิ้งตัวลงมาจากชั้นดาดฟ้าของอาคารหลังหนึ่ง ของเหลวสีแดงฉานกระจายออกจากศีรษะที่แยกออกเป็นสองส่วนราวลูกแตกโมถูกผ่าเปราะเต็มพื้นถนน เจ้าของร่างชักกระตุกสองสามครั้งก่อนจะแน่นิ่งไป
ทว่าไม่ทันไร ร่างรุ่งริ่งนั้นก็ดีดตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะพาตัวเองไปนั่งอยู่ตรงม้านั่งหน้าอาคารที่เขาเพิ่งกระโดดลงมา แขนขาที่บิดเสียรูปค่อยๆ คืนสภาพ หัวที่แยกออกเป็นสองเสี่ยงค่อยๆ ประกอบกันและประสานกลับเป็นดังเดิม
ผมหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร่างนั้น สายตาของเขามองผ่านผมไปยังดาดฟ้าเดิมราวกับเขาไม่เห็นหรือไม่ได้ใส่ใจเลยว่าตรงนี้มีผมยืนอยู่ เงียบเชียบและเดียวดาย ในดวงตาเวิ้งว้างว่างเปล่านั้นอัดแน่นไปด้วยความหวาดหวั่น
ตอนนี้เขากำลังรอ รอเวลาที่จะต้องเดินขึ้นไปและดิ่งตัวลงมาอีกครั้ง...และอีกครั้ง อย่างไม่รู้ว่าจะจบสิ้นเมื่อใด คงอีกนานกว่าที่เขาจะพ้นจากทุกข์ทรมานในครั้งนี้ อย่างน้อยก็จนกว่าเรื่องที่ยังคั่งค้างในใจจะได้รับการสะสางให้เรียบร้อย
ผมเดินไปตามถนนสายหลักอ้อมอาคารรับผู้ป่วยฉุกเฉินซึ่งปลูกอยู่กึ่งกลางพื้นที่ของโรงพยาบาลไป ลมเย็นเอื่อยจากแม่น้ำที่พัดมาทำให้ใบไม้ใบหญ้าบริเวณนั้นได้ชูคอไหวเอนอย่างเริงร่า
ที่ศาลาริมน้ำมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ ผมยาวไปจนถึงกลางหลังดูกระเซอะกระเซิงคล้ายกับว่ามันไม่เคยสัมผัสถูกหวีมานานแล้ว ใบหน้าซูบผอม แขนขาเล็กลีบจนเห็นกระดูก สายตาเหม่อลอยดั่งคนอยู่ในภวังค์
ชั่วครู่หนึ่งใบหน้านิ่งก็หัวเราะออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ชั่วครู่ต่อมาก็กลับร้องไห้ราวเสียใจเหลือกำลัง และฉับพลันนั้นเธอก็คว้าใบมีดโกนมาจากที่ไหนสักแห่ง ก่อนจะเฉือนมันซ้ำๆ ลงไปบนข้อมือ
ใบมีดคมเฉือนเนื้อหนังตัดเส้นเลือดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไม่เหลือชิ้นดี เลือดพุ่งกระจายออกมาจากรอยเปิดเหมือนก๊อกน้ำแตก แทนที่จะเจ็บปวด เธอกลับหัวเราะราวกับเป็นเรื่องขบขัน และหลังจากนั้นก็กระโดดลงน้ำไป
เลือดที่ไหลออกมาจากข้อมืออาบย้อมผืนน้ำบริเวณนั้นจนเป็นสีแดง ก่อนที่สีแดงนั้นจะถูกเจือจางและพัดพาให้จางหายไป เมื่อทุกอย่างสงบลง เธอก็โผล่ขึ้นมา มือเกาะยึดเหนี่ยวท่าน้ำไว้และยันกายให้กลับมานั่งที่ท่าน้ำอีกครั้ง
บนหลังคาอาคารสุขนิรันดร์หรืออาคารดับจิตที่ใครๆ รู้จักทางซ้ายมือฝั่งตรงข้ามกับท่าน้ำมีร่างเปลือยเปล่าของชายคนหนึ่งนั่งอยู่ ร่างกายซีดขาวเปราะเปื้อนไปด้วยเลือดที่เกิดจากรอยฉีกขาดทั่วร่าง
รอยแผลที่เห็นน่าจะเกิดจากอุบัติเหตุบนท้องถนน เทคโนโลยีและนวัตกรรมในโลกปัจจุบันทำให้คนเราสะดวกสบายขึ้น แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เราเข้าใกล้ความตายมากขึ้นไปเช่นเดียวกัน
ชีวิตนั้นช่างเปราะบางและพร้อมจะแตกสลายไปได้อย่างง่ายดาย เวลาที่ใช้ทะนุถนอมฟูมฟักคนๆ หนึ่งจนเติบใหญ่นั้นยาวนาน แต่เวลาที่ใช้ทำลายชีวิตนั้นกลับแสนสั้นจนบางครั้งก็เป็นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
เขาแสดงสีหน้าแปลกใจที่เห็นผมสบตาด้วย แต่หลังจากนั้นเขาก็ฉีกยิ้มกว้างตั้งแต่ใบหูอีกขึ้นหนึ่งจนถึงใบหูอีกข้างหนึ่งมาให้ คล้ายๆ กับเขาพยายามจะกล่าวทักทาย แต่สิ่งที่หลุดออกมาจากปากมีเพียงเลือดสีดำเท่านั้น
เดินต่อมาในตัวอาคาร เอื้อมมือกดเรียกลิฟต์จากชั้นบน เสียงเครื่องจักรทำงานดังแว่วมาจากในนั้น ก่อนที่เสียง ‘ติ๊ง’ จะดังขึ้นพร้อมๆ กับประตูลิฟต์เปิดออก ในนั้นมีผู้โดยสารจากชั้นบนยืนอยู่ก่อนแล้ว เขายืนก้มหน้านิ่งไม่มีทีท่าว่าจะเดินออกมาจากในนั้น ทั้งๆ ที่ชั้นนี้เป็นปลายทางของชั้นบนแล้ว
ผมเดินเข้าไปร่วมโดยสาร กดหมายเลขชั้นที่หมาย ถอยตัวเองให้อยู่ในส่วนลึกที่สุดของห้องโดยสาร เครื่องจักรทำงานพาพวกเราตรงดิ่งขึ้นไปสู่ชั้นบนของอาคาร ในขณะนั้น ผู้โดยสารที่ไม่ธรรมดาคนนั้นก็ดึงปืนที่เหน็บอยู่บริเวณเอวออกมา
เขาจ่อมันไปที่ขมับของตนเอง และ...
ปัง
กลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจายคละคลุ้งไปทั่ว เลือดกระเซ็นออกตามแรงเจาะย้อมไปทั่วห้องโดยสาร ลิ่มข้มไหลทะลักออกจากรอยคมกระสุน เขาหันกลับมาสบตากับผม ไม่แน่ใจว่าใบหน้านั้นกำลังยิ้มหรือร้องไห้ หรือว่าเขาอาจต้องการจะบอกว่าอยากหลุดพ้นจากความเจ็บปวดซ้ำๆ อย่างนี้แล้วก็เป็นได้
แล้วชายคนนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไป
ติ๊ง...งงง
ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นที่หมาย บรรยากาศแปลกๆ คล้ายหมอกสีดำไหลทะลักเข้ามาในตัวลิฟต์ ผมเรียกหมอกสีดำนี้ว่า ‘หมอกแห่งความตาย’ หมอกที่นำพาความอึดอัดและชวนสะอิดสะเอียนมาด้วย
ที่ไหนมีคนตาย ที่นั่นมักจะมีคนเสียใจเศร้าหมอง และความเสียใจเศร้าหมองนั้นก็ทำให้เกิดบรรยากาศทะมึนหดหู่ โดยเฉพาะสถานที่ที่มีคนตายอยู่บ่อยๆ ทุกเมื่อเชื่อวันอย่างเช่น วัดหรือโรงพยาบาลด้วยแล้วล่ะก็ บรรยากาศแบบนั้นจะมีมากกว่าที่อื่นหลายสิบหลายร้อยเท่าทีเดียว
หมอกสีดำเกิดขึ้นมาจากสาเหตุนั้น ความรู้สึกทางลบเหล่านั้นที่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันสะสมเข้มข้นมากขึ้นจนกลายเป็นหมอกสีดำที่สร้างความรู้สึกอึดอัดหดหู่ให้กับผู้ที่สัมผัสมันได้
บนนี้เต็มไปด้วยผู้ล่วงลับที่ยังไม่ไปไหน พวกเขาเดินขวักไขว่ปะปนไปกับผู้ที่ยังมีลมหายใจเพียงแต่ไม่อาจสัมผัสและรับรู้ถึงกันได้เท่านั้น บางดวงวิญญาณหันมามองและพยายามสื่อสารกับผม บางดวงวิญญาณก็ทำท่าทางแปลกๆ ให้ได้เห็น
ผมแสร้งทำเป็นไม่สนใจ เดินต่อไปจนถึงห้องผู้ป่วยเดี่ยวด้านในสุดของทางเดิน สำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง ขยับชุดสูทและเนคไทสีดำสนิทให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะเดินแทรกผ่านบานประตูเข้าไปด้านใน
ยายคนหนึ่งนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงพยาบาล ผมสั้นสีดอกเลาเสมอกันทั่วทั้งศีรษะ ร่างกายผ่ายผอมขาวซีดดูไร้เรี่ยวแรง เปลือกตาทั้งสองข้างปิดสนิทไม่รับรู้ว่ารอบกายในขณะนี้เต็มไปด้วยญาติสนิทมิตรสหาย
ความถี่ของเส้นกราฟและตัวเลขบนหน้าจอค่อยๆ ลดน้อยลง จังหวะหายใจทิ้งช่วงนานขึ้นเป็นลำดับ แม้จะเต็มไปด้วยผู้คน แต่ทั้งห้องกลับเงียบกริบ นอกจากเสียงครางของเครื่องปรับอากาศ และเสียง ‘ตี๊ด’ ของเครื่องตรวจสัญญาณชีวิตแล้วไม่มีเสียงอื่นใดอีก
เด็กน้อยคนหนึ่งยืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ใหญ่ รับรู้ได้ถึงความไม่ปกติในขณะนี้ ทว่ากลับยังไม่เข้าใจว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น มือน้อยๆ นั้นบีบมือผู้เป็นพ่อแน่นคล้ายต้องการความมั่นคงมั่นใจในอะไรบางอย่าง
และทุกอย่างก็หยุดนิ่งลงไป เส้นกราฟชีวิตราบเรียบ อัตราการเต้นของหัวใจกลายเป็นศูนย์ ลมหายใจขาดห้วงจนหยุดลงในที่สุด
เสียงสะอื้นไห้ที่เริ่มจากคนหนึ่งคนกลับลุกลามไปยังทุกคนในห้องราวโรคระบาด แล้วน้ำตาของเด็กน้อยก็ไหลออกมาพร้อมกับเสียงร้องไห้แทบขาดใจ
“ผมมารับแล้วครับ”
ร่างโปร่งแสงลุกขึ้นแยกออกมาจากกายเนื้อ ดวงจิตงดงามเจิดจ้าส่งยิ้มมาให้ก่อนจะเดินตามผมมา
“ยาย อย่าไป”
(ต่ออีกนิดครับ)