.
ถ้าว่ากันด้วยขนบธรรมเนียมของไทยที่นับถือระบบอาวุโส แค่หัวกะทู้ และพิจารณาจากอายุผู้เขียนบทความนี้ก็ดูจะออกแนว เป็นคนไม่มีสัมมาคาราววะทันทีโดยที่ยังไม่ต้องแสดงความเห็นใดๆออกมาเพิ่ม แม้ว่า ตัวผู้เขียนเองก็มีอายุไม่ใช่น้อยแล้ว แต่คนในสังคมไทยที่ยังแก่ว่าตัวผู้เขียนก็ยังมีอีกนับล้านคน ซึ่งถ้าเอาแค่เหตุผลด้านวัยวุฒิเป็นหลักแค่ด้านเดียว ชื่อกะทู้นี้ก็เป็นการ “
ลามปาม” ผู้ใหญ่ไปแล้วจริงๆ
แต่คำว่า “ผู้ใหญ่” ในบทความนี้ไม่ได้มีความหมายแค่เพียงเรื่องวัยวุฒิเพียงด้านเดียว มันยังมีเรื่องอื่นมิติอื่นๆประกอบด้วย ซึ่งในที่นี้คือ “ตำแหน่ง” หรือ ยศถาบรรดาศักดิ์ตามระบบราชการ ที่มีความเป็น”นาย” มีข้าราชการระดับล่างเป็นลูกน้องบริวาร คอยปฏิบัติตามคำสั่ง ซึ่งวิถีปฏิบัติจาก”ผู้ใหญ่”เยี่ยงนี้บางคนนั้น มันถ่วงรั้งการพัฒนาของประเทศชาติ
ซึ่งแน่นอน มันต้องมีเรื่องวัยวุฒิเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ด้วย เพราะระบบราชการไทย ส่วนใหญ่ก็เติบโตขึ้นได้โดยอาศัยอายุราชการเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณา ร่วมกับอีกปัจจัยหนึ่งที่ว่า “เป็นเด็กของผู้ใหญ่ท่านไหน” ด้วย ซึ่งอันหลังจะเป็นแรงพลังผลักดันให้ก้าวกระโดดในตำแหน่งหน้าที่ได้ไกล หากรู้จักเลียผู้ใหญ่ให้ถูกคน และแน่นอนเมื่อวันหนึ่งข้างหน้า ตำแหน่งฐานะทางราชการของใครได้ไปจนอยู่จุดสูงสุดของกรมกอง ก็จะกลายเป็น ผู้ใหญ่รุ่นต่อไป ให้เด็กๆลูกน้องราชการ พากันมาเอาอกเอาใจ เพื่อหวังพึ่งพิงให้นายคนใหม่ผลักดันตัวเอง
ถ้าถามว่า วงจรแบบนี้ คนในภาคส่วนอื่นๆที่ไม่ใช่ข้าราชการไม่รู้หรือ..?
หรือว่ารู้แต่ไม่พูด เพราะว่าวงจรแบบนี้มันก็มีอยู่ในทุกสังคมอยู่ว่า ไม่ว่าจะราชการ หรือ เอกชน หรือแม้กระทั่งมูลนิธิ ที่ตั้งขึ้นโดยไม่หวังผลประโยชน์ ก็หนีวงจรระบอบ ผู้ใหญ่ ครอบการเจริญเติบโตของคนในองค์กรไปได้
ซึ่งถ้าใช่ นั้นก็แปลว่า “ผู้ใหญ่”ตามบริบทของบทความนี้ คือ “ตัวปัญหา” จริงๆ เพราะเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้ระบบอุปถัมภ์ไม่เคยหมดไปจากสังคมไทย
คำถามที่สำคัญ แล้วจะทำยังไงให้ปัญหานี้ทุเลาเบาบางลงล่ะ(เรื่องหมดไปคงไม่มีทางสำหรับประเทศที่ถูกครอบงำกันมายาวนานอย่างประเทศไทย)
คำตอบก็ง่ายๆ คือ ใช้ ระบบประเมินวัดผลที่มีประสิทธิภาพการทำงาน แทนการใช้วิจารณญาณของท่านผู้ใหญ่ ว่าจะปรับเลื่อนตำแหน่งให้ใครในวงสังคมข้าราชการ โดยตั้งเป้าหมายและเปิดระบบวัดผลประเมินผลให้ตัวข้าราชการสามารถตรวจสอบตนเองได้ ว่าในขณะใดขณะหนึ่งนั้น ตนเองทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เพื่อประเมินผลขนาดไหน กำหนดระยะเวลาประเมินผลให้เหมาะสมกับระยะเวลาการทำงาน อาจจะใช้รอบปี และสุดท้ายใครที่ทำผลงานได้ตามเป้าหมายหรือเกินกว่าเป้าหมายที่สุดก็ได้รับตำแหน่งไป ในยามที่ตำแหน่งที่สูงขึ้น ที่ตัวของราชการคนไหนที่ต้องการเลื่อนตำแหน่งขึ้นไปนั้นว่างลง
แน่นอนแต่ละหน่วยงานราชการย่อมมีวิธีวัดเป้าหมายการประเมินผลงานแต่ละตำแหน่งต่างๆกันไป ตามแต่ล่ะหน้าที่ของแต่ละองค์กร ซึ่งก็ปรับให้เหมาะสมกับการทำงานของข้าราชการ ในตำแหน่งหน้าที่ปัจจุบันและที่คาบเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ใหม่ ที่ข้าราชการคนนั้นๆต้องการโปรโมตตัวเองขึ้นไปรับหน้าที่
ใช้กรรมวิธีเยี่ยงนี้ ตัดบรรดา “ผู้ใหญ่” ออกไปในการเลื่อนตำแหน่งข้าราชการ เป็นการเริ่มต้นที่จะได้ฤกษ์เริ่มต้นถอนรากถอนโค่นระบบอุปถัมภ์ออกไปจากวงการผู้มีอำนาจในบ้านเมืองไทย
"
กรรม" นั้นอยู่ที่ ใดกันหนอ
"
ก่อ" การอันใด นั้นใช่ไหม
"
เกิด" ผลส่งต่อ กับผู้ใด
"
เกียรติ" ต่อตนไซร้ ด้วยทำตน
"
ก่อน" จักสิ้นลม ล้มดับหาย
"
กาล" ยังมีให้ พอเริ่มต้น
"
ก้าว" ที่ยังเหลือ เพื่อทำตน
"
เกิน" พอที่คน จะเปลี่ยนกรรม
ป.ล.เขียนยาวก็กลัวโพสต์ไม่ผ่าน เพราะติดด่านผิดกฏหมายและศีลธรรมอันดี เขียนสั้นก็กลัวจะได้ใจความไม่ชัดพอจะสื่อประเด็น
เฮ้อ.....เขียนยากเขียนเย็นจังแหะ
ขอบคุณครับ
นายพระรอง
(บทความ...นายพระรอง)“ผู้ใหญ่”อุปสรรคที่ครอบไทย...ให้ยังติดอยู่กับระบบอุปถัมภ์
ถ้าว่ากันด้วยขนบธรรมเนียมของไทยที่นับถือระบบอาวุโส แค่หัวกะทู้ และพิจารณาจากอายุผู้เขียนบทความนี้ก็ดูจะออกแนว เป็นคนไม่มีสัมมาคาราววะทันทีโดยที่ยังไม่ต้องแสดงความเห็นใดๆออกมาเพิ่ม แม้ว่า ตัวผู้เขียนเองก็มีอายุไม่ใช่น้อยแล้ว แต่คนในสังคมไทยที่ยังแก่ว่าตัวผู้เขียนก็ยังมีอีกนับล้านคน ซึ่งถ้าเอาแค่เหตุผลด้านวัยวุฒิเป็นหลักแค่ด้านเดียว ชื่อกะทู้นี้ก็เป็นการ “ลามปาม” ผู้ใหญ่ไปแล้วจริงๆ
แต่คำว่า “ผู้ใหญ่” ในบทความนี้ไม่ได้มีความหมายแค่เพียงเรื่องวัยวุฒิเพียงด้านเดียว มันยังมีเรื่องอื่นมิติอื่นๆประกอบด้วย ซึ่งในที่นี้คือ “ตำแหน่ง” หรือ ยศถาบรรดาศักดิ์ตามระบบราชการ ที่มีความเป็น”นาย” มีข้าราชการระดับล่างเป็นลูกน้องบริวาร คอยปฏิบัติตามคำสั่ง ซึ่งวิถีปฏิบัติจาก”ผู้ใหญ่”เยี่ยงนี้บางคนนั้น มันถ่วงรั้งการพัฒนาของประเทศชาติ
ซึ่งแน่นอน มันต้องมีเรื่องวัยวุฒิเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ด้วย เพราะระบบราชการไทย ส่วนใหญ่ก็เติบโตขึ้นได้โดยอาศัยอายุราชการเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณา ร่วมกับอีกปัจจัยหนึ่งที่ว่า “เป็นเด็กของผู้ใหญ่ท่านไหน” ด้วย ซึ่งอันหลังจะเป็นแรงพลังผลักดันให้ก้าวกระโดดในตำแหน่งหน้าที่ได้ไกล หากรู้จักเลียผู้ใหญ่ให้ถูกคน และแน่นอนเมื่อวันหนึ่งข้างหน้า ตำแหน่งฐานะทางราชการของใครได้ไปจนอยู่จุดสูงสุดของกรมกอง ก็จะกลายเป็น ผู้ใหญ่รุ่นต่อไป ให้เด็กๆลูกน้องราชการ พากันมาเอาอกเอาใจ เพื่อหวังพึ่งพิงให้นายคนใหม่ผลักดันตัวเอง
ถ้าถามว่า วงจรแบบนี้ คนในภาคส่วนอื่นๆที่ไม่ใช่ข้าราชการไม่รู้หรือ..?
หรือว่ารู้แต่ไม่พูด เพราะว่าวงจรแบบนี้มันก็มีอยู่ในทุกสังคมอยู่ว่า ไม่ว่าจะราชการ หรือ เอกชน หรือแม้กระทั่งมูลนิธิ ที่ตั้งขึ้นโดยไม่หวังผลประโยชน์ ก็หนีวงจรระบอบ ผู้ใหญ่ ครอบการเจริญเติบโตของคนในองค์กรไปได้ ซึ่งถ้าใช่ นั้นก็แปลว่า “ผู้ใหญ่”ตามบริบทของบทความนี้ คือ “ตัวปัญหา” จริงๆ เพราะเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้ระบบอุปถัมภ์ไม่เคยหมดไปจากสังคมไทย
คำถามที่สำคัญ แล้วจะทำยังไงให้ปัญหานี้ทุเลาเบาบางลงล่ะ(เรื่องหมดไปคงไม่มีทางสำหรับประเทศที่ถูกครอบงำกันมายาวนานอย่างประเทศไทย)
คำตอบก็ง่ายๆ คือ ใช้ ระบบประเมินวัดผลที่มีประสิทธิภาพการทำงาน แทนการใช้วิจารณญาณของท่านผู้ใหญ่ ว่าจะปรับเลื่อนตำแหน่งให้ใครในวงสังคมข้าราชการ โดยตั้งเป้าหมายและเปิดระบบวัดผลประเมินผลให้ตัวข้าราชการสามารถตรวจสอบตนเองได้ ว่าในขณะใดขณะหนึ่งนั้น ตนเองทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เพื่อประเมินผลขนาดไหน กำหนดระยะเวลาประเมินผลให้เหมาะสมกับระยะเวลาการทำงาน อาจจะใช้รอบปี และสุดท้ายใครที่ทำผลงานได้ตามเป้าหมายหรือเกินกว่าเป้าหมายที่สุดก็ได้รับตำแหน่งไป ในยามที่ตำแหน่งที่สูงขึ้น ที่ตัวของราชการคนไหนที่ต้องการเลื่อนตำแหน่งขึ้นไปนั้นว่างลง
แน่นอนแต่ละหน่วยงานราชการย่อมมีวิธีวัดเป้าหมายการประเมินผลงานแต่ละตำแหน่งต่างๆกันไป ตามแต่ล่ะหน้าที่ของแต่ละองค์กร ซึ่งก็ปรับให้เหมาะสมกับการทำงานของข้าราชการ ในตำแหน่งหน้าที่ปัจจุบันและที่คาบเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ใหม่ ที่ข้าราชการคนนั้นๆต้องการโปรโมตตัวเองขึ้นไปรับหน้าที่
"ก่อ" การอันใด นั้นใช่ไหม
"เกิด" ผลส่งต่อ กับผู้ใด
"เกียรติ" ต่อตนไซร้ ด้วยทำตน
"ก่อน" จักสิ้นลม ล้มดับหาย
"กาล" ยังมีให้ พอเริ่มต้น
"ก้าว" ที่ยังเหลือ เพื่อทำตน
"เกิน" พอที่คน จะเปลี่ยนกรรม
ป.ล.เขียนยาวก็กลัวโพสต์ไม่ผ่าน เพราะติดด่านผิดกฏหมายและศีลธรรมอันดี เขียนสั้นก็กลัวจะได้ใจความไม่ชัดพอจะสื่อประเด็น
เฮ้อ.....เขียนยากเขียนเย็นจังแหะ
ขอบคุณครับ
นายพระรอง