อริยสัจข้อที่สองเรียกว่าเหตุให้เกิดความทุกข์ ในอริยสัจอย่างที่สรุปสั้น ๆ ท่านเรียกว่า "ตัณหา" คือความอยาก เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
ในภาษาไทยคำว่าความอยากนี้ มันกำกวมไม่เหมือนในภาษาบาลีที่เรียกว่าตัณหา ตัณหาในภาษาบาลีหมายถึงความอยากที่มาจากความโง่ มาจากอวิชชาเป็นเหตุให้อยากด้วยอำนาจอวิชชา ความอยากอย่างนี้จึงจะเรียกว่าตัณหา ถ้าเป็นความอยากที่มาจากวิชชา ความต้องการที่มาจากปัญญา อย่างนี้ไม่เรียกว่าตัณหา เช่นเรารู้ว่าจะต้องดับทุกข์อย่างไร แล้วเราอยากจะดับทุกข์พยายามจะดับทุกข์อยู่ ความอยากอันนี้ไม่เรียกว่าตัณหา แต่พอแปลคำว่าตัณหาเป็นความอยากในภาษาไทยคนที่เข้าใจผิดว่า อะไรก็เป็นตัณหาไปหมด แล้วห้ามไปหมด ก็เลยไม่กล้าอยากอะไร แม้แต่อยากทำการงานเป็นต้น แล้วก็ไปโทษพระพุทธเจ้าตามเคย ว่าตรัสอะไรไว้ไม่เหมาะสมไม่ถูกต้องก็มี หรือว่าหลักธรรมนี้มันใช้ไม่ได้กับเราเสียแล้วก็มี เพราะว่าไปเข้าใจคำนี้ผิด
ฉะนั้นความอยากที่เป็นกิเลสนั้นมันเป็นความอยากที่มาจากความโง่และหลงทะเยอทะยาน กระวนกระวายระส่ำระส่าย และแม้จะได้ทำไป ก็ทำไปตามความโง่ความหลงความสำคัญผิด เขาจึงเรียกว่าความโลภ หรือเรียกว่าตัณหา หรือว่าอุปาทานหรืออะไรก็สุดแท้ มันเป็นความต้องการด้วยความโง่ แต่ถ้าความประสงค์หรือความต้องการที่เป็นไปตามปัญญาที่แท้จริงนี้ เขาเรียกว่าความปรารถนาหรือความต้องการ แล้วแต่จะเรียกกัน
ในภาษาบาลีก็เรียกความต้องการนี้ว่าความพอใจเช่นฉันทะบ้าง ปัถนาความปรารถนาบ้าง สังกัปปะความดำริประสงค์บ้าง ถ้ามันเป็นไปในทางถูกต้องแล้วไม่เรียกว่าตัณหา ต่อเมื่อมันมีความโง่ความไม่รู้เป็นมูลจึงเรียกว่าตัณหา เพราะฉะนั้นเราจะต้องจับใจความสำคัญให้ถูกต้องว่า ถ้าต้องการอะไรอยากอะไรประสงค์อะไร จงดูเสียก่อนว่ามันเป็นความต้องการของวิชชาหรือของอวิชชา ความอยากในกามารมณ์อย่างนี้ มันเป็นความอยากของอวิชชา หรือของวิชชา หรือว่าถ้าเราจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับกามารมณ์ จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยความรู้สึกชนิดใดอย่างนี้เป็นต้น จึงจะไม่เป็นความทุกข์ขึ้นมา
ขอให้เข้าใจถูกกันเสียด้วยว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัสว่า อย่าแต่งงานอย่ามีผัวมีเมียทิ้งบ้านทิ้งเมืองไปบวชกันเสียให้หมด อย่าเกี่ยวข้องกับกามารมณ์ ท่านไม่ได้ตรัสอย่างนี้ จะเป็นพระหรือฆราวาสก็ได้ จะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามหนทางที่ตรัสไว้ ถ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส คือกามารมณ์นี้ก็ต้องทำด้วยสติสัมปชัญญะ ให้รู้ความพอเหมาะพอดีในทางที่จะไม่ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา แต่จะให้เกิดความรู้บางอย่างบางประการขึ้นมาเรื่อย ๆ จนรู้สึกจนรู้จักเบื่อหน่ายไปเองในตอนหลัง อย่างนี้มันก็กลายเป็นการศึกษาไป
การที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสเหล่านั้นกลายเป็นการศึกษาไปในตัว ถึงจะเป็นอะไรก็ตามใจ ถ้ามนุษย์ยังจำเป็นจะต้องเกี่ยวข้อง ก็ไปเกี่ยวข้องด้วยวิชชา ด้วยปัญญา ด้วยความรู้ที่ถูกต้องสมบูรณ์ที่เพียงพอ ก็ได้ทั้งนั้น แล้วมันค่อยเลื่อน ๆ ของมันขึ้นไปเองตามลำดับ ๆ จนกระทั่งว่าไม่เกี่ยวข้องหรือไม่อะไรเลย.
นี่เราจะต้องเข้าใจคำนี้ให้ถูกต้อง คำว่าตัณหาในภาษาบาลี ก็หมายถึงว่าอยากด้วยอวิชชา ความอยากที่เป็นไปด้วยปัญญา หรือวิชชานั้นยังมีอยู่ส่วนหนึ่ง แล้วอันนั้นแหละจะช่วยดับความอยากที่เป็นไปด้วยอวิชชาในตอนหลังอีก
พุทธทาสภิกขุ
ความอยากฉลาด มันจะช่วยดับความอยากโง่ๆ
ในภาษาไทยคำว่าความอยากนี้ มันกำกวมไม่เหมือนในภาษาบาลีที่เรียกว่าตัณหา ตัณหาในภาษาบาลีหมายถึงความอยากที่มาจากความโง่ มาจากอวิชชาเป็นเหตุให้อยากด้วยอำนาจอวิชชา ความอยากอย่างนี้จึงจะเรียกว่าตัณหา ถ้าเป็นความอยากที่มาจากวิชชา ความต้องการที่มาจากปัญญา อย่างนี้ไม่เรียกว่าตัณหา เช่นเรารู้ว่าจะต้องดับทุกข์อย่างไร แล้วเราอยากจะดับทุกข์พยายามจะดับทุกข์อยู่ ความอยากอันนี้ไม่เรียกว่าตัณหา แต่พอแปลคำว่าตัณหาเป็นความอยากในภาษาไทยคนที่เข้าใจผิดว่า อะไรก็เป็นตัณหาไปหมด แล้วห้ามไปหมด ก็เลยไม่กล้าอยากอะไร แม้แต่อยากทำการงานเป็นต้น แล้วก็ไปโทษพระพุทธเจ้าตามเคย ว่าตรัสอะไรไว้ไม่เหมาะสมไม่ถูกต้องก็มี หรือว่าหลักธรรมนี้มันใช้ไม่ได้กับเราเสียแล้วก็มี เพราะว่าไปเข้าใจคำนี้ผิด
ฉะนั้นความอยากที่เป็นกิเลสนั้นมันเป็นความอยากที่มาจากความโง่และหลงทะเยอทะยาน กระวนกระวายระส่ำระส่าย และแม้จะได้ทำไป ก็ทำไปตามความโง่ความหลงความสำคัญผิด เขาจึงเรียกว่าความโลภ หรือเรียกว่าตัณหา หรือว่าอุปาทานหรืออะไรก็สุดแท้ มันเป็นความต้องการด้วยความโง่ แต่ถ้าความประสงค์หรือความต้องการที่เป็นไปตามปัญญาที่แท้จริงนี้ เขาเรียกว่าความปรารถนาหรือความต้องการ แล้วแต่จะเรียกกัน
ในภาษาบาลีก็เรียกความต้องการนี้ว่าความพอใจเช่นฉันทะบ้าง ปัถนาความปรารถนาบ้าง สังกัปปะความดำริประสงค์บ้าง ถ้ามันเป็นไปในทางถูกต้องแล้วไม่เรียกว่าตัณหา ต่อเมื่อมันมีความโง่ความไม่รู้เป็นมูลจึงเรียกว่าตัณหา เพราะฉะนั้นเราจะต้องจับใจความสำคัญให้ถูกต้องว่า ถ้าต้องการอะไรอยากอะไรประสงค์อะไร จงดูเสียก่อนว่ามันเป็นความต้องการของวิชชาหรือของอวิชชา ความอยากในกามารมณ์อย่างนี้ มันเป็นความอยากของอวิชชา หรือของวิชชา หรือว่าถ้าเราจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับกามารมณ์ จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยความรู้สึกชนิดใดอย่างนี้เป็นต้น จึงจะไม่เป็นความทุกข์ขึ้นมา
ขอให้เข้าใจถูกกันเสียด้วยว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัสว่า อย่าแต่งงานอย่ามีผัวมีเมียทิ้งบ้านทิ้งเมืองไปบวชกันเสียให้หมด อย่าเกี่ยวข้องกับกามารมณ์ ท่านไม่ได้ตรัสอย่างนี้ จะเป็นพระหรือฆราวาสก็ได้ จะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามหนทางที่ตรัสไว้ ถ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส คือกามารมณ์นี้ก็ต้องทำด้วยสติสัมปชัญญะ ให้รู้ความพอเหมาะพอดีในทางที่จะไม่ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา แต่จะให้เกิดความรู้บางอย่างบางประการขึ้นมาเรื่อย ๆ จนรู้สึกจนรู้จักเบื่อหน่ายไปเองในตอนหลัง อย่างนี้มันก็กลายเป็นการศึกษาไป
การที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสเหล่านั้นกลายเป็นการศึกษาไปในตัว ถึงจะเป็นอะไรก็ตามใจ ถ้ามนุษย์ยังจำเป็นจะต้องเกี่ยวข้อง ก็ไปเกี่ยวข้องด้วยวิชชา ด้วยปัญญา ด้วยความรู้ที่ถูกต้องสมบูรณ์ที่เพียงพอ ก็ได้ทั้งนั้น แล้วมันค่อยเลื่อน ๆ ของมันขึ้นไปเองตามลำดับ ๆ จนกระทั่งว่าไม่เกี่ยวข้องหรือไม่อะไรเลย.
นี่เราจะต้องเข้าใจคำนี้ให้ถูกต้อง คำว่าตัณหาในภาษาบาลี ก็หมายถึงว่าอยากด้วยอวิชชา ความอยากที่เป็นไปด้วยปัญญา หรือวิชชานั้นยังมีอยู่ส่วนหนึ่ง แล้วอันนั้นแหละจะช่วยดับความอยากที่เป็นไปด้วยอวิชชาในตอนหลังอีก
พุทธทาสภิกขุ