มาถึงสัปดาห์ที่ 5 แล้วครับ ผ่านพ้นไป 4 สัปดาห์ ตั้งแต่เริ่มขึ้นปีใหม่ มีงานเข้ามาแบบไม่มากไม่น้อย...หวังว่าของเดือนใหม่ กุมภาพันธ์ จะมีงานเพิ่มมากขึ้น ทั้งงานกวี และเรื่องสั้นนะครับ
สัปดาห์ที่ 5 นี้ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นของเดือนกุมภาพันธ์ แม้ว่าวันนี้ยังอยู่ที่ 29 มกราคมก็ตาม มันคาบเกี่ยวกันอยู่ และโดยปกติ 1 เดือนก็มี 4 สัปดาห์เท่านั้น มาเริ่มกันด้วยเรื่องสั้นครับ ชื่อเรื่องหวานๆ ส่วนเนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไร น่าประทับใจแค่ไหน มาอ่านกันดูครับ
ร้านเช่าหนังสือขนาดเล็ก ในพื้นที่หนึ่งคูหา มองผ่านกระจกใสเข้ามาในร้าน บรรยากาศดูเงียบเหงาเหมือนไม่มีใครอยู่ ทว่าภายในร้านถูกตกแต่งด้วยโทนสีชมพูขาว จึงทำให้ร้านดูสดใสน่ามอง ใครเดินผ่านไปมา ต่างหันมามองร้านเช่าหนังสือร้านนี้แทบจะทุกคน
มีโต๊ะไม้ขัดเงาสำหรับให้ลูกค้านั่งอ่านหนังสือ โต๊ะตั้งชิดกระจกใส ภาพวาดดอกกุหลาบสีขาวหลากหลายแบบ ถูกแขวนไว้ตามผนัง
ป้ายร้านสีชมพูซึ่งแขวนอยู่หน้าร้าน โดดเด่นด้วยตัวหนังสือ ตวัดหางยาวเฟื้อย เขียนว่า ‘อริสาร้านเช่าหนังสือ’ และต่อท้ายด้วยถ้อยคำน่ารักๆว่า ‘หนังสือมีค่า อ่านให้ดี’
อริสาหอบหนังสือกองใหญ่มาวางตรงชั้นหนังสือ ที่เขียนว่าวรรณกรรมเยาวชน และค่อยๆเรียงหนังสือทีละเล่มเข้าชั้นด้วยความใจเย็น วันนี้หญิงสาวรู้สึกสบายใจเป็นพิเศษเพราะไม่มีลูกค้า
การไม่มีลูกค้าก็ดีไปอีกแบบ เพราะจะได้มีเวลาจัดเรียงหนังสือได้อย่างเต็มที่ ได้อยู่กับตัวเองและธรรดาหนังสือสุดรัก
หญิงสาวย่อตัวนั่งลงบนพื้น ฮัมเพลงเบาๆ ในขณะกำลังจัดเรียงหนังสือเข้าชั้น
“อะไรเนี่ย ร้านเรามีหนังสือแบบนี้ด้วยหรือ”
อริสาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา มีชื่อเขียนไว้ที่หน้าปกว่า
ราชสีห์กับกวางน้อย ซึ่งมันคือหนังสือนิทาน
อริสาเปิดดูท้ายเล่ม เพื่อตรวจดูตราประทับของร้าน จึงเห็นว่าไม่มีตราประทับ
“สงสัยลูกค้าจะเอามาคืนผิดเล่ม” เธอพูดคนเดียวและลองเปิดดูข้างใน จึงเห็นว่ามันเป็นหนังสือนิทานที่มีรูปภาพประกอบด้วย
กาลครั้งหนึ่งที่ป่าอันกว้างใหญ่ไพศาล .... หญิงสาวเริ่มอ่านมัน
ภาพประกอบเป็นป่าไม้เขียวขจี ท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ดูแล้วสบายตาจัง เธอคิด
มีราชสีห์ตัวหนึ่งเดินโซซัดโซเซไปมา เพราะหาทางกลับเข้าฝูงไม่ได้ มันหลงทางจากฝูงของมัน ราชสีห์ผอมแห้ง หิวโซและใกล้หมดแรง
ภาพประกอบที่ปรากฏให้เห็นคือรูปราชสีห์ร่างกายผอมแห้ง หน้าตาเศร้าสร้อย กำลังเดินอยู่ท่ามกลางป่าดงพงไพร
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่โต๊ะหน้าร้าน อริสาปิดหนังสือ รีบวิ่งมารับสาย เป็นสายจากแม่ ที่โทรมาบอกว่าคืนนี้จะกลับบ้านดึก ให้รีบกลับบ้านไปทำอาหารไว้ให้น้อง เธอวางสายจากแม่แล้วโทรหาน้องชายทันที
“เลิกเรียนแล้วมาหาพี่ที่ร้านด้วย พี่จะพาไปเลี้ยงข้าว”
“แม่ให้พี่ทำกับข้าว แล้วพี่ก็ไม่คิดที่จะทำอะดิ ผมรู้แหละ” น้องชายพูดอย่างรู้ทันพี่สาว
“ฉันทำให้แกกิน แล้วแกกินไหมล่ะ”
“ถ้ามันกินได้ก็จะกินอยู่หรอกนะ” เสียงของน้องชายตอบกลับมา อริสาฟังไม่จบ ก็ตัดสายทิ้งทันที
หญิงสาวเดินยิ้มแฉ่ง กลับมานั่งอ่านหนังสือนิทานต่อ เปิดไปยังหน้าที่อ่านค้างไว้ และเริ่มอ่านอีกครั้ง
กวางน้อยน่ารักวิ่งกระโดดเล่นด้วยความสนุกสนาน ท่ามกลางทุ่งดอกไม้สีเหลือง ทว่ากวางน้อย ไม่ทันระวังภัยอันตรายที่กำลังคืบคลานมาหาตน
ภาพประกอบ คือ ลูกกวางน้อยตัวเล็กอวบอ้วนน่ารัก อยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้...น่ารักจังอริสาคิด และอ่านต่อ
ราชสีห์มองกวางน้อยอย่างหมายมั่น มันจ้องเจ้ากวางน้อยแบบไม่ละสายตา ในขณะที่กวางน้อยวิ่งเล่นกับดอกไม้สายลม เป็นอันต้องหยุดชะงัก เมื่อหันไปเห็นราชสีห์ตัวโตซึ่งกำลังยืนจ้องตนอยู่
กวางน้อยตัวสั่นเทา ดวงตาที่เคยสดใส แปรเปลี่ยนเป็นตื่นกลัวสุดขีด กวางน้อยพยายามบอกตัวเองให้วิ่งหนี แต่ขาสั่นจนวิ่งไม่ได้เสียแล้ว
กวางน้อยคิดว่า วันนี้ตัวเองต้องตายแน่ๆ น้ำตาจึงหลั่งรินไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง ในขณะที่ราชสีห์เดินย่างสามขุมเข้ามาหากวางน้อยอย่างเชื่องช้า และหยุดอยู่ตรงหน้า
“ไม่ต้องกลัวฉันนะ ฉันไม่ทำร้ายเธอหรอก” ราชสีห์พูดกับลูกกวาง
“แต่นายเป็นสิงโตนะ สิงโตกินกวางเป็นอาหาร” กวางน้อยพูด น้ำเสียงสั่นเครือ
“แต่ฉันจะไม่กินเธอ” ราชสีห์นอนหมอบลงตรงหน้ากวางน้อย พร้อมส่งยิ้มให้เจ้าสัตว์ตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้า แล้วพูดต่อว่า
“เธอน่ารักจัง ฉันไม่เคยเห็นสัตว์ตัวไหนน่ารักเท่านี้มาก่อน”
กวางน้อยตกใจที่ได้ยินราชสีห์พูดแบบนี้ จึงยกขาหน้าปาดน้ำตา แล้วจ้องมองราชสีห์ตัวโตผู้มีร่างกายผอมแห้งจนเห็นกระดูกซี่โครง
“ถ้าเธอไม่กินฉัน เธอจะตายนะ” กวางน้อยพูดกับราชสีห์
“ไม่ ฉันไม่กินเธอเด็ดขาด ฉันชอบเธอ”
ราชสีห์หมอบมองดูลูกกวางน้อยอย่างมีความสุข แววตาที่เคยอ้างว้างของมันดูสดใส มีชีวิตชีวาขึ้นมา แม้ตอนนี้จะผอมแห้งจนไม่มีเรี่ยวแรงที่ยืนด้วยซ้ำ ทว่าดวงตาคู่นั้นของมันกลับฉายแววว่ามีความสุขอย่างท่วมท้น
เจ้ากวางน้อยจึงอ้อนวอนให้ราชสีห์กินตัวเองซะ เพราะคิดว่าถึงอย่างไรตนเองก็คงวิ่งหนีราชสีห์ไม่มันแน่ๆ หากยอมให้ราชสีห์กิน ยังได้ช่วยให้มันรอดชีวิตจากความหิวโหยไปได้
ทว่าราชสีห์กลับไม่กินเจ้ากวางน้อย กระทั่งราชสีห์ตายจากไป กวางน้อยนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆร่างไร้วิญญาณนั่นอยู่นานแสนนาน
กวางน้อยเสียใจเหลือเกิน ที่ไม่อาจสามารถช่วยเหลือราชสีห์ได้ กวางน้อยร้องไห้ไม่หยุด ไม่ยอมไปไหน ไม่ยอมกินอะไร และแล้วกวางน้อยก็ตายไปอีกตัว
ภาพประกอบ ลูกกวางน้อย นอนหนุนขาหน้าราชสีห์ ขาข้างหนึ่งของกวางน้อยแตะอยู่ที่หน้าราชสีห์ มีดอกไม้สีเหลืองล่วงหล่นบนร่างไร้วิญญาณทั้งสองตัว
อริสาอ่านจบพลันร้องไห้ น้ำตาหยดแหมะลงบนแผ่นกระดาษหน้าสุดท้าย เธอกอดหนังสือเล่มนั้นไว้แนบอก แล้วแอบต่อว่าคนที่เอาหนังสือเล่มนี้มาไว้ที่ร้านเธอ
เช้าวันใหม่ท้องฟ้าสดใสสวยงาม แสงแดดอ่อนๆส่องผ่านกระจกร้านเช่าหนังสือ ยิ่งทำให้ร้านสีชมพูขาวดูสดใสน่ามองและมีเสน่ห์มากขึ้น
แสงแดดส่องกระทบรูปวาดดอกกุหลาบขาวที่แขวนอยู่ผนัง มองดูแล้วราวกับจะปลุกดอกไม้ที่อยู่ในกรอบรูปให้ฟื้นขึ้นมามีชีวิต แล้วชวนกันเต้นระบำดอกไม้ในร้านเช่าหนังสือแห่งนี้
อริสามองดูนักเรียนหญิงสองคน ซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ขัดเงา โดยมีกองหนังสือวางอยู่ตรงหน้าพวกเธอ นักเรียนคนหนึ่งมัวยุ่งอยู่กับการถ่ายรูปตัว เพื่อโพสต์ลงเฟซบุ๊ก ส่วนอีกคนกำลังอ่านนิตยสารดาราด้วยความตั้งอกตั้งใจ
อริสาจึงหันไปเอ่ยถามเด็กนักเรียนทั้งสอง
“ทำไมวันนี้เลิกเรียนกันเร็วจัง เพิ่งบ่ายโมงเองนะ”
“วันนี้สอบครึ่งวันค่ะพี่ตาล” เด็กนักเรียนที่นั่งเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นคนบอก
“พี่ตาลคะ วันนี้น้องชายพี่ตาลจะเข้ามาที่ร้านไหมคะ” เด็กนักเรียนอีกคนถามขึ้น
“พี่ก็ไม่รู้ แต่ก็คงจะเข้ามาละมั้ง คงมาเอาหนังสือการ์ตูน” อริสาบอกโดยไม่เงยหน้ามองเพราะมัวยุ่งอยู่กับงานตรงหน้า
เมื่อได้รับคำตอบมาแบบนี้เด็กนักเรียนหญิงทั้งสอง ต่างพากันหัวเราะคิกๆด้วยความพอใจ
อริสาตรวจสอบหนังสือที่ลูกค้าเอามาคืน หนังสือกองใหญ่วางอยู่บนโต๊ะจนเกือบพ้นศีรษะ และยังมีหนังสือล็อตใหม่ ที่เพิ่งสั่งซื้อมาจากกรุงเทพฯ วางกองอยู่อีกมุมหนึ่ง ซึ่งยังไม่ได้ลงตราประทับร้านและสแกนบาร์โค้ต
สายตาพลันเหลือบไปเห็น หนังสือนิทานราชสีห์กับกวางน้อยที่ลูกค้านำมาคืนผิดเล่มผ่านมาสามวันแล้วยังไม่มีใครมาถามหา
อริสาพยายามนึกว่าเป็นลูกค้าคนไหน พยายามนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก แต่ก็ดีเหมือนกัน เมื่อไม่มีใครมาทวงคืน เธอกะจะยึดเป็นของตัวเองซะเลย ก็ชอบหนังสือเล่มนี้เข้าแล้ว นึกขึ้นมาแบบนี้หญิงสาวพลันอมยิ้มคนเดียว เลื่อนมือไปหยิบหนังสือนิทานเล่มนั้นมาวางไว้บนตัก
ผ่านมาห้าวัน ยังไม่มีใครมาทวงหนังสือนิทาน อริสานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำตำแหน่ง มองดูท้องฟ้ามืดครึ้มผ่านกระจกใส ที่กั้นระหว่างเธอกับถนนข้างหน้า มีรถลาแล่นสวนกันไปมา
ดวงตาเหม่อมองไปข้างนอกอย่างเลื่อนลอย เธอไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ ทำไมวันนี้ถึงรู้สึกเศร้าแบบนี้ ความร่าเริงในตัวเธอวิ่งหนีหายไปหมด
นึกแล้ว หญิงสาวก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ จะเรื่องอะไรอีกล่ะ ก็คงเป็นเพราะ เพิ่งได้ทราบมาว่าคนที่เธอแอบรักมานานกำลังจะแต่งงาน นึกแล้วยังเศร้าใจไม่หาย
อริสาพยายามจะไปแสดงยินดีกับเขา แต่ตอนนี้ยังทำใจไม่ได้ คงต้องปล่อยให้ใจเหม่อลอยไปกับความผิดหวังเสียก่อน ไม่นานเชื่อว่าตัวเองคงกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม
หญิงสาวส่ายศีรษะเพื่อสลัดความคิด ทั้งหมดทั้งมวลทิ้งไปเสีย ก่อนจะซบหน้างลงบนโต๊ะ โดยไม่ทันสังเกตว่ามีใครบางคนมายืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว
เขายืนมองเธอด้วยความสงสัย อยากจะสะกิดเรียก แต่ก็กลัวว่าจะรบกวนการนอนของหญิงสาว จึงแกล้งส่งเสียงนำทางไปก่อน
“อะแฮ่ม” เสียงแรกส่งไป แต่คนที่นั่งซบหน้าบนโต๊ะ ยังไม่เงยหน้าขึ้นมอง
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม” ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับจากอีกฝ่าย
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม อะแฮ่ม” เขาส่งเสียงให้ดังขึ้นและยาวกว่าเดิม ทว่าหญิงสาวยังซบหน้าอยู่บนโต๊ะ ยัยบ้านี่หูตึงหรือไง เขาคิดในใจ
จึงตัดสินในใช้นิ้วเคาะลงบนโต๊ะสามครั้ง
“ขอโทษครับ” เขาพูดขึ้น
หญิงสาวจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองเขา ด้วยใบหน้าอันบูดบึ้ง แววตาชวนอยากมีเรื่องกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ร้านปิดแล้วค่ะ” เธอบอกเขา
“ป้ายยังบอกว่าเปิดอยู่นะครับ”
“งั้นคุณช่วยเปลี่ยนป้ายกลับด้านเป็นปิดให้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ” แล้วเธอก็ซบหน้าลงบนโต๊ะอีกครั้ง
“ร้านปิดแล้วค่ะ” หญิงสาวงึมงำพูดขึ้นมาอีกครั้ง
เขาจึงเดินไปเปลี่ยนป้าย ซึ่งแขวนอยู่ที่กลอนประตูกลับด้าน จากเปิด เป็น ปิด แล้วเดินกลับมายืนที่เดิม
“ผมมาเอาหนังสือของผม”
อริสาเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ เธอคิด ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้มองคนตรงหน้า อย่างไร้อารมณ์จะเสวนาด้วย
“คุณจะมาเช่าหนังสือหรือคะ เชิญหาหนังสือที่คุณต้องการได้เลยค่ะ รีบๆหาแล้วรีบๆไปนะคะ ฉันจะปิดร้านแล้ว” เธอโบกมือไล่ให้เขาให้ไปหาหนังสือที่ต้องการ
“ผมไม่ได้จะเช่าหนังสือ ผมมาเอาหนังสือ
ของผม คืน” เขาเน้นเสียง ของผม ให้ดังเป็นพิเศษ
“ในนี่มีแต่หนังสือ
ของฉัน ค่ะ” และเธอก็เน้นคำว่า ของฉัน ดังเป็นพิเศษเช่นกัน
“น้องสาวผมหยิบหนังสือมาผิดเล่ม เธอบอกว่าหลงเอามาคืนที่ร้านนี้ คุณพอจะเห็นหนังสือที่ชื่อ ราชสีห์กับกวางน้อย ไหมครับ”
“เห็นค่ะ” อริสาตอบแบบไม่เต็มปาก เพราะไม่อยากคืนหนังสือเล่มนี้ให้เขาเลย หญิงสาวเห็นว่าไม่มีใครมาถามหาหนังสือเล่มนี้หลายวันแล้ว แอบนึกดีใจที่จะได้ครอบครองมัน พอคิดว่าต้องคืนให้เจ้าของตัวจริงพลันเกิดนึกเสียดายขึ้นมาดื้อๆ
“ผมขอคืนนะครับ” เขาแกล้งยื่นมือมาตรงหน้าเธอเพื่อขอหนังสือ
“ตอนนี้ หนังสืออยู่ที่บ้านฉันน่ะค่ะ พรุ่งนี้คุณมาใหม่ได้ไหมคะ เดี๋ยวฉันจะเอามาคืนให้” อริสาพูดติดๆขัดๆเพราะรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย ที่หยิบหนังสือของคนอื่นไปเก็บไว้บ้านตัวเอง และดันมีเจ้าของตัวจริงมาทวงถึงที่แบบนี้
เขาส่งยิ้มให้เธออย่างมีเลศนัย สายตาเจาะทะลุความคิดคนตรงหน้า ได้อย่างกระจ่างราวรับรู้ได้ว่า หญิงสาวอยากได้หนังสือนิทานเล่มนั้น
“คุณอยากได้หนังสือเล่มนั้นใช่ไหม”
“ไม่ ไม่ค่ะ ฉันแค่เอามันไปเก็บไว้ที่บ้าน กลัวว่ามันจะปะปนกับเล่มอื่นน่ะค่ะ”
“พรุ่งนี้จะเอามาคืนให้ค่ะ” อริสาเอ่ยย้ำความตั้งใจที่จะคืนให้อีกครั้ง
“คงไม่ได้แล้วละ” เขาตอบกลับ
“ทำไมหรือคะ”
“พรุ่งนี้ผมต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพ”
“คุณเขียนที่อยู่ของคุณเอาไว้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันส่งไปให้” เธอยื่นปากกากับแผ่นกระดาษให้เขา
“ว่าแต่ คุณไปซื้อหนังสือเล่มนี้มาจากไหนหรือคะ ฉันเปิดดูตั้งหลายรอบ ไม่มีเห็นชื่อสำนักพิมพ์ ไม่มีชื่อคนเขียนด้วย ฉันกะว่าจะซื้อเก็บไว้น่ะค่ะ” อริสาเอ่ยถามไถ่ด้วยความอยากรู้
“ไม่มีขายครับ”
(มีต่อครับ)
🌼💖🌼 THE WEEKLY GLOVES วีคที่ 5 เรื่องสั้น#8 "หนังสือสื่อรัก" โดย "ถุงมือกุหลาบขาว" 🌼💖🌼
มาถึงสัปดาห์ที่ 5 แล้วครับ ผ่านพ้นไป 4 สัปดาห์ ตั้งแต่เริ่มขึ้นปีใหม่ มีงานเข้ามาแบบไม่มากไม่น้อย...หวังว่าของเดือนใหม่ กุมภาพันธ์ จะมีงานเพิ่มมากขึ้น ทั้งงานกวี และเรื่องสั้นนะครับ
สัปดาห์ที่ 5 นี้ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นของเดือนกุมภาพันธ์ แม้ว่าวันนี้ยังอยู่ที่ 29 มกราคมก็ตาม มันคาบเกี่ยวกันอยู่ และโดยปกติ 1 เดือนก็มี 4 สัปดาห์เท่านั้น มาเริ่มกันด้วยเรื่องสั้นครับ ชื่อเรื่องหวานๆ ส่วนเนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไร น่าประทับใจแค่ไหน มาอ่านกันดูครับ
ร้านเช่าหนังสือขนาดเล็ก ในพื้นที่หนึ่งคูหา มองผ่านกระจกใสเข้ามาในร้าน บรรยากาศดูเงียบเหงาเหมือนไม่มีใครอยู่ ทว่าภายในร้านถูกตกแต่งด้วยโทนสีชมพูขาว จึงทำให้ร้านดูสดใสน่ามอง ใครเดินผ่านไปมา ต่างหันมามองร้านเช่าหนังสือร้านนี้แทบจะทุกคน
มีโต๊ะไม้ขัดเงาสำหรับให้ลูกค้านั่งอ่านหนังสือ โต๊ะตั้งชิดกระจกใส ภาพวาดดอกกุหลาบสีขาวหลากหลายแบบ ถูกแขวนไว้ตามผนัง
ป้ายร้านสีชมพูซึ่งแขวนอยู่หน้าร้าน โดดเด่นด้วยตัวหนังสือ ตวัดหางยาวเฟื้อย เขียนว่า ‘อริสาร้านเช่าหนังสือ’ และต่อท้ายด้วยถ้อยคำน่ารักๆว่า ‘หนังสือมีค่า อ่านให้ดี’
อริสาหอบหนังสือกองใหญ่มาวางตรงชั้นหนังสือ ที่เขียนว่าวรรณกรรมเยาวชน และค่อยๆเรียงหนังสือทีละเล่มเข้าชั้นด้วยความใจเย็น วันนี้หญิงสาวรู้สึกสบายใจเป็นพิเศษเพราะไม่มีลูกค้า
การไม่มีลูกค้าก็ดีไปอีกแบบ เพราะจะได้มีเวลาจัดเรียงหนังสือได้อย่างเต็มที่ ได้อยู่กับตัวเองและธรรดาหนังสือสุดรัก
หญิงสาวย่อตัวนั่งลงบนพื้น ฮัมเพลงเบาๆ ในขณะกำลังจัดเรียงหนังสือเข้าชั้น
“อะไรเนี่ย ร้านเรามีหนังสือแบบนี้ด้วยหรือ”
อริสาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา มีชื่อเขียนไว้ที่หน้าปกว่า ราชสีห์กับกวางน้อย ซึ่งมันคือหนังสือนิทาน
อริสาเปิดดูท้ายเล่ม เพื่อตรวจดูตราประทับของร้าน จึงเห็นว่าไม่มีตราประทับ
“สงสัยลูกค้าจะเอามาคืนผิดเล่ม” เธอพูดคนเดียวและลองเปิดดูข้างใน จึงเห็นว่ามันเป็นหนังสือนิทานที่มีรูปภาพประกอบด้วย
กาลครั้งหนึ่งที่ป่าอันกว้างใหญ่ไพศาล .... หญิงสาวเริ่มอ่านมัน
ภาพประกอบเป็นป่าไม้เขียวขจี ท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ดูแล้วสบายตาจัง เธอคิด
มีราชสีห์ตัวหนึ่งเดินโซซัดโซเซไปมา เพราะหาทางกลับเข้าฝูงไม่ได้ มันหลงทางจากฝูงของมัน ราชสีห์ผอมแห้ง หิวโซและใกล้หมดแรง
ภาพประกอบที่ปรากฏให้เห็นคือรูปราชสีห์ร่างกายผอมแห้ง หน้าตาเศร้าสร้อย กำลังเดินอยู่ท่ามกลางป่าดงพงไพร
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่โต๊ะหน้าร้าน อริสาปิดหนังสือ รีบวิ่งมารับสาย เป็นสายจากแม่ ที่โทรมาบอกว่าคืนนี้จะกลับบ้านดึก ให้รีบกลับบ้านไปทำอาหารไว้ให้น้อง เธอวางสายจากแม่แล้วโทรหาน้องชายทันที
“เลิกเรียนแล้วมาหาพี่ที่ร้านด้วย พี่จะพาไปเลี้ยงข้าว”
“แม่ให้พี่ทำกับข้าว แล้วพี่ก็ไม่คิดที่จะทำอะดิ ผมรู้แหละ” น้องชายพูดอย่างรู้ทันพี่สาว
“ฉันทำให้แกกิน แล้วแกกินไหมล่ะ”
“ถ้ามันกินได้ก็จะกินอยู่หรอกนะ” เสียงของน้องชายตอบกลับมา อริสาฟังไม่จบ ก็ตัดสายทิ้งทันที
หญิงสาวเดินยิ้มแฉ่ง กลับมานั่งอ่านหนังสือนิทานต่อ เปิดไปยังหน้าที่อ่านค้างไว้ และเริ่มอ่านอีกครั้ง
กวางน้อยน่ารักวิ่งกระโดดเล่นด้วยความสนุกสนาน ท่ามกลางทุ่งดอกไม้สีเหลือง ทว่ากวางน้อย ไม่ทันระวังภัยอันตรายที่กำลังคืบคลานมาหาตน
ภาพประกอบ คือ ลูกกวางน้อยตัวเล็กอวบอ้วนน่ารัก อยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้...น่ารักจังอริสาคิด และอ่านต่อ
ราชสีห์มองกวางน้อยอย่างหมายมั่น มันจ้องเจ้ากวางน้อยแบบไม่ละสายตา ในขณะที่กวางน้อยวิ่งเล่นกับดอกไม้สายลม เป็นอันต้องหยุดชะงัก เมื่อหันไปเห็นราชสีห์ตัวโตซึ่งกำลังยืนจ้องตนอยู่
กวางน้อยตัวสั่นเทา ดวงตาที่เคยสดใส แปรเปลี่ยนเป็นตื่นกลัวสุดขีด กวางน้อยพยายามบอกตัวเองให้วิ่งหนี แต่ขาสั่นจนวิ่งไม่ได้เสียแล้ว
กวางน้อยคิดว่า วันนี้ตัวเองต้องตายแน่ๆ น้ำตาจึงหลั่งรินไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง ในขณะที่ราชสีห์เดินย่างสามขุมเข้ามาหากวางน้อยอย่างเชื่องช้า และหยุดอยู่ตรงหน้า
“ไม่ต้องกลัวฉันนะ ฉันไม่ทำร้ายเธอหรอก” ราชสีห์พูดกับลูกกวาง
“แต่นายเป็นสิงโตนะ สิงโตกินกวางเป็นอาหาร” กวางน้อยพูด น้ำเสียงสั่นเครือ
“แต่ฉันจะไม่กินเธอ” ราชสีห์นอนหมอบลงตรงหน้ากวางน้อย พร้อมส่งยิ้มให้เจ้าสัตว์ตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้า แล้วพูดต่อว่า
“เธอน่ารักจัง ฉันไม่เคยเห็นสัตว์ตัวไหนน่ารักเท่านี้มาก่อน”
กวางน้อยตกใจที่ได้ยินราชสีห์พูดแบบนี้ จึงยกขาหน้าปาดน้ำตา แล้วจ้องมองราชสีห์ตัวโตผู้มีร่างกายผอมแห้งจนเห็นกระดูกซี่โครง
“ถ้าเธอไม่กินฉัน เธอจะตายนะ” กวางน้อยพูดกับราชสีห์
“ไม่ ฉันไม่กินเธอเด็ดขาด ฉันชอบเธอ”
ราชสีห์หมอบมองดูลูกกวางน้อยอย่างมีความสุข แววตาที่เคยอ้างว้างของมันดูสดใส มีชีวิตชีวาขึ้นมา แม้ตอนนี้จะผอมแห้งจนไม่มีเรี่ยวแรงที่ยืนด้วยซ้ำ ทว่าดวงตาคู่นั้นของมันกลับฉายแววว่ามีความสุขอย่างท่วมท้น
เจ้ากวางน้อยจึงอ้อนวอนให้ราชสีห์กินตัวเองซะ เพราะคิดว่าถึงอย่างไรตนเองก็คงวิ่งหนีราชสีห์ไม่มันแน่ๆ หากยอมให้ราชสีห์กิน ยังได้ช่วยให้มันรอดชีวิตจากความหิวโหยไปได้
ทว่าราชสีห์กลับไม่กินเจ้ากวางน้อย กระทั่งราชสีห์ตายจากไป กวางน้อยนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆร่างไร้วิญญาณนั่นอยู่นานแสนนาน
กวางน้อยเสียใจเหลือเกิน ที่ไม่อาจสามารถช่วยเหลือราชสีห์ได้ กวางน้อยร้องไห้ไม่หยุด ไม่ยอมไปไหน ไม่ยอมกินอะไร และแล้วกวางน้อยก็ตายไปอีกตัว
ภาพประกอบ ลูกกวางน้อย นอนหนุนขาหน้าราชสีห์ ขาข้างหนึ่งของกวางน้อยแตะอยู่ที่หน้าราชสีห์ มีดอกไม้สีเหลืองล่วงหล่นบนร่างไร้วิญญาณทั้งสองตัว
อริสาอ่านจบพลันร้องไห้ น้ำตาหยดแหมะลงบนแผ่นกระดาษหน้าสุดท้าย เธอกอดหนังสือเล่มนั้นไว้แนบอก แล้วแอบต่อว่าคนที่เอาหนังสือเล่มนี้มาไว้ที่ร้านเธอ
เช้าวันใหม่ท้องฟ้าสดใสสวยงาม แสงแดดอ่อนๆส่องผ่านกระจกร้านเช่าหนังสือ ยิ่งทำให้ร้านสีชมพูขาวดูสดใสน่ามองและมีเสน่ห์มากขึ้น
แสงแดดส่องกระทบรูปวาดดอกกุหลาบขาวที่แขวนอยู่ผนัง มองดูแล้วราวกับจะปลุกดอกไม้ที่อยู่ในกรอบรูปให้ฟื้นขึ้นมามีชีวิต แล้วชวนกันเต้นระบำดอกไม้ในร้านเช่าหนังสือแห่งนี้
อริสามองดูนักเรียนหญิงสองคน ซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ขัดเงา โดยมีกองหนังสือวางอยู่ตรงหน้าพวกเธอ นักเรียนคนหนึ่งมัวยุ่งอยู่กับการถ่ายรูปตัว เพื่อโพสต์ลงเฟซบุ๊ก ส่วนอีกคนกำลังอ่านนิตยสารดาราด้วยความตั้งอกตั้งใจ
อริสาจึงหันไปเอ่ยถามเด็กนักเรียนทั้งสอง
“ทำไมวันนี้เลิกเรียนกันเร็วจัง เพิ่งบ่ายโมงเองนะ”
“วันนี้สอบครึ่งวันค่ะพี่ตาล” เด็กนักเรียนที่นั่งเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นคนบอก
“พี่ตาลคะ วันนี้น้องชายพี่ตาลจะเข้ามาที่ร้านไหมคะ” เด็กนักเรียนอีกคนถามขึ้น
“พี่ก็ไม่รู้ แต่ก็คงจะเข้ามาละมั้ง คงมาเอาหนังสือการ์ตูน” อริสาบอกโดยไม่เงยหน้ามองเพราะมัวยุ่งอยู่กับงานตรงหน้า
เมื่อได้รับคำตอบมาแบบนี้เด็กนักเรียนหญิงทั้งสอง ต่างพากันหัวเราะคิกๆด้วยความพอใจ
อริสาตรวจสอบหนังสือที่ลูกค้าเอามาคืน หนังสือกองใหญ่วางอยู่บนโต๊ะจนเกือบพ้นศีรษะ และยังมีหนังสือล็อตใหม่ ที่เพิ่งสั่งซื้อมาจากกรุงเทพฯ วางกองอยู่อีกมุมหนึ่ง ซึ่งยังไม่ได้ลงตราประทับร้านและสแกนบาร์โค้ต
สายตาพลันเหลือบไปเห็น หนังสือนิทานราชสีห์กับกวางน้อยที่ลูกค้านำมาคืนผิดเล่มผ่านมาสามวันแล้วยังไม่มีใครมาถามหา
อริสาพยายามนึกว่าเป็นลูกค้าคนไหน พยายามนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก แต่ก็ดีเหมือนกัน เมื่อไม่มีใครมาทวงคืน เธอกะจะยึดเป็นของตัวเองซะเลย ก็ชอบหนังสือเล่มนี้เข้าแล้ว นึกขึ้นมาแบบนี้หญิงสาวพลันอมยิ้มคนเดียว เลื่อนมือไปหยิบหนังสือนิทานเล่มนั้นมาวางไว้บนตัก
ผ่านมาห้าวัน ยังไม่มีใครมาทวงหนังสือนิทาน อริสานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำตำแหน่ง มองดูท้องฟ้ามืดครึ้มผ่านกระจกใส ที่กั้นระหว่างเธอกับถนนข้างหน้า มีรถลาแล่นสวนกันไปมา
ดวงตาเหม่อมองไปข้างนอกอย่างเลื่อนลอย เธอไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ ทำไมวันนี้ถึงรู้สึกเศร้าแบบนี้ ความร่าเริงในตัวเธอวิ่งหนีหายไปหมด
นึกแล้ว หญิงสาวก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ จะเรื่องอะไรอีกล่ะ ก็คงเป็นเพราะ เพิ่งได้ทราบมาว่าคนที่เธอแอบรักมานานกำลังจะแต่งงาน นึกแล้วยังเศร้าใจไม่หาย
อริสาพยายามจะไปแสดงยินดีกับเขา แต่ตอนนี้ยังทำใจไม่ได้ คงต้องปล่อยให้ใจเหม่อลอยไปกับความผิดหวังเสียก่อน ไม่นานเชื่อว่าตัวเองคงกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม
หญิงสาวส่ายศีรษะเพื่อสลัดความคิด ทั้งหมดทั้งมวลทิ้งไปเสีย ก่อนจะซบหน้างลงบนโต๊ะ โดยไม่ทันสังเกตว่ามีใครบางคนมายืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว
เขายืนมองเธอด้วยความสงสัย อยากจะสะกิดเรียก แต่ก็กลัวว่าจะรบกวนการนอนของหญิงสาว จึงแกล้งส่งเสียงนำทางไปก่อน
“อะแฮ่ม” เสียงแรกส่งไป แต่คนที่นั่งซบหน้าบนโต๊ะ ยังไม่เงยหน้าขึ้นมอง
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม” ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับจากอีกฝ่าย
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม อะแฮ่ม” เขาส่งเสียงให้ดังขึ้นและยาวกว่าเดิม ทว่าหญิงสาวยังซบหน้าอยู่บนโต๊ะ ยัยบ้านี่หูตึงหรือไง เขาคิดในใจ
จึงตัดสินในใช้นิ้วเคาะลงบนโต๊ะสามครั้ง
“ขอโทษครับ” เขาพูดขึ้น
หญิงสาวจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองเขา ด้วยใบหน้าอันบูดบึ้ง แววตาชวนอยากมีเรื่องกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ร้านปิดแล้วค่ะ” เธอบอกเขา
“ป้ายยังบอกว่าเปิดอยู่นะครับ”
“งั้นคุณช่วยเปลี่ยนป้ายกลับด้านเป็นปิดให้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ” แล้วเธอก็ซบหน้าลงบนโต๊ะอีกครั้ง
“ร้านปิดแล้วค่ะ” หญิงสาวงึมงำพูดขึ้นมาอีกครั้ง
เขาจึงเดินไปเปลี่ยนป้าย ซึ่งแขวนอยู่ที่กลอนประตูกลับด้าน จากเปิด เป็น ปิด แล้วเดินกลับมายืนที่เดิม
“ผมมาเอาหนังสือของผม”
อริสาเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ เธอคิด ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้มองคนตรงหน้า อย่างไร้อารมณ์จะเสวนาด้วย
“คุณจะมาเช่าหนังสือหรือคะ เชิญหาหนังสือที่คุณต้องการได้เลยค่ะ รีบๆหาแล้วรีบๆไปนะคะ ฉันจะปิดร้านแล้ว” เธอโบกมือไล่ให้เขาให้ไปหาหนังสือที่ต้องการ
“ผมไม่ได้จะเช่าหนังสือ ผมมาเอาหนังสือ ของผม คืน” เขาเน้นเสียง ของผม ให้ดังเป็นพิเศษ
“ในนี่มีแต่หนังสือ ของฉัน ค่ะ” และเธอก็เน้นคำว่า ของฉัน ดังเป็นพิเศษเช่นกัน
“น้องสาวผมหยิบหนังสือมาผิดเล่ม เธอบอกว่าหลงเอามาคืนที่ร้านนี้ คุณพอจะเห็นหนังสือที่ชื่อ ราชสีห์กับกวางน้อย ไหมครับ”
“เห็นค่ะ” อริสาตอบแบบไม่เต็มปาก เพราะไม่อยากคืนหนังสือเล่มนี้ให้เขาเลย หญิงสาวเห็นว่าไม่มีใครมาถามหาหนังสือเล่มนี้หลายวันแล้ว แอบนึกดีใจที่จะได้ครอบครองมัน พอคิดว่าต้องคืนให้เจ้าของตัวจริงพลันเกิดนึกเสียดายขึ้นมาดื้อๆ
“ผมขอคืนนะครับ” เขาแกล้งยื่นมือมาตรงหน้าเธอเพื่อขอหนังสือ
“ตอนนี้ หนังสืออยู่ที่บ้านฉันน่ะค่ะ พรุ่งนี้คุณมาใหม่ได้ไหมคะ เดี๋ยวฉันจะเอามาคืนให้” อริสาพูดติดๆขัดๆเพราะรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย ที่หยิบหนังสือของคนอื่นไปเก็บไว้บ้านตัวเอง และดันมีเจ้าของตัวจริงมาทวงถึงที่แบบนี้
เขาส่งยิ้มให้เธออย่างมีเลศนัย สายตาเจาะทะลุความคิดคนตรงหน้า ได้อย่างกระจ่างราวรับรู้ได้ว่า หญิงสาวอยากได้หนังสือนิทานเล่มนั้น
“คุณอยากได้หนังสือเล่มนั้นใช่ไหม”
“ไม่ ไม่ค่ะ ฉันแค่เอามันไปเก็บไว้ที่บ้าน กลัวว่ามันจะปะปนกับเล่มอื่นน่ะค่ะ”
“พรุ่งนี้จะเอามาคืนให้ค่ะ” อริสาเอ่ยย้ำความตั้งใจที่จะคืนให้อีกครั้ง
“คงไม่ได้แล้วละ” เขาตอบกลับ
“ทำไมหรือคะ”
“พรุ่งนี้ผมต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพ”
“คุณเขียนที่อยู่ของคุณเอาไว้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันส่งไปให้” เธอยื่นปากกากับแผ่นกระดาษให้เขา
“ว่าแต่ คุณไปซื้อหนังสือเล่มนี้มาจากไหนหรือคะ ฉันเปิดดูตั้งหลายรอบ ไม่มีเห็นชื่อสำนักพิมพ์ ไม่มีชื่อคนเขียนด้วย ฉันกะว่าจะซื้อเก็บไว้น่ะค่ะ” อริสาเอ่ยถามไถ่ด้วยความอยากรู้
“ไม่มีขายครับ”
(มีต่อครับ)