ขอบันทึกเรื่องจากเย็นวันศุกร์ที่ 5 ม.ค. 2561 หลังจากกินข้าวเย็นแล้ว ไปเดินซื้อของเข้าบ้านเริ่มมีอาการปวดท้องข้างซ้ายแบบเดิมๆ กำเริบแต่ยังไม่รุนแรง เลยรีบกลับบ้านกินยา >>> 4 ทุ่มอาการปวดเพิ่มขึ้น ไม่เป็นไรพารา 2 เม็ดแล้วกัน จัดไปค่า >>> ตี 2 สะดุ้งตื่นเพราะอาการปวดที่รุนแรงขึ้น นับชั่วโมงดู ไม่เป็นไรพาราอีก 2 เม็ดด่วน แต่ไม่เป็นอย่างคิดผลุดลุกผลุดนั่ง กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง อาการปวดไม่ลดลงสักนิดเดียว แถมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไอ้อาการปวดมันสุดทนจนกองไปกับพื้น ตัดสินใจปลุกสามีให้พาไปรพ.ตอนตี 3
ณ เตียงห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ครอบครัวเราไว้ใจและรักษากันที่นี่เพราะหมอดีเยี่ยม ยาดีเยี่ยม เครื่องมือดีเยี่ยม ระบบดีเยี่ยม บริการรวดเร็วดีเยี่ยม และค่ารักษาก็สูงตามความดีเยี่ยมทั้งหมดที่กล่าวมาค่าาาาาาาาาา >>> พยาบาลเจาะเข็มพร้อมสายค้างไว้ทันที และฉีดยาแก้ปวดเข็มแรกเข้าไป คุณหมอให้เก็บฉี่ และเลือดไปตรวจ >>> ผ่านไป 10 นาที ไม่ดีขึ้น เจ็บจนกำแผงกั้นข้างเตียงก็แล้ว ขย้ำตัวเองก็แล้ว กำมือสามีก็แล้ว นอนตะแคงไม่ได้ นอนหงายไม่ได้ พยายามลุกนั่งก็ได้แป๊บเดียว >>> ยาเข็มที่ 2 ถูกฉีดเข้าไป อาการก็ยังไม่ดีขึ้น สามีรีบบอกพยาบาลเพราะเวลาผ่านไปสักพักแล้ว พยาบาลแจ้งกลับมาว่าตอนนี้ต้องรอยาออกฤทธิ์ เพราะยาเข็มที่ 2 ที่ฉีดไปคือยาแก้ปวดแบบรุนแรงแล้ว
“กูไม่รอดแน่แล้ว” ในหัวคิดวนเวียนอยู่แต่คำนี้ ขนาดยาที่พยาบาลบอกยังเอาไม่อยู่ ตัดสินใจสั่งเสียกับสามีเพราะถอดใจแล้วล่ะ คุณหมอมาตรวจอีกครั้งตามที่สามีแจ้งว่าไม่ดีขึ้น เมื่อคุณหมอพบว่าอาการปวดท้องข้างซ้ายลามไปถึงหลังและลงไปที่ขาแล้ว หมอจึงส่งให้ไปตรวจต่อที่แผนกสูตินารี เพราะสันนิษฐานว่าน่าจะเกี่ยวกับมดลูกหรือนิ่ว >>> หลังจากหมอสูตรวจอย่างละเอียดจากการอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดและการคลำท้อง ผลคือ “พบถุงน้ำบิดขั้ว ขนาด 7-8 ซม. ต้องผ่าตัดด่วน” ซึ่งจากประวัติพบว่าคุณหมอ...(คุณหมอสูตินารีที่มีชื่อเสียงค่ะ)เป็นผู้ผ่าคลอดให้ คุณหมอสูที่ตรวจให้จึงรีบรายงานผลตรวจและสรุปว่าคุณหมอ...จะรีบเดินทางมาผ่าตัดให้ จึงเริ่มมีการสอบถามเรื่องค่ารักษา >>> เริ่มที่ประมาณ 150,000 บาท ซึ่งจากการประมวลอย่างรวดเร็วน่าจะทะลุ 200,000 แน่นอน ถึงท้องดิชั้นจะปวดมากกกกกกกก แต่ดิชั้นรู้ตัวตลอด รับรู้เรือ่งตลอดค่าาาาาาา เลยคิดว่า “อะไรกันผ่าถุงน้ำอะไรนี่ ทำไมมันแพงกว่าตอนผ่าคลอดห๊าาาา ตอนคลอดได้ลูกกลับบ้าน แล้วนี่จะเอาถุงน้ำอะไรก็ไม่รู้กลับบ้านหรอ... ไม่ ไม่มีทางชั้นจะไม่ยอมเสียตังค์ก้อนนี้”
เราใช้เวลาไม่นานตกลงกับคุณสามีว่าเปลี่ยนรพ. คุณหมอเขียนใบส่งตัวให้อย่างละเอียด สามีวางเงินประกันค่ารักษาทั้งหมดเสร็จ เพื่อย้ายไปอีกรพ. นึงที่มีสิทธิประกันสังคม(ส่งประกันสังคมตัวเองถึงแม้ไม่ได้ทำงานประจำแล้วนะคะ ใครที่ออกจากงานมาเพื่อทำธุรกิจตัวเองอย่าลืมไปทำไว้นะคะ เพราะเราได้ใช้เวลาฉุกเฉินอย่างนี้ค่ะ) >>> รวมเวลาทั้งหมดที่ รพ.แรก คือ 3 ชม.
6 โมงเช้าวันเสาร์ที่ 6 ม.ค. 2561 ณ เตียงห้องฉุกเฉินของอีกรพ. สามีร้องขอยาแก้ปวดจากนางพยาบาลให้เพิ่ม แต่พยาบาลไม่สามารถให้ได้เพราะพบว่าถูกฉีดมอร์ฟีนมาเมื่อตอนตี 3 แล้ว หากจะฉีดเพิ่มต้องรออีก 6 ชม. ตอนนั้นเราถึงได้รู้ว่ายาแก้ปวดแบบรุนแรงนั้นมันคือ...มอร์ฟีน!!! น่านไง เอาแล้วไง ทำไมชั้นไม่ดีขึ้น ช่วยฉีดยาสลบให้ดิชั้นเลยได้มั๊ยเนี่ย >>> 9 โมงกว่าถึงได้ตรวจกับหมอสูที่รพ. นี้ (ช่วงเวลา 3 ชม. ที่ผ่านไปไม่ต้องพูดถึง มีแค่บางช่วงที่บรรเทาลงนิดนึง เพราะอาการปวดไม่ได้แค่ข้างซ้ายแล้ว มันลามไปหมดทั้งข้างขวา ทั้งหลัง) ผลการซาวด์ทางหน้าท้องคือ “ซีสต์รังไข่ขนาด 10 ซม” ผ่างๆๆๆๆๆๆๆ ใช่แล้วค่า เกิดมาจนตอนนี้ดิชั้นเพิ่งรู้ว่า “ถุงน้ำรังไข่” กับ “ซีสต์รังไข่” มันคืออย่างเดียวกันนนนนนนนนนนนนนนน
ที่มา
http://paolohospital.com
การผ่าตัดเริ่มขึ้นตอนบ่ายโมง โชคดีที่ตอน 11 โมงได้ยาแก้ปวดฉีดเข้าเส้น ซึ่งไม่ทราบว่าทำไมถึงได้ผลดีมาก เพราะปวดน้อยลงและหลับไปได้ 2 ชม.>>> ณ ห้องผ่าตัด เริ่มด้วยการบล็อคหลัง (ขอยืนยันว่าการบล็อคหลังไม่เจ็บค่า เพราะนี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วจากที่เคยบล็อกเพื่อผ่าคลอด ขอแค่งอตัวเยอะๆเป็นพอ) เมื่อหมอลงมือผ่าตัด อาการเวียนหัวและอาเจียนเกิดขึ้นทันที หายใจก็ไม่สะดวก เวลาผ่านไปสักพักคุณหมอชะโงกหน้ามาบอกว่า หมอต้องตัดมดลูกหรืออะไรสักอย่างที่มารู้ที่หลังว่าคือรังไข่กับปีกมดลูกข้างซ้ายออกไป เพราะซีสต์ มีขนาดใหญ่มาก ในใจคิดว่า...แล้วชั้นเลือกอะไรได้มั๊ย เลือกให้เธอไม่ตัดได้หรือเปล่า.. 555 ทำนองเพลงซาซ่าดังขึ้นมาเลย >>> ประสบการณ์แสนทรมานนี้ผ่านไปได้ 4 ชม. (ผ่าตัดประมาณ 1 ชม.ครึ่ง และอยู่ห้องสังเกตการณ์อีก 2 ชม.ครึ่ง) 5 โมงเย็นก็ถูกส่งตัวขึ้นมาที่ห้อง ปรากฏว่าต้องนอนราบไปอีกจนตี 2 ถึงขยับลุกนั่งได้ และต้องอดข้าวอดน้ำต่อไปอีกจนเช้าอีกวันนึง
ตกดึกอาการชาที่บล็อคหลังไว้เริ่มหายไป ทีนี้แหละค่ะ กระดิกตัวก็เจ็บ นอนราบนานๆก็ทรมาน โอ๊ยตายๆๆๆ เริ่มหิวน้ำด้วย เพราะเท่ากับอดน้ำตั้งแต่ตี 2 ของวันศุกร์ อดทนไว้ๆ >>> ตี 4 พยายามลุกขึ้นนั่ง เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเร็ว แต่ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะเจ็บไปหมด ทั้งแผล ปวดทั้งหลัง ไหนจะสายสวนปัสสาวะ สายน้ำเกลือ ทุกอย่างเป็นอุปสรรคในการลุกขึ้นนั่ง และไม่สามารถให้ใครมาช่วยได้ เพราะไม่ว่าใครมาจับก็เจ็บไปหมด
เช้าวันที่ 7 มกราคม 2561 หมอสั่งอาหารเหลว(น้ำซุป, โอวันติน, น้ำข้าว, น้ำแดง)มาไว้ให้ แต่กินแทบไม่ได้ เพราะการผ่าตัดเปิดหน้าท้องทำให้ระบบการทำงานของร่างกายโดยเฉพาะระบบการย่อยหยุดทำงานไปช่วงนึง(ตามที่พยาบาลบอกนะคะ) ระหว่างที่ลำไส้ยังทำงานไม่ปกติ จึงเกิดอาการท้องอืด ทีนี้ท้องเลยใหญ่ม๊าก อึดอัดมาก กินอะไรก็ไม่ได้ ทางแก้คือต้องพยายามลุกนั่ง และเดินให้ลำไส้กลับมาทำงาน >>> ช่วงบ่ายขอให้พยาบาลถอดสายสวนปัสสาวะออก เพราะมันลำบากกับการลุกนั่งมาก รอจนเย็นคงไม่ไหว และจำได้ว่าตอนผ่าคลอดวันรุ่งขึ้นพยาบาลก็ถอดออกให้แล้ว เพราะต้องรีบเดินจะได้ไม่เป็นพังผืด >>> ช่วงเย็นพยาบาลมาถอดสายน้ำเกลือให้ พยายามลุกเดินไปฉี่เองโดยมีสามีคอยประคอง ฉี่ครั้งแรกหลังผ่าตัด โอ้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เฮ้ยทำไมมันเจ็บอย่างนี้ เหมือนอวัยวะภายในมันกระเทือนไปหมด เจ็บจนจะเป็นลมอยู่ในห้องน้ำ นี่มันอะไรกันเนี่ย
วันที่ 9 มกราคม 2561 วันออกจากรพ. ยังเดินไม่ค่อยถนัด นอนก็ยังไม่ค่อยหลับเพราะสะดุ้งเจ็บแผล กินอาหารอ่อนๆได้นิดหน่อย โชคดีมีผลไม้และของบำรุงร่างกายจากเพื่อนๆที่มาเยี่ยมเพียบเลย ตกเย็นเกิดเป็นหวัดขึ้นมาอีก จามแต่ะทีสะท้านไปทั้งร่างกาย เจ็บม๊าก ไข้ก็มาอีก โอ้ววววได้โปรดพอสะทีค่า ดิชั้นรักษาตามไม่ทันแล้วเนี่ย
นอกจากความลำบากของตัวเองแล้ว ยังต้องลำบากคนที่ต้องมาคอยดูแล ครั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้คุณสามีที่คอยบริการทุกอย่าง ทั้งๆที่ตัวเองก็งานยุ่ง ไหนจะงานบ้าน ไหนจะต้องดูแลลูกอีก เพราะดิชั้นไม่สามารถทำอะไรได้เลย แม้แต่เดิน ลุก นั่งยังลำบาก รู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระก็คราวนี้แหละค่า แล้วยังต้องขอบคุณแม่ที่คอยไปรับหลานกลับจากโรงเรียนไปดูแลให้จนดึกอีก
..............................................................
จากเรื่องที่เล่าข้างบนผึ้งขอบันทึกไว้เพื่อเตือนตัวเอง เตือนทุกคนที่ได้อ่าน เพราะอย่างกรณีของผึ้งเคยมีลูกแล้ว เปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นซีสต์จะน้อยกว่าคนที่ไม่เคยมีลูกด้วยซ้ำ แถมผึ้งยังตรวจภายในเป็นประจำ มาเมื่อ 2 ปีก่อนผึ้งต้องไปขูดมดลูกตอนที่แท้งลูกคนที่ 2 ไป ผลก็ยังเป็นปกติไม่พบซีสต์หรือความผิดปกติอะไร แต่ปีที่ผ่านมาผึ้งไม่ได้ตรวจเพราะติดโน่นอ้างนี่ก็กลับมาเอาชีวิตเกือบไม่รอดเพราะซีสต์ขนาด 10 ซม. พอขนาดใหญ่มากก็ทำให้มันบิดจนปวดท้องรุนแรง ยังถือว่าโชคดีที่มันไม่แตก ไม่อย่างนั้นจะเป็นยังไงต่อไปก็ยังไม่รู้ แต่ก็ต้องถูกตัดปีกมดลูกกับรังไข่ข้างซ้ายออกไป
ที่มา
http://paolohospital.com
คุณหมอรวมทั้งเพื่อนหลายๆคนถามเหมือนกันว่าไม่รู้สึกอะไรผิดปกติ หรือปวดท้องอะไรก่อนหน้านี้ไหม? >>> ผึ้งขอตอบเรื่องปวดท้องก่อน คือผึ้งมีอาการปวดท้องข้างซ้ายมาตั้งแต่ประมาณเดือนพ.ค. ปีที่แล้ว พอไปพบคุณหมอก็วินิจฉัยให้ยาเกี่ยวกับลำไส้อักเสบมากิน และต้องกินข้าวให้ตรงเวลา ซึ่งถ้าไม่หายต้องไปพบหมออีก แล้วปรากฎว่ากินยาแล้วหาย เลยไม่ได้ไปพบหมออีก ทุกครั้งที่ปวดท้อง ผึ้งก็จะกินแต่ยาที่คุณหมอให้ไว้ ซึ่งถ้าปวดมากก็กินยาแก้ปวดเพิ่มเข้าไป >>> มาถึงเรื่องประจำเดือน ผึ้งก็จะมาปกติ บางเดือนอาจมาไม่ตรงบ้างนิดหน่อย ส่วนอาการปวดท้องเมนส์ก็ปวดบ้างแต่ก็คิดว่าปกติ เพราะตอนวัยรุ่นจนก่อนมีลูกก็ปวดเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ๆๆๆๆๆ พอมาคิดย้อนกลับไป หลังจากคลอดลูกมา 4-5 ปี ผึ้งแทบไม่ปวดท้องเมนส์เลย จนมาช่วงหลังๆนี่แหละ ผึ้งจะปวดท้องเหมือนมีเมนส์ก่อนวันเมนส์มาประมาณ 2 อาทิตย์ และจะปวดท้องเมนส์ทุกเดือนเลย
นี่ไงคะ ความผิดปกติที่มองข้ามไป ความไม่ใส่ใจสุขภาพตัวเอง เกือบทำให้ผึ้งไม่ได้มีโอกาสมาเล่าเรื่องไว้ในบันทึกนี้.................
>>>>>>>>>>>>>>>> สาวๆ ไปตรวจสุขภาพกันด้วยนะ ปีละครั้งก็ยังดีจ้า <<<<<<<<<<<<<<<<<<<
เปิดประสบการณ์ซีสต์รังไข่...!!!...
ณ เตียงห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ครอบครัวเราไว้ใจและรักษากันที่นี่เพราะหมอดีเยี่ยม ยาดีเยี่ยม เครื่องมือดีเยี่ยม ระบบดีเยี่ยม บริการรวดเร็วดีเยี่ยม และค่ารักษาก็สูงตามความดีเยี่ยมทั้งหมดที่กล่าวมาค่าาาาาาาาาา >>> พยาบาลเจาะเข็มพร้อมสายค้างไว้ทันที และฉีดยาแก้ปวดเข็มแรกเข้าไป คุณหมอให้เก็บฉี่ และเลือดไปตรวจ >>> ผ่านไป 10 นาที ไม่ดีขึ้น เจ็บจนกำแผงกั้นข้างเตียงก็แล้ว ขย้ำตัวเองก็แล้ว กำมือสามีก็แล้ว นอนตะแคงไม่ได้ นอนหงายไม่ได้ พยายามลุกนั่งก็ได้แป๊บเดียว >>> ยาเข็มที่ 2 ถูกฉีดเข้าไป อาการก็ยังไม่ดีขึ้น สามีรีบบอกพยาบาลเพราะเวลาผ่านไปสักพักแล้ว พยาบาลแจ้งกลับมาว่าตอนนี้ต้องรอยาออกฤทธิ์ เพราะยาเข็มที่ 2 ที่ฉีดไปคือยาแก้ปวดแบบรุนแรงแล้ว
“กูไม่รอดแน่แล้ว” ในหัวคิดวนเวียนอยู่แต่คำนี้ ขนาดยาที่พยาบาลบอกยังเอาไม่อยู่ ตัดสินใจสั่งเสียกับสามีเพราะถอดใจแล้วล่ะ คุณหมอมาตรวจอีกครั้งตามที่สามีแจ้งว่าไม่ดีขึ้น เมื่อคุณหมอพบว่าอาการปวดท้องข้างซ้ายลามไปถึงหลังและลงไปที่ขาแล้ว หมอจึงส่งให้ไปตรวจต่อที่แผนกสูตินารี เพราะสันนิษฐานว่าน่าจะเกี่ยวกับมดลูกหรือนิ่ว >>> หลังจากหมอสูตรวจอย่างละเอียดจากการอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดและการคลำท้อง ผลคือ “พบถุงน้ำบิดขั้ว ขนาด 7-8 ซม. ต้องผ่าตัดด่วน” ซึ่งจากประวัติพบว่าคุณหมอ...(คุณหมอสูตินารีที่มีชื่อเสียงค่ะ)เป็นผู้ผ่าคลอดให้ คุณหมอสูที่ตรวจให้จึงรีบรายงานผลตรวจและสรุปว่าคุณหมอ...จะรีบเดินทางมาผ่าตัดให้ จึงเริ่มมีการสอบถามเรื่องค่ารักษา >>> เริ่มที่ประมาณ 150,000 บาท ซึ่งจากการประมวลอย่างรวดเร็วน่าจะทะลุ 200,000 แน่นอน ถึงท้องดิชั้นจะปวดมากกกกกกกก แต่ดิชั้นรู้ตัวตลอด รับรู้เรือ่งตลอดค่าาาาาาา เลยคิดว่า “อะไรกันผ่าถุงน้ำอะไรนี่ ทำไมมันแพงกว่าตอนผ่าคลอดห๊าาาา ตอนคลอดได้ลูกกลับบ้าน แล้วนี่จะเอาถุงน้ำอะไรก็ไม่รู้กลับบ้านหรอ... ไม่ ไม่มีทางชั้นจะไม่ยอมเสียตังค์ก้อนนี้”
เราใช้เวลาไม่นานตกลงกับคุณสามีว่าเปลี่ยนรพ. คุณหมอเขียนใบส่งตัวให้อย่างละเอียด สามีวางเงินประกันค่ารักษาทั้งหมดเสร็จ เพื่อย้ายไปอีกรพ. นึงที่มีสิทธิประกันสังคม(ส่งประกันสังคมตัวเองถึงแม้ไม่ได้ทำงานประจำแล้วนะคะ ใครที่ออกจากงานมาเพื่อทำธุรกิจตัวเองอย่าลืมไปทำไว้นะคะ เพราะเราได้ใช้เวลาฉุกเฉินอย่างนี้ค่ะ) >>> รวมเวลาทั้งหมดที่ รพ.แรก คือ 3 ชม.
6 โมงเช้าวันเสาร์ที่ 6 ม.ค. 2561 ณ เตียงห้องฉุกเฉินของอีกรพ. สามีร้องขอยาแก้ปวดจากนางพยาบาลให้เพิ่ม แต่พยาบาลไม่สามารถให้ได้เพราะพบว่าถูกฉีดมอร์ฟีนมาเมื่อตอนตี 3 แล้ว หากจะฉีดเพิ่มต้องรออีก 6 ชม. ตอนนั้นเราถึงได้รู้ว่ายาแก้ปวดแบบรุนแรงนั้นมันคือ...มอร์ฟีน!!! น่านไง เอาแล้วไง ทำไมชั้นไม่ดีขึ้น ช่วยฉีดยาสลบให้ดิชั้นเลยได้มั๊ยเนี่ย >>> 9 โมงกว่าถึงได้ตรวจกับหมอสูที่รพ. นี้ (ช่วงเวลา 3 ชม. ที่ผ่านไปไม่ต้องพูดถึง มีแค่บางช่วงที่บรรเทาลงนิดนึง เพราะอาการปวดไม่ได้แค่ข้างซ้ายแล้ว มันลามไปหมดทั้งข้างขวา ทั้งหลัง) ผลการซาวด์ทางหน้าท้องคือ “ซีสต์รังไข่ขนาด 10 ซม” ผ่างๆๆๆๆๆๆๆ ใช่แล้วค่า เกิดมาจนตอนนี้ดิชั้นเพิ่งรู้ว่า “ถุงน้ำรังไข่” กับ “ซีสต์รังไข่” มันคืออย่างเดียวกันนนนนนนนนนนนนนนน
ที่มา http://paolohospital.com
การผ่าตัดเริ่มขึ้นตอนบ่ายโมง โชคดีที่ตอน 11 โมงได้ยาแก้ปวดฉีดเข้าเส้น ซึ่งไม่ทราบว่าทำไมถึงได้ผลดีมาก เพราะปวดน้อยลงและหลับไปได้ 2 ชม.>>> ณ ห้องผ่าตัด เริ่มด้วยการบล็อคหลัง (ขอยืนยันว่าการบล็อคหลังไม่เจ็บค่า เพราะนี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วจากที่เคยบล็อกเพื่อผ่าคลอด ขอแค่งอตัวเยอะๆเป็นพอ) เมื่อหมอลงมือผ่าตัด อาการเวียนหัวและอาเจียนเกิดขึ้นทันที หายใจก็ไม่สะดวก เวลาผ่านไปสักพักคุณหมอชะโงกหน้ามาบอกว่า หมอต้องตัดมดลูกหรืออะไรสักอย่างที่มารู้ที่หลังว่าคือรังไข่กับปีกมดลูกข้างซ้ายออกไป เพราะซีสต์ มีขนาดใหญ่มาก ในใจคิดว่า...แล้วชั้นเลือกอะไรได้มั๊ย เลือกให้เธอไม่ตัดได้หรือเปล่า.. 555 ทำนองเพลงซาซ่าดังขึ้นมาเลย >>> ประสบการณ์แสนทรมานนี้ผ่านไปได้ 4 ชม. (ผ่าตัดประมาณ 1 ชม.ครึ่ง และอยู่ห้องสังเกตการณ์อีก 2 ชม.ครึ่ง) 5 โมงเย็นก็ถูกส่งตัวขึ้นมาที่ห้อง ปรากฏว่าต้องนอนราบไปอีกจนตี 2 ถึงขยับลุกนั่งได้ และต้องอดข้าวอดน้ำต่อไปอีกจนเช้าอีกวันนึง
ตกดึกอาการชาที่บล็อคหลังไว้เริ่มหายไป ทีนี้แหละค่ะ กระดิกตัวก็เจ็บ นอนราบนานๆก็ทรมาน โอ๊ยตายๆๆๆ เริ่มหิวน้ำด้วย เพราะเท่ากับอดน้ำตั้งแต่ตี 2 ของวันศุกร์ อดทนไว้ๆ >>> ตี 4 พยายามลุกขึ้นนั่ง เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเร็ว แต่ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะเจ็บไปหมด ทั้งแผล ปวดทั้งหลัง ไหนจะสายสวนปัสสาวะ สายน้ำเกลือ ทุกอย่างเป็นอุปสรรคในการลุกขึ้นนั่ง และไม่สามารถให้ใครมาช่วยได้ เพราะไม่ว่าใครมาจับก็เจ็บไปหมด
เช้าวันที่ 7 มกราคม 2561 หมอสั่งอาหารเหลว(น้ำซุป, โอวันติน, น้ำข้าว, น้ำแดง)มาไว้ให้ แต่กินแทบไม่ได้ เพราะการผ่าตัดเปิดหน้าท้องทำให้ระบบการทำงานของร่างกายโดยเฉพาะระบบการย่อยหยุดทำงานไปช่วงนึง(ตามที่พยาบาลบอกนะคะ) ระหว่างที่ลำไส้ยังทำงานไม่ปกติ จึงเกิดอาการท้องอืด ทีนี้ท้องเลยใหญ่ม๊าก อึดอัดมาก กินอะไรก็ไม่ได้ ทางแก้คือต้องพยายามลุกนั่ง และเดินให้ลำไส้กลับมาทำงาน >>> ช่วงบ่ายขอให้พยาบาลถอดสายสวนปัสสาวะออก เพราะมันลำบากกับการลุกนั่งมาก รอจนเย็นคงไม่ไหว และจำได้ว่าตอนผ่าคลอดวันรุ่งขึ้นพยาบาลก็ถอดออกให้แล้ว เพราะต้องรีบเดินจะได้ไม่เป็นพังผืด >>> ช่วงเย็นพยาบาลมาถอดสายน้ำเกลือให้ พยายามลุกเดินไปฉี่เองโดยมีสามีคอยประคอง ฉี่ครั้งแรกหลังผ่าตัด โอ้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เฮ้ยทำไมมันเจ็บอย่างนี้ เหมือนอวัยวะภายในมันกระเทือนไปหมด เจ็บจนจะเป็นลมอยู่ในห้องน้ำ นี่มันอะไรกันเนี่ย
วันที่ 9 มกราคม 2561 วันออกจากรพ. ยังเดินไม่ค่อยถนัด นอนก็ยังไม่ค่อยหลับเพราะสะดุ้งเจ็บแผล กินอาหารอ่อนๆได้นิดหน่อย โชคดีมีผลไม้และของบำรุงร่างกายจากเพื่อนๆที่มาเยี่ยมเพียบเลย ตกเย็นเกิดเป็นหวัดขึ้นมาอีก จามแต่ะทีสะท้านไปทั้งร่างกาย เจ็บม๊าก ไข้ก็มาอีก โอ้ววววได้โปรดพอสะทีค่า ดิชั้นรักษาตามไม่ทันแล้วเนี่ย
นอกจากความลำบากของตัวเองแล้ว ยังต้องลำบากคนที่ต้องมาคอยดูแล ครั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้คุณสามีที่คอยบริการทุกอย่าง ทั้งๆที่ตัวเองก็งานยุ่ง ไหนจะงานบ้าน ไหนจะต้องดูแลลูกอีก เพราะดิชั้นไม่สามารถทำอะไรได้เลย แม้แต่เดิน ลุก นั่งยังลำบาก รู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระก็คราวนี้แหละค่า แล้วยังต้องขอบคุณแม่ที่คอยไปรับหลานกลับจากโรงเรียนไปดูแลให้จนดึกอีก
..............................................................
จากเรื่องที่เล่าข้างบนผึ้งขอบันทึกไว้เพื่อเตือนตัวเอง เตือนทุกคนที่ได้อ่าน เพราะอย่างกรณีของผึ้งเคยมีลูกแล้ว เปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นซีสต์จะน้อยกว่าคนที่ไม่เคยมีลูกด้วยซ้ำ แถมผึ้งยังตรวจภายในเป็นประจำ มาเมื่อ 2 ปีก่อนผึ้งต้องไปขูดมดลูกตอนที่แท้งลูกคนที่ 2 ไป ผลก็ยังเป็นปกติไม่พบซีสต์หรือความผิดปกติอะไร แต่ปีที่ผ่านมาผึ้งไม่ได้ตรวจเพราะติดโน่นอ้างนี่ก็กลับมาเอาชีวิตเกือบไม่รอดเพราะซีสต์ขนาด 10 ซม. พอขนาดใหญ่มากก็ทำให้มันบิดจนปวดท้องรุนแรง ยังถือว่าโชคดีที่มันไม่แตก ไม่อย่างนั้นจะเป็นยังไงต่อไปก็ยังไม่รู้ แต่ก็ต้องถูกตัดปีกมดลูกกับรังไข่ข้างซ้ายออกไป
ที่มา http://paolohospital.com
คุณหมอรวมทั้งเพื่อนหลายๆคนถามเหมือนกันว่าไม่รู้สึกอะไรผิดปกติ หรือปวดท้องอะไรก่อนหน้านี้ไหม? >>> ผึ้งขอตอบเรื่องปวดท้องก่อน คือผึ้งมีอาการปวดท้องข้างซ้ายมาตั้งแต่ประมาณเดือนพ.ค. ปีที่แล้ว พอไปพบคุณหมอก็วินิจฉัยให้ยาเกี่ยวกับลำไส้อักเสบมากิน และต้องกินข้าวให้ตรงเวลา ซึ่งถ้าไม่หายต้องไปพบหมออีก แล้วปรากฎว่ากินยาแล้วหาย เลยไม่ได้ไปพบหมออีก ทุกครั้งที่ปวดท้อง ผึ้งก็จะกินแต่ยาที่คุณหมอให้ไว้ ซึ่งถ้าปวดมากก็กินยาแก้ปวดเพิ่มเข้าไป >>> มาถึงเรื่องประจำเดือน ผึ้งก็จะมาปกติ บางเดือนอาจมาไม่ตรงบ้างนิดหน่อย ส่วนอาการปวดท้องเมนส์ก็ปวดบ้างแต่ก็คิดว่าปกติ เพราะตอนวัยรุ่นจนก่อนมีลูกก็ปวดเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ๆๆๆๆๆ พอมาคิดย้อนกลับไป หลังจากคลอดลูกมา 4-5 ปี ผึ้งแทบไม่ปวดท้องเมนส์เลย จนมาช่วงหลังๆนี่แหละ ผึ้งจะปวดท้องเหมือนมีเมนส์ก่อนวันเมนส์มาประมาณ 2 อาทิตย์ และจะปวดท้องเมนส์ทุกเดือนเลย
นี่ไงคะ ความผิดปกติที่มองข้ามไป ความไม่ใส่ใจสุขภาพตัวเอง เกือบทำให้ผึ้งไม่ได้มีโอกาสมาเล่าเรื่องไว้ในบันทึกนี้.................
>>>>>>>>>>>>>>>> สาวๆ ไปตรวจสุขภาพกันด้วยนะ ปีละครั้งก็ยังดีจ้า <<<<<<<<<<<<<<<<<<<