บนถนนสายหนึ่ง ๒๔ ม.ค.๖๑

เรื่องสั้น

บนถนนสายหนึ่ง

เพทาย ทิพยสุนทร

ฉันเดินทอดน่องไปตามถนนอย่างสบายอารมณ์ เช้าวันนี้อากาศปลอดโปร่งแจ่มใส ยังความสุขสดชื่นให้แก่ฉันเป็นอย่างยิ่ง จากสายลมเย็นที่พลิ้วมาลูบไล้ผิวกายของฉัน ได้ช่วยปลดเปลื้องความทุกข์กังวลในสมอง ให้หายไปได้อย่างประหลาด ฉันถอนใจยาวอย่างมีความสุข ปัญหาที่ว่าวันนี้จะได้อะไรมาใส่กระเพาะ และค่ำนี้จะนอนที่ไหนนั้น พักเอาไว้ก่อน มันคงจะหาได้ไม่สู้ยากนัก ชีวิตเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีค่าอย่างฉัน จะต้องไปพิถีพิถันอะไรกับมันนัก ไม่มีใครเขามาเอาใจใส่ด้วยหรอก มันเป็นกรรมของฉันเอง ที่เกิดมาอาภัพ ปราศจากพ่อแม่พี่น้อง

ฉันต้องผจญกับโลกด้วยตัวคนเดียวแท้ ๆ แต่ฉันก็ไม่เคยวิตกทุกข์ร้อน ต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของฉัน ชีวิตมันก็เหมือนกับถนนที่กำลังเดินอยู่นี่แหละ บางตอนก็เรียบร้อยร่มรื่น บางแห่งก็เป็นหลุมเป็นบ่อเต็มไปด้วยโคลนเลน ชีวิตมีทั้งด้านร้ายและดี แต่โดยมากมักจะเป็นไอ้ที่ร้าย ๆ นั่นแหละ ที่เวียนมาพบกับฉันบ่อย ๆ

ฉันต้องสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เมื่อรู้สึกว่าใครคนหนึ่ง เดินมาชนฉันเข้าเต็มแรง จนตกลงไปจากทางเท้าริมถนน ฉันจึงเงยหน้าขึ้นดู เขาเป็นชายหนุ่มแต่งกายเรียบร้อย แต่เขาคงจะมีเรื่องยุ่งใจ และรีบร้อนไปไหนสักแห่งหนึ่ง จึงขาดความระมัดระวังจนเดินมาชนฉันเข้า แต่แทนที่เขาจะรู้สึกตัวว่าเป็นผู้ผิด เขากลับตวาดจนฉันสะดุ้ง

“ไอ้ห่ะ................เดินเกะกะจริง เดี๋ยวพ่อด....”

พร้อมคำพูดเท้าของเขาก็เหวี่ยงวืดมาทันที ฉันรีบเผ่นพรวดออกไปกลางถนน หวังจะหลบให้พ้นรัศมี แต่เป็นคราวเคราะห์ รถยนต์คันหนึ่งแล่นสวนมาด้วยความเร็ว ก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น กันชนหน้าของรถคันนั้น ก็เกยพรวดเข้ามาเต็มแรง ร่างของฉันกระเด็นไปคล้ายถูกเหวี่ยงด้วยแรงยักษ์ รู้สึกว่าส่วนล่างชาวูบไปทั้งแถบ หูอื้อ ตาลาย ทุกสิ่งทุกอย่างรอบ ๆ ตัวหมุนเคว้งคว้างไปหมด และก่อนที่ฉันจะทำประการใดต่อไป รถคันนั้นก็แล่นลับหายไปจากสายตาอันพร่ามัวของฉันเสียแล้ว

เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ฉันจึงขยับตัวจะออกเดินก็ต้องสะดุ้ง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่งสรรพางค์กาย ความรู้สึกบอกตัวเองว่า ขาทั้งสองข้างได้หักเสียแล้ว ฉันต้องเหยียดร่างลงกับพื้นถนนตามเดิม กัดฟันแน่นเหงื่อซึมออกมาทุกขุมขน ความเจ็บปวดได้ทวีขึ้นทุกขณะ จนทนไม่ไหวต้องร้องออกมา เด็ก ๆ สองสามคนที่วิ่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้นพากันมามุงดูฉันเป็นกลุ่ม แต่ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ บรรดาผู้คนซึ่งสัญจรไปมาเมื่อมองเห็นฉันเข้า บางคนก็ปลงอนิจจัง บางคนก็สมเพช และบางคนก็สมน้ำหน้า แต่เขาเหล่านั้นก็เดินผ่านไปจนหมดสิ้น ไม่มีเลยแม้สักคนเดียว ที่จะหยุดช่วยเหลือฉัน

นอกจากแม่หนูน้อยผู้หนึ่งในเครื่องแบบนักเรียนอนุบาล ซึ่งเดินมากับมารดา เธอวิ่งลงมานั่งข้าง ๆ ฉัน พร้อมกับยื่นมือเล็ก ๆ ขาวสะอาดของเธอลูบศีรษะฉันพลางว่า

“ เป็นอะไรไปหรือ....เจ็บมั้ย....โถ...เจ็บหรือจ๊ะ................”

ฉันรู้สึกซาบซ่านไปตลอดร่าง ความเจ็บปวดดูเหมือนจะหายไปสิ้น ฉันซุกศีรษะลงเกลือกมือของหนูน้อยผู้นั้น อย่างเต็มตื้นไปด้วยความภักดี เธอขยับเข้ามาใกล้ มือยังคงลูบไล้ร่างกายของฉันอยู่

“ เป็นไงบ้าง.... เจ็บมากหรือ... โถ...น่าสงสาร.....”

แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้รับความสุข อันเกิดจากความปราณีของหนูน้อยผู้นั้นได้สมใจ หญิงผู้เป็นมารดาก็เข้ามาฉุดมือเธอ ให้ลุกขึ้นยืนพลางว่า

“ ดูซี ลูกแต๋ว ไปยุ่งกับมันทำไมนะ สกปรกออก ไอ้หมากลางถนนพรรค์นั้น ไปเถอะลูก เดี๋ยวไม่ทันเข้าแถว “

ว่าแล้วก็จูงมือหนูน้อย ให้ออกเดินไปจากที่นั้นปล่อยให้ฉันนอนครวญครางอยู่แต่เดียวดาย.

############
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่