ปี 1967 เราเรียนอยู่เมืองคูรูเมะ ตอนกลางของเกาะกิวชิว ทุกเย็นถึงค่ำวันศุกร์
คือวันเที่ยวที่ออกจากหอพักได้ ก่อนโน้นต้องเดินอย่างเดียว ซอกแซกไกลออก
ไปเรื่อย ดูโน่นดูนี่ที่แปลกหูแปลกตาสองข้างถนน เป็นกิโลฯกว่าจะเข้าย่านการค้า
ที่เปิดค้าขายในช่วงกลางคืน คือเปิดก่อน 5 โมงเย็นทั้งร้านกาแฟ ร้าน อาหาร บาร์
ยิ่งค่ำวันศุกร์จะ คึกคักน่าสนุกมาก เราแค่วัยรุ่นต่ำกว่ายี่สิบปี คงเข้าได้แค่ร้านกาแฟ
กับร้านอาหาร แวะแรกก็ต้อง ร้านกาแฟชื่อเดงเอน(ออกเสียงนิฮ่องจ๋าก็ต้อง "เด็งเอ็ง")
โอโจ้ซัง-สาวน้อยนิฮองยิ่ง จึงจะมาถูกร้าน เราสั่ง "โคย โคฮี - กาแฟดำ" เพื่อนไทยวัยเดียว
กัน มันก็จะสั่งกาแฟดำเหมือนกัน แต่มันออกเสียงสุด สัปดน ไทยฟังแล้วสะดุ้งโหยง
โอ้เอ้วิหารลายดู โอโจ้ซัง สวยๆทั่วร้านก็เกือบทุ่ม ออกเดินกันต่อไปร้านอาหารโปรดที่
อยู่ไม่ไกล เป็นร้านปิ้ง-ย่างขนานแท้สมัยห้าสิบกว่าปีก่อนโน้น เราสั่งแต่ของโปรด(แทบ
ทุกครั้ง) คือ " ฮอละมง" เตาปิ้ง-ย่างกลางโต๊ะเตี้ยๆญี่ปุ่น พวกเรานั่งเรียง ห้อยขาไปในหลุม
ใต้โต๊ะ ที่อุ่นขาด้วยฮีทเต้อร์ ฮอละมง ประกอบด้วย สาระพัดเครื่องในเนื้อวัว เช่น ผ้าขี้ริ้ว ตับ ม้าม
เนื้อ(สัน ?) ฯลฯ ซ๊อสราด/จุ่ม ก็ได้นั้น มี โชยุ๊-ซีอิ๊ว กระเทียมสับ งาขาว เติมไม่มีอั้น ย่างไปกินไป
ไม่มีใครกิน โกฮัง-ข้าวสวย ชั่วโมงกว่าๆก็พุงตึงละ ออกเดินชมตลาดเสื้อผ้า จิปาถะกันต่อ
จริงๆน่ะเดินชม สาวน้อย โอโจ้ซัง ต่อปากต่อคำกันเล่นไปทุกๆร้าน พอได้ซื้อ T-Shirt หนาๆ
ใส่หน้าหนาวกันบ้างตาม ทุนทรัพย์นักเรียน 18,000 เอง(เยน)/เดือน เวลาทอดน่องคืนวันศุกร์
ใกล้หมดละ เดินล่องขากลับ อีกถนนนึง จะเป็น street food สาระพัดของกินกลางคืนที่ขาย
ในรถเข็น เรียงรายเลือกกินตามชอบ เราก็จะแวะจ้าวประจำคือ " ราเม่ง เปิดตูด " ร้านรถเข็นต่อกัน
ยาว 2 คัน หน้าหนาวเขาจึงปล่อยผ้าคลุม(ม่าน)จากหลังคารถเข็นลงมาคลุมคนที่มุดโผล่ตัวเข้าไป
นั่งกินหน้าเคาเต้อร์ ผ้าจึงคลุมลงถึงก้นกันหนาว ราเม่งเส้นกลมเหนียวอร่อยมีเนื้อ มีหมู มีหอย มีไข่พะโล้
ชามเบ้อเริ่มเทิ่ม(นิฮองยิ่ง ผู้ชายกินจุ) จะให้น้ำซุปหอมซดกันซู๊ดซ๊าดอร่อยมั่กๆ น่าจะชามละ 100 เอง
(คงจำไม่ผิด) ปี 1980 กว่าๆไปกินอีก ราคาเป็นชามละ 400 เองขึ้นไปละ จบก่อนนะ วันหลังไปกันอีกได้
เล่าเรื่องกิน ราเม่ง ครั้งก่อนโน้น
คือวันเที่ยวที่ออกจากหอพักได้ ก่อนโน้นต้องเดินอย่างเดียว ซอกแซกไกลออก
ไปเรื่อย ดูโน่นดูนี่ที่แปลกหูแปลกตาสองข้างถนน เป็นกิโลฯกว่าจะเข้าย่านการค้า
ที่เปิดค้าขายในช่วงกลางคืน คือเปิดก่อน 5 โมงเย็นทั้งร้านกาแฟ ร้าน อาหาร บาร์
ยิ่งค่ำวันศุกร์จะ คึกคักน่าสนุกมาก เราแค่วัยรุ่นต่ำกว่ายี่สิบปี คงเข้าได้แค่ร้านกาแฟ
กับร้านอาหาร แวะแรกก็ต้อง ร้านกาแฟชื่อเดงเอน(ออกเสียงนิฮ่องจ๋าก็ต้อง "เด็งเอ็ง")
โอโจ้ซัง-สาวน้อยนิฮองยิ่ง จึงจะมาถูกร้าน เราสั่ง "โคย โคฮี - กาแฟดำ" เพื่อนไทยวัยเดียว
กัน มันก็จะสั่งกาแฟดำเหมือนกัน แต่มันออกเสียงสุด สัปดน ไทยฟังแล้วสะดุ้งโหยง
โอ้เอ้วิหารลายดู โอโจ้ซัง สวยๆทั่วร้านก็เกือบทุ่ม ออกเดินกันต่อไปร้านอาหารโปรดที่
อยู่ไม่ไกล เป็นร้านปิ้ง-ย่างขนานแท้สมัยห้าสิบกว่าปีก่อนโน้น เราสั่งแต่ของโปรด(แทบ
ทุกครั้ง) คือ " ฮอละมง" เตาปิ้ง-ย่างกลางโต๊ะเตี้ยๆญี่ปุ่น พวกเรานั่งเรียง ห้อยขาไปในหลุม
ใต้โต๊ะ ที่อุ่นขาด้วยฮีทเต้อร์ ฮอละมง ประกอบด้วย สาระพัดเครื่องในเนื้อวัว เช่น ผ้าขี้ริ้ว ตับ ม้าม
เนื้อ(สัน ?) ฯลฯ ซ๊อสราด/จุ่ม ก็ได้นั้น มี โชยุ๊-ซีอิ๊ว กระเทียมสับ งาขาว เติมไม่มีอั้น ย่างไปกินไป
ไม่มีใครกิน โกฮัง-ข้าวสวย ชั่วโมงกว่าๆก็พุงตึงละ ออกเดินชมตลาดเสื้อผ้า จิปาถะกันต่อ
จริงๆน่ะเดินชม สาวน้อย โอโจ้ซัง ต่อปากต่อคำกันเล่นไปทุกๆร้าน พอได้ซื้อ T-Shirt หนาๆ
ใส่หน้าหนาวกันบ้างตาม ทุนทรัพย์นักเรียน 18,000 เอง(เยน)/เดือน เวลาทอดน่องคืนวันศุกร์
ใกล้หมดละ เดินล่องขากลับ อีกถนนนึง จะเป็น street food สาระพัดของกินกลางคืนที่ขาย
ในรถเข็น เรียงรายเลือกกินตามชอบ เราก็จะแวะจ้าวประจำคือ " ราเม่ง เปิดตูด " ร้านรถเข็นต่อกัน
ยาว 2 คัน หน้าหนาวเขาจึงปล่อยผ้าคลุม(ม่าน)จากหลังคารถเข็นลงมาคลุมคนที่มุดโผล่ตัวเข้าไป
นั่งกินหน้าเคาเต้อร์ ผ้าจึงคลุมลงถึงก้นกันหนาว ราเม่งเส้นกลมเหนียวอร่อยมีเนื้อ มีหมู มีหอย มีไข่พะโล้
ชามเบ้อเริ่มเทิ่ม(นิฮองยิ่ง ผู้ชายกินจุ) จะให้น้ำซุปหอมซดกันซู๊ดซ๊าดอร่อยมั่กๆ น่าจะชามละ 100 เอง
(คงจำไม่ผิด) ปี 1980 กว่าๆไปกินอีก ราคาเป็นชามละ 400 เองขึ้นไปละ จบก่อนนะ วันหลังไปกันอีกได้