ทริปเหนือสุดของผม #เชียงราย #ขี่มอเตอร์ไซค์

ก่อนอื่นขอกล่าวสวัสดีปี 2018 ครั้งนี้จะมาขอเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวของคนชอบขี่สองล้ออีกครั้ง โดยเรื่องเล่านี้จะเป็นประสบการณ์การท่องเที่ยวภาคเหนือที่นิยมในหมู่ชาวสองล้อ กระทู้นี้เพียงอยากแชร์ประสบการณ์ใหม่ๆ ของผมที่ท่องเที่ยวแบบไม่ได้กำหนดอะไรไว้ตายตัว ค่ำไหนก็นอนนั้น ใช้งบเท่าที่มีเงินหมดก็กลับบ้าน ขี่ไปเรื่อยๆ เผื่อจะเป็นแรงผลักดันให้ใครบางคนที่ได้อ่านแล้วอยากออกไปเที่ยวหรือมีแนวทางท่องเที่ยวใหม่ๆ แล้วมาเล่ากันให้ฟัง
การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้วางแผนการเดินทางไว้ นอกจากกำหนดวันหยุดคราวๆ แล้วลางาน มันจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ต้องเดินทางคนเดียวกับเจ้าจักรยานยนต์คู่ใจ 1 คัน


   เริ่มเดินทางครั้งนี้ผมแค่อยากเดินทางขึ้นเหนืออีกสักครั้งเพื่อรับลมหนาว หลังจากไม่ได้เดินทางไปภาคเหนือมาจะสองปีละ โดยครั้งนี้คิดว่าจะถือโอกาสแวะเที่ยวจังหวัดต่างๆ ที่เคยผ่านๆ ไปด้วย เพื่อไม่ให้เหมือนกับทริปอื่นๆ ที่ผมเคยไปมาและมักมุ่งตรงไปที่หมายเลยแล้วก็กลับ ซึ่งมักมีคำถามในใจเมื่อกลับถึงบ้านมาดูแผนที่ทุกครั้งว่า จังหวัดนี้ จังหวัดนั้น เราผ่านมาแล้วจริงหรอ? ทำไมเราไม่รู้สึกหรือมีความทรงจำเกี่ยวกับจังหวัดนั้นๆ เลย

   วัตถุประสงค์ของกระทู้นี้ ผมแค่อยากชักชวนเพื่อนๆ ให้ไปเที่ยวในไทยอีกเช่นเดิม แม้ว่าเราจะเคยไปมาบางแล้วก็ตาม แต่ถ้าเราเปลี่ยนวิธีการเที่ยวจากวิธีเดิมๆ มันก็จะมีอะไรสนุกๆ เพิ่มขึ้น บางทีความลำบากอาจทำให้เราพบอะไรใหม่ๆ หรือเพื่อนใหม่ๆ ที่เราไม่เคยเจอ ดังคำที่ว่า "Remember that happiness is a way of travel – not a destination." – Roy M. Goodman "ความสุขของการเดินทาง เกิดขึ้นระหว่างทางที่ไป ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง" นั้นก็บอกคร่าวๆ แล้วว่ากระทู้นี้ผมอาจเล่าเรื่องระหว่างทางมากหน่อย แต่แน่นอนจุดหมายก็อาจมีบาง

   เริ่มนะครับ วันแรกของการเดินทางผมเดินทางวันที่ 9 ธค 2017 จากกรุงเทพมหานครโดยมีตั้งใจว่าจะขี่ไปเรื่อยๆ หิวหรือน้ำมันหมดเมื่อไหร่ก็แวะตรงนั้น ผมมุ่งสู่อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ตามลำดับแต่เช้ามืด จำนวนรถไม่ค่อยเยอะ มอเตอร์ไซค์ก็ไม่ค่อยเห็น เรียกได้ว่าเหงาผิดปกติวันหยุดยาว 3 วัน แต่ก็แอบดีใจเล็กน้อยว่ารถน้อยเราก็จะได้ขี่อย่างสบายๆ ผมขี่เพลินเผลอแป๊บเดียวก็เดินทางมาได้ 2-3 ชม.แล้ว ซึ่งมารู้ตัวอีกทีก็เริ่มมีอาการหิ้ว พอดูที่ป้ายบอกทางก็รู้ว่าผมมาถึงแถวๆ ชัยนาทแล้ว ซึ่งก็แปลกใจกับการเดินทางครั้งนี้มันรู้สึกเร็วผิดปกติ อาจเป็นเพราะตลอดทางที่มาอากาศดีอุณหภูมิ 20-23 องศา ทำให้เราเพลินกับอากาศเหมือนขี่รถเล่นแถวบ้านอย่างไงอย่างงั้ง ลมที่ตีหน้ามันเย็นสบาย เหงื่อในเสื้อแถบจะไม่มี แดดก็ไม่แรง มันคือการเริ่มต้นทริปที่ดีทีเดียว หลักจากเสียงท้องร้องดังขึ้น ผมก็มองหาร้านอาหารริมถนน เพราะคิดว่าไม่อยากทานอาหารในปั้มน้ำมัน มันน่าเบื่อ แต่ก็อดเพราะร้านอาหารส่วนใหญ่ยังไม่เปิด หรือไม่ก็หยุดในช่วงวันหยุดยาว จนต้องมาฝากท้องตามภาษาชาวสองล้ออีกเช่นเดิม ปั๊มน้ำมัน

   พอมาถึงที่ปั้มน้ำมันก็ตกใจกับจำนวนคนที่มาใช้บริการที่เยอะมาก ขนาดสั่งกาแฟต้องรอคิวนาน 30 นาที แตกต่างกว่าตอนอยู่บนถนนที่ไม่มีรถมากขนาดนี้ หรือผมออกมาช้ากว่าคนอื่นๆ นะ ตี 5:30 ก็ไม่น่าสาย จากนี้คงวุ่นวายรถติดไม่แพ้กรุงเทพแน่ๆ ต้องหาทางหนี้จากจุดนี้ละ ถ้าผมใช้เส้นทางเดิมเข้านครสวรรค์รถติดแน่ๆ ผมเลยคิดเลือกเส้นทางหลวงหมายเลข 11 มุ่งสู่จังหวัดพิจิตร และอุตรดิตถ์แทน แม้อ้อมหน่อยแต่ขึ้นเหนือได้เหมือนกัน และเส้นทางที่ไปเป็นถนนบนเขาเป็นส่วนใหญ่น่าจะมีอะไรสวยๆ ให้แวะชม จากนั้นผมก็ใช้ถนน 3327 หลบการจราจรที่ติดเพื่อเข้าทางหลักหมายเลข 11 ผมไม่เคยใช้ถนนเส้นนี้มาก่อนแค่เห็นมีป้ายบอกทางว่าไปได้ก็ไปโดยคาดหวังแค่รถจะไม่เยอะเท่านั้น


  ผมเดินทางมาเรื่อยๆ ถนนที่ไม่ได้ดีมากมายใช้ความเร็วไม่ได้เยอะ รถวิ่งน้อย วิวสวยพอประมาณ ซึ่งมารู้ที่หลังว่าถนนเส้นนี้เป็นถนนเหมืองหินรถเลยวิ่งน้อยไม่ค่อยมีคนรู้จักนอกจากคนท้องถิ่น เมื่อก่อนถนนไม่ดี แต่พอระเบิดหินไปเยอะเรียกว่าจะหมดแล้วจึงมาทำถนนให้ใช้เดินทาง มันเป็นเรื่องดีหรือเรื่องหน้าเศร้าละเนีย ที่ภูเขาหายมาเป็นถนน ผมจอดชมวิวบางเล็กน้อยแล้วเดินทางต่อแบบเพลินๆ พอมองนาฬิกาอีกทีก็ใกล้เที่ยงแล้ว ถึงเวลาต้อง enjoy eating อีกละ ผมเดินทางตามถนนหมายเลข 11 มองไปตามข้างทางเพื่อหาของทาน แต่แล้วผมก็ไปเจอป้ายบอกทางเข้าสู่ "เหมืองแร่ทองคำชาตรี" ผมว่าน่าสนใจดี เพราะเกิดมาก็ไม่เคยเห็นเหมืองจริงๆ สักครั้งเห็นก็แต่ใน TV ลองแวะเข้าไปดูกับตาสักครั้งคงไม่เสียเวลามาก ตัดสินใจกลับรถและเลี้ยวเข้าไปทันที ถนนนี้คือถนนหมายเลข 1031

  จากความอยากรู้อยากเห็น พอเข้าไปถึงก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังไว้เสียทีเดียว ได้เห็นวิวเหมืองไกลๆ ตรงมุมสะพาน ทางเหมืองไม่อนุญาติให้เข้าชม ผิดหวังเล็กน้อย แถมได้เรื่องเสียวๆ กลับมา ขี่ๆ อยู่ก็มีงูเลื้อยข้ามถนนตัดหน้า ตอนแรกก็นึกว่าเชือกหรือยางบนถนนก็ว่าจะเหยียบมันไป พอเห็นมันชูคอขึ้นมาเท่านั้นละ เบรคแทบไม่ทัน ดีนะมันแค่มองแบบทักทายแล้วเลื้อยผ่านไป ถ้ามันหันกลับมาเพื่อต้องการทำความรู้จักขึ้นมานี้สิ รถก็หนัก กลับรถก็ลำบาก แถมเปลี่ยวอีกต่างหาก ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะทำไงต่อ.....


   หลังจากชมเหมืองสมใจก็ออกหาแหล่งเติมพลังต่อและผมก็ลงเอยที่ "ย่านเก่าวังกรด" ที่ได้ข้อมูลจากการ search ในอินเตอร์เนต ซึ่งมีรีวิวไว้น่าไปมาก และห่างจากเหมืองแร่ทองคำชาตรีไม่ไกล 40 กม.เอง หลังจากนั้นผมก็เดินทางมาย่านเก่าวังกรด ผมตื่นเต้นมากกับสิ่งที่เห็นในเนตแต่พอมาถึง ผมถึงกับเงิบ...แบบไม่เชื่อสายตา ขี่เลยไปโดยหวังว่ามันคงเป็นแค่ตัวอย่างก่อนเจอของจริง…เงียบ สงบ เงิบ 3 คำที่ให้ได้ จากถนนเส้นหลักทางวนดังตามหาขุมทรัพย์ พอถึงมันคือ สถานีรถไฟแห่งหนึ่ง มีลานกว้าง หอนาฬิกาเป็นจุดเด่น มีบ้านทรงโบราณ บวกร้านค้าเก่าๆ ซึ่งไม่ได้ตื่นเต้นเลย แต่เอาเถอะเราเองอาจเข้าไม่ถึงในสิ่งที่คนอื่นโพสไว้ลองเดินวนๆ ด้วยเท้าอีกสัก 1-2 รอบดู แต่หนักกว่าเดิม ระยะทางให้เดินเที่ยวมันคือประมาณ 1 กม. ร้านค้าก็ไม่ได้เยอะมาก โรงหนังเก่าก็ไม่เห็นมีอะไร เรามาผิดที่หรือเปล่า เปิดโทรศัพท์เช็คก็ใช่นะ ทำไม? แต่ไหนๆ ก็มาละหาข้าวกินสักหน่อยก็ยังดี ตอนแรกก็หวังว่าจะมีร้านกาแฟหรือร้านอาหารที่พอชื้นใจ มองหาอยู่นานมีให้เลือกแค่ 2 ร้าน ก็ตกลงใจเป็นก๋วยเตียวใส่ปิ่นโตแล้วกัน แปลกดี เมนูเด่น คือ ข้าวเตี๋ยว คือมันอะไร? ก็แค่เปลี่ยนจากเส้นเป็นข้าว...ดีครับ เอาละ สูดลมหายใจลึกๆ เราคงติดนิสัยคนเมืองมา แล้วลืมตา...เจอสาวงามใส่เสื้อสีดำเดินผ่านสวยมาก นั้นคือ สิ่งเดียวที่จดจำได้จากที่นี้...ย่านเก่าวังกรด

   ปล. จากการสอบถามแม่ค้า ปกติที่นี้มีแต่คนหลงทางมาและคนละแวกนี้เท่านั้นที่เข้ามาเที่ยว คนจะเยอะต่อเมื่อแดดร่มลมตก(ตอนเย็น)แล้วจะมีรำวงกันที่หน้าหอนาฬิกา(ผมมาผิดเวลาสินะ?) เอ๊ะ!! แล้วรำวงสาวสวยๆ คนนั้นจะรำด้วยไหม? แต่ก็ไม่กล้าถามเพราะน้องเค้ายืนซื้อก๋วยเตี๋ยวอยู่หน้าร้าน


   หลังจากอิ่มท้อง อิ่มใจ ก็เดินต่อโดยมุ่งไปที่"เมืองลับแล"จ.อุตรดิตถ์ แค่ชื่อก็น่าไปแล้วลอง search ดูก็มีรีวิวภาพสวยมาก(ยังไม่เข็ด)บวกกับระยะทาง 185 กม.ก็ไม่ไกลมาก คำนวนแล้วจากจุดนั้นก็สามารถไปที่อุทยานแห่งชาติลำน้ำน่านได้ไม่ไกลพอทันค่ำ ซึ่งอาศัยเป็นที่หลับนอนคืนนี้ เพื่อประหยัดค่าโรงแรม พอคิดได้ก็มุ่งไปสู่ความหวังใหม่ทันที "เมืองลับแล"

  จาก พิจิต-พิษณุโลก-อุตรดิตถ์ เป็นถนนเส้นหลัก มองถนนสองข้างทางก็ไม่มีอะไรน่าสนใจนัก ถึงอุตรดิตถ์ก็มุ่งสู่ อ.เมืองลับแล ทันที ขี่วนไปวนมาอยู่อำเภอนี้อยู่นาน ยิ่งขี่ก็ยิ่งเปลี่ยวผู้คนไม่มีแม้คนออกมาเดินข้างทางหรือรถสวน เริ่มใจไม่ดีกับคำว่าเมืองลับแลละ แต่ที่ไหนได้มารู้ทีหลังว่าถึงนานแล้วแค่เข้าผิดทางเลยไม่เจอประตูเมือง เลยทำให้คิดว่ายังไม่ถึงสักที หลงอยู่ 10-30 นาที จนต้องจอดรถเดินหาชาวบ้านเพื่อถามทางและสุดท้ายก็มาถึงประตูเมืองอันเป็นเอกลักษณ์จนได้ นึกว่าต้องนอนที่นี้แล้ว ในช่วงตอนหลงผมก็สังเกตเมืองนี้ไปด้วย ก็อดยิ้มไม่ได้กับเมืองที่มีป้ายบอกศูนย์การศึกษาเยอะมาก ตั้งอยู่ในจุดต่างๆ ของเมือง ไม่ว่าจะการศึกษาเรื่องนั้นการศึกษานี้ จนคิดว่าคนในเมืองนี้ผู้คนต้องรักเรียนมากแน่ๆ พอถึงประตูเมืองขี่เลยเข้ามานิดๆ ก็จะเจออนุสาวรีย์พระศรีพนมมาศซึ่งทางขึ้นสักการะจะมีข้อความเขียนไว้ว่า "สถานทีนี้ห้ามโกหก" ในใจคิดขึ้นเลยว่า สถานที่นี้ต้องเป็นสถานที่สาบานหรือบอกรักกันแน่ๆ และอีกอย่างที่คิดได้ก็คือ คน กทม.มาสถานทีนี้ลำบากใจแน่ เพราะโกหกมันคือนิสัยคนเมืองไปแล้ว...มันจะคันๆ ปากนิดๆ

  เมืองลับแลสวยไหม? มุมมองผมว่า เมืองนี้เหมาะกับคนที่ชอบท่องเที่ยวเชิญวัด โบราณสถาน อยากหาแหล่งสงบๆ มาพักผ่อน นอกจากนั้นที่นี้มีของดีเชิงอนุรักษ์หลายอย่างด้วย เพราะงั้งคงไม่เหมาะกับวัยรุ่นใจแตกอย่างผม แต่ผมบอกเลยถ้าคุณไม่เคยมา ก็อย่าบอกว่าคุณเที่ยวภาคเหนือมาทั่วแล้ว เพราะคุณจะพลาดในการได้สัมผัสเมืองที่สอนให้ผู้หญิงรักษาวาจาสัตย์ไว้ยิ่งชีพ จำไว้ผู้หญิงเมืองนี้ไม่โกหก



   หลังเที่ยวเมืองแลลับได้สักพัก มองดูนาฬิกาบ่าย3 กว่าๆ ต้องตระหนักในเรื่องที่นอนคืนนี้แล้ว ผมจึงเดินทางสู่อุทยานแห่งชาติลำน้ำน่านซึ่งไม่ไกลมาก ประมาณ 56 กม. น่าจะไปทันฟ้ายังไม่มืด เพราะช่วงนี้หน้าหนาวฟ้าจะมืดเร็ว ผมใช้เวลาเดินทางประมาณ1 ชม. บวกถามทางแวะซื้อของกินบาง แต่ก็หาร้านขายข้าวไม่ได้เลยอาจเป็นเพราะวันหยุดยาว พอถึงอุทยานก็คาดหวังว่าจะมีขายอาหารอยู่บาง แต่ก็ต้องผิดหวังเจ้าหน้าที่บอกให้เราต้องเดินไปอีก 13 กม. เผื่อไปซื้ออาหารที่เขื่อนสิริกิติ์ ผมไม่รอช้าขี่ไปสักพัก ถนนนี้มีแต่โค้งจนถึงเขื่อนสิริกิติ์ ที่นี้มีบ้านพักสวยทีเดียว บรรยากาศดี มีที่วิ่งและปั่นจักรยาน บนสันเขื่อนไม่ให้รถทุกชนิดเข้าแค่เดินขึ้นไปได้ และที่นั้นผมเจอเพื่อนคอเดียวกัน คนชอบขี่สองล้อท่องเที่ยว ซึ่งตลอดทางจากปั้มน้ำมันตรงชัยนาทที่แวะก็มาเจอที่นี้ละ มันก็น่าแปลกใจมากเพราะเมื่อก่อนไปไหนก็มักเจอแต่วันนี้กลับไม่เจอเลยหรือที่ๆ ผมไปมันไม่น่าไปนะ

   เราได้ทักท้ายกันตามภาษาสองล้อ คุยกันสักพักพี่เค้าก็ไซโค"ลำน้ำน่านไม่สวยหรอก ขี่ไปกับผมอีก 80 กม. ไปพักที่ภูสอยดาวติดน้ำโขงเลย พระอาทิตย์ขึ้นสวย ขี่ไปอีก 1 ชม.ไปนอนที่นั้น" ผมก็เริ่มลังเลใจทันที "แต่น้องไปกางเต็นท์นิ ต้องรีบไปก่อนค่ำนะ นี้ 5 โมงละ ผมไปละ" แล้วพี่ก็บิดไป เดี๋ยวๆ พี่ชวนผมนิ แล้วพี่ไปละ งง! ทิ้งคำถามไว้ในใจผมว่า จะไปนอนที่ไหนดี ผมเลยนั่งหาข้อมูลอีกครึ่งชม. จนเอะใจว่า แย่แล้วเรามาซื้อข้าว แล้วลืมสั่งข้าว ร้านจะปิดหรือยัง! นึกขึ้นได้รีบไปร้านสั่งข้าวทันที ร้านข้าวก็ตอนรับดีมากทำข้าวผัดไข่เจียวอยู่ 45 นาที เพราะทำผิดแค่ไข่เจียวเป็นไข่ดาวอยู่สองรอบ ผมนี้ก็นั่งดูเวลาเพราะกังวลว่าอุทยานจะปิด สุดท้ายก็มืดแล้วมืดกางเต็นท์ลำบากและที่สำคัญอุทยานจะปิดมั้ย
   พอถึงหน้าประตูอุทยานก็เดินหาเจ้าหน้าที่อยู่สักพักเพราะประตูปิด รอจนเจอเจ้าหน้าที่ พี่เค้าจำผมได้เลยเปิดทางให้เข้าแล้วบอกว่าให้ไปจ่ายเงินด้านในแทน ผมนี้เบาใจเลยนึกว่าอุทยานปิดไม่ให้เข้าแล้ว พอเข้ามาถึงก็วนรถหาที่กางเต็นท์อยู่สักพัก จนเจอลุงใจดีเห็นเรามามอเตอร์ไซค์คนเดียวก็โบกให้ไปจอดรถและกางข้างๆ ซึ่งช่วงนั้นมุมที่สะดวกแด่การเข้าห้องน้ำก็โดนจับจองไปหมด ก็เลยลงเอยตรงนี้ แถมลุงใจดีมาช่วยคนเมืองอย่างผมกางเต็นท์ที่ตัวเองไม่ได้กางมานานอีก(ลงมาจากรถอย่างเท่ เต็นท์พร้อมแต่กางเต็นท์ไม่ได้)สุดท้ายคืนนี้ผมก็ได้ที่นอน ราคา 70 บาท ก็ Ok ทำอะไรเสร็จก็ล้มตัวลงนอนในเต็นท์ที่ไม่ได้สัมผัสมานาน

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่