ถ้านักวิชาการและนักปราชญ์ในศาสนาอิสลาม สามารถจะวางกฏเกณฑ์ทางศาสนาได้ ทำไมมุสลิมจึงต้องห่วงใยกับอาหารฮาลาล?
1. ฟัตวาว่ามุสลิมกินอาหาร และเครื่องดื่ม ที่มีสารแอลกอฮอล์ได้ ไม่เกิน 0.5 - 1.0 เปอร์เซนต์ เป็นการฝ่าฝืน คำสอนของท่านศาสดามูฮัมมัด (ฮาดีษ)
2. อาศัยหลักการทางฮาดีษและการฟัตวาตามหลักนิติศาสตร์อิสลาม มุสลิม สามารถบริโภค derivative ของหมูได้ ????
มุสลิมเราส่วนมากเป็น "้Hypocrite" หรือ?
ศาสนาอิสลามไม่อาจจะพิสูจน์ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้เสมอไป การพยายามใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายหลักปฏิบัติทางศาสนาอิสลาม ถ้าขาดความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างลึกซึ้งแล้ว นักวิชาการอาจจะพามุสลิมหลงไปจากทางของอัลลอฮ์ได้.
จขกท. เป็นมุสลิมที่ยึดการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ตามแบบฉบับมุสลิมไทยแต่ดั้งเดิม เชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองในการเลือกกินอาหารตามข้อบัญญัติในอัลกุรอานโดยไม่มีการดัดแปลง ซึ่งไม่เคยมีความยากลำบากในชีวิต ในเรื่องการหาอาหารฮาลาล ในสังคมไทย มาจนถีงปัจจุบันนี้
กระทู้นี้อ้างอิงจากบทความเรื่อง The Fiqh Principle of Istihala (اِسْتِحالَة)– Changing from impure to pure และจากบทความเรื่อง Change Of State - Istihala
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ https://soaljawab.wordpress.com/2007/04/21/the-fiqh-principle-of istihala.
http://www.daganghalal.com/HalalInfo/HalalArticlesDtl.aspx?id=149
https://zinaidabunaser.wordpress.com/2016/10/18/is-gelatin-haram-what-is-istihala/
ก่อนอื่นผมขอแนะนำให้สมาชิกที่สนใจ ดูคลิป วิดีโอ ให้เข้าใจขบวนการทำ เจลาตินผง ด้วยกระดูกหมู กระดูกวัว หนังหมูและ หนังวัว ปนไปด้วยกัน
เนื้อเรื่องของบทความ บรรยายการฟัตวา ของ Shaykh al-Albaani(นำมาจาก การบรรยาย ทั้งหมดโดย Sh. Muhammad Bazmool, ศาสตราจารย์ที่ Umm Al-Qura University ที่นครเมกกะ แปลโดย Moosa Richardson และ ฟัตวา โดย Shaykh al-Albaani)
ขบวนการ Change Of State - Istihala
แผนผังข้างล่างนี้คือ ขบวนการ ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิส เพื่อสกัด สารโปรตีน ออกจาก หนังหมู หนังวัว กระดูกหมูและกระดูกวัว เพือผลิต สาร เจลาติน (gelatin)
The Fiqh Principle of Istihala – Changing from impure to pure
บทความเรื่องนี้อ้างอิงถึง แนวคิดทางนิติศาสตร์ (ฟิกฮฺ) หลักการของการเปลี่ยนสภาพ (اِسْتِحالَة) และ การเปลี่ยนสถานะจาก สารหรือสภาพ "ฮารอม" เป็น สารหรือสภาพ ที่สะอาดบริสุทธิ์ "ฮาลาล"
ต่อไปนี้เป็นการถอดเสียงจากการบรรยายจาก Shaykh Muhammad Bazmool (hafidhahullah):
หลักเกณฑ์ของ Istihala Fiqh - เปลี่ยนจากสภาพที่ไม่บริสุทธิ์ไปเป็นสภาพบริสุทธิ์
The Fiqh Principle of Istihala – Changing from impure to pure
อิสติฮาละ (اِسْتِحالَة)หมายถึงเมื่ออะไรก็ตามเปลี่ยนสภาพเป็นสิ่งสะอาดบริสุทธิ์ สิ่งดังกล่าวเคยสกปรกมาก่อน نجس (ไม่บริสุทธิ) แต่เดี๋ยวนี้มัน สะอาดบริสุทธิ์ (طاهر) . ตัวอย่างที่เห็นได้ดี คือซากสัตว์ที่ตายแล้ว เป็นสิ่งสกปรก แต่หลังจากที่ถูกเผา หรือฝังกลายเป็นขี้เถ้าและดิน กลับกลายเป็นสิ่งสะอาด อุจจาระคนหรือสัตว์อะไรก็ตามเมื่อเปลี่ยนสภาพมีคุณสมบัติที่แตกต่างจากต้นกำเนิด ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับสิ่งนั้นจะค้องพิจารณาเปลี่ยนแปลงไปตามคุณสมบัติใหม่ของสิ่งนั้น
ตัวอย่าง: สมติว่าว่ามีคนใช้ไขมันของสัตว์ที่ตายแล้วทำสบู่, ในกรณีนี้ ไขมันนั้นเป็นนะยิส สิ่งสกปรก แต่การเปลี่ยนแปลงทางเคมีทำให้เป็นของใหม่ มีคุณสมบัติ เป็น ตาฮิร สะอาดบริสุทธิ์
อิบนฺ ฮะซัม (ابن حزم) เขียนไว้อย่างรัดกุมว่า “การกำหนดกฏเกณฑ์ของสิ่งใดขึ้นอยู่กับสิ่งที่ถูกเรียก(มันคืออะไร?), ถ้าชื่อ(มันคืออะไร?) ถูกเปลี่ยนไป กฏเกณฑ์ก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย
อิบนฺ ฮะซัม (ابن حزم) ยังได้กล่าวถึงกฎเกณฑ์ในหนังสือหลักคำสอน(นิติศาสตร์ฟิก فقه ) ของเขา ชื่อ อัล-มูฮัลละ (المحلى):
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Al-Muhalla – A fabulous volume of 11 books on the Fiqh of hadeeth with more than 2000 Ahkaam and Masaail by the great imam of his time Ibn Hazm Al-Undulusi
Author: Ibn Hazm Al-Andulusi (Rahmatullah alehe)
Translated by: Mawlana Ghulam Ahmad Hariri
Aforementioned book “Al-Muhalla” is a famous authorship of the fifth Hijri century Muslim scholar Ibn Hazm the Andalusi. It is a book which scholars and researchers generally Shaykh al-Islam Ibn Taymiyyah and Ibn Qayyam have given much importance, may Allah have mercy upon them both. This book embraces all the important issues of life and worship comprising of more than 2000 Masaail and Ahkaam. Modern area Arabic and Egyptian scholars have highly benefited from this book in the contemporary issues.
Imam Ibn Hazm was known to have rejected the Qayas and always used to take Nusoos (Quran and Hadeeth) in establishing Ahkaam. May Allaah have mercy upon him and give him the reward (of good) for his sincere contribution and forgive him for any mistakes that have occurred due to his Ijtihaad.
Note: This book is for students of knowledge only and not for the laymen.
ในหนังสือเล่มนี้เขาเขียนว่า “ถ้าคุณภาพของวัตถุที่ไม่บริสุทธิ์ตามธรรมชาติเปลี่ยนชื่อที่ได้รับไปแล้ว เพื่อไม่ให้ใช้กับมันอีกต่อไป และมีชื่อใหม่ซึ่งถูกตั้งให้ใหม่แก่วัตถุใหม่(ที่บริสุทธิ์) ดังนั้นวัตถุที่เปลี่ยนสภาพดังกล่าว จึงไม่เป็นสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป มันได้กลายเป็นวัตถุใหม่ที่มีกฎเกณฑ์ใหม่ตามคุณภาพใหม่ของมัน”
หมายความว่า “ถ้าองค์ประกอบตามธรรมชาติของสารมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่สารอื่นที่มีองค์ประกอบแตกต่างกันมาก จนเราไม่สามารถเรียกสารใหม่ตามชื่อเก่าของมันได้อีกต่อไปการกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับสารนั้นจะต้องเปลี่ยนไปด้วย
ข้อพิสูจน์ ต้วอย่างที่ 1:
สหายผู้ติดตาม ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด เคยกิน เนยที่มาจากแผ่นดินของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา เขารู้ดีว่าในอาหารเนยนั้นมีเนื้อกะเพาะของลูกวัว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ Extraction of calf rennet[edit]
Calf rennet is extracted from the inner mucosa of the fourth stomach chamber (the abomasum) of young, unweaned calves as part of livestock butchering. These stomachs are a byproduct of veal production.[1] If rennet is extracted from older calves (grass-fed or grain-fed), the rennet contains less or no chymosin, but a high level of pepsin and can only be used for special types of milk and cheeses. As each ruminant produces a special kind of rennet to digest the milk of its own species, milk-specific rennets are available, such as unweaned goat rennet for goat's milk and lamb rennet for sheep's milk.
Traditional method[edit]
Dried and cleaned stomachs of young calves are sliced into small pieces and then put into salt water or whey, together with some vinegar or wine to lower the pH of the solution. After some time (overnight or several days), the solution is filtered. The crude rennet that remains in the filtered solution can then be used to coagulate milk. About 1 g of this solution can normally coagulate 2 to 4 L of milk.ซึ่งถูกฆ่าโดยบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา ในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับหลักการของศาสนาอิสลาม สหายผู้ติดตามเหล่านั้นรู้เรื่องนี้ ดีและพวกเขาก็รู้ว่าข้อห้ามอยู่ตรงที่ลูกวัว และพวกเขารู้ดีว่าสวนไหนที่มาจากลูกวัวและเนื่อส่วนนั้นเรียกว่าอะไรอย่างถูกต้อง การกำหนดกฏเกณฑ์ไม่ได้อยู่ในสิ่งที่เราไม่สามารถระบุได้เป็นส่วนหนึ่งของลูกวัวและไม่ทั้งการเรียกส่วนใดๆก็ตามว่าเป็นส่วนที่มาจาก ลูกวัว หมายความว่ามันเปลี่ยนสภาพเป็น ของอื่นไปแล้ว เราก็ถือคุณภาพตามชื่อใหม่ของมัน สิ่งนี้เรียกว่า อิสติฮาละ (اِسْتِحالَة)
การพิสูจน์ ตัวอย่างที่ 2:
อีกตัวอย่างหนึ่งที่มาจากซุนนะห์: ท่านศาสดามูฮัมมัด ห้ามการทำน้ำส้มสายชูจากเหล้าองุ่น, เหล้าอุ่นนั้น เป็นสิ่งต้องห้าม “ฮารอม”, แต่ท่านบอกว่า, ถ้าเราบังเอิญมาเจอน้ำส้มสายชูที่ทำมาจากเหล้าองุ่นสำเร็จรูปแล้ว ถือว่าเป็นสิ่งสะอาด “ฮาลาล”
การกำหนดกฏเกณฑ์ข้อนี้อยู่ที่วัตถุนั้นคืออะไร ในปัจจุบัน, เหล้าองุ่น นั้นเป็นของต้องห้าม แต่น้ำส้มสายชูเป็นของสะอาด “ฮาลาล” และก่อนที่เหล้าองุ่นจะกลายมาเป็นสารพิษที่ทำให้มึนเมา มันเป็นสิ่งที่มาจากผลไม้ซึ่งเป็นของ “ฮาลาล”
การพิสูจน์ ตัวอย่างที่3:
อัลลอฮ์ทรงบัญญัติไว้ในอัลกุรอานว่า:
“และแท้จริงในปศุสัตว์นั้น ก็มีบทเรียนแก่พวกเธอ เราให้พวกเธอดื่มจากสิ่งที่อยู่ในท้องของมัน ออกมาระหว่างมูลและโลหิต คือน้ำนมบริสุทธิ์ เป็นที่โอชาแก่ผู้ดื่ม”
(16:66)
อัลลอฮ์ทรงยกตัวอย่างให้เรารู้ว่าสิ่งบริสุทธิ์บางอย่างมาจากสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ได้อย่างไร
และเรายังสามารถใช้เป็นหลักฐานบางอย่างที่เราได้กล่าวไปแล้ว
ท่านรอซูลมูฮัมมัด(ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า เมื่อหนังของซากสัตว์ถูกซักฟอกมันก็สอาดบริสุทธิ์(طاهر), ท่านรอซูลมูฮัมมัด(ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)ได้บอกแก่เราถึงวิธีการทำสิ่งที่สกปรกให้สอาดบริสุทธิ์
ก่อนอื่นขอให้พิจารณาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ได้แก่ mono และ diglycerides, หางนม, gluten, emulsifiers, เจลาติน ฯลฯ และมีอีกหลายอย่างที่อยู่ในราบการอาหารฮารอมระหว่างชาติ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวบางอย่างทำมาจากสัตว์ เช่นหมู ในบางกรณี การกำหนดกฏบัญญัติพิจารณา จากสารที่เป็นต้นกำเนิด ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ว่า สารต้นกำเนิดของการผลิต เช่น ไขมัน, ไขกระดูก,กระดูกอ่อน ฯลฯ สื่งเหล่านี้ถูกส่งเข้า ขบวนการเคมีเปลี่ยนสภาพเป็นสารอื่น ซึ่งไม่อาจจะเรียกชื่อเหมือนเดิม ว่า ไขมันหมูหรือไขมันวัว, กระดูกหมู หรือกระดูกวัวอีกต่อไป เพราะว่ามันไม่ใช่สิ่งเหล่านั้นอีกแล้ว ดังนั้นมันจึง สะอาดบบริสุทธ์, มันเป็นสิ่งที่ “ฮาลาล”
เจลาติน(gelatin)ได้มาจาก ขบวนการ ไฮโดรไลซิส วัตถถุเริ่มแรกคือ หนังสัตว์,ไขกระดูก, กระดูกสัตว์ หมู และวัว , ขบวนการไฮโดรไลซิส(hydrolysis)เปลี่ยนสภาพ ของวัตุเริ่มแรกกลายเป็นคอลลาเจน/เจลาตินไฮโดรไลเซท( collagen/gelatin hydrolysate) หรือ คอลลาเจน/เจลาตินเปปไทด์ (collagen/gelatin peptide) ตามที่อธิบายในคลิป
ขบวนการทางเคมีได้เปลี่ยนสภาพของสารโปรตีนไม่ได้อยู่ในสภาพเดิมแล้ว ดังนั้น เจลาตินจึงเป็น ของ “ฮาลาล”
การที่มันเป็นของ “ฮาลาล” นั้นก็เนื่องมาจากการออกกฏ ขึ้นอยู่กับการเห็นพ้องกัน ของ นักกฏหมายทางศาสนา มัสหับฮะนะฟี, อิบนฺ อะบิดิน ได้ยกตัวอย่างให้เห็นว่า; เมื่อหมูป่าตกลงไปในทะเลเกลือและเน่าเปื่อยกลายเป็นเกลือ เกลือนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งสะอาด “ฮาลาล” และนักวิชาการ ฮะนะฟี อีกท่านหนึ่งเสริมว่า เกลือนั้นต่างจาก เนื้อสัตว์และกระดูกสัตว์ ถ้ามันกลายเป็น เกลือ มันก็คือเกลือ
เกลือโซเดียมคลอไรด์ประกอบด้วยโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) เมื่อรวมกันกลายเป็นอาหารฮาลาลที่รู้จักกันในนามของเกลือ แต่เมื่อแยกออกจากกันทำให้เกิดเป็นสารพิษสองชนิด คือ โซเดียม และ คลอไรด์
จากตัวอย่างนี้ เกลือโซเดียมคลอไรด์ประกอบด้วยโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) เมื่อรวมกันเป็น
ถ้านักวิชาการ และนักปราชญ์ในศาสนาอิสลาม สามารถจะวางกฏเกณฑ์ทางศาสนาได้ ทำไมมุสลิมจึงต้องห่วงใยกับอาหารฮาลาล?
1. ฟัตวาว่ามุสลิมกินอาหาร และเครื่องดื่ม ที่มีสารแอลกอฮอล์ได้ ไม่เกิน 0.5 - 1.0 เปอร์เซนต์ เป็นการฝ่าฝืน คำสอนของท่านศาสดามูฮัมมัด (ฮาดีษ)
2. อาศัยหลักการทางฮาดีษและการฟัตวาตามหลักนิติศาสตร์อิสลาม มุสลิม สามารถบริโภค derivative ของหมูได้ ????
มุสลิมเราส่วนมากเป็น "้Hypocrite" หรือ?
ศาสนาอิสลามไม่อาจจะพิสูจน์ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้เสมอไป การพยายามใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายหลักปฏิบัติทางศาสนาอิสลาม ถ้าขาดความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างลึกซึ้งแล้ว นักวิชาการอาจจะพามุสลิมหลงไปจากทางของอัลลอฮ์ได้.
จขกท. เป็นมุสลิมที่ยึดการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ตามแบบฉบับมุสลิมไทยแต่ดั้งเดิม เชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองในการเลือกกินอาหารตามข้อบัญญัติในอัลกุรอานโดยไม่มีการดัดแปลง ซึ่งไม่เคยมีความยากลำบากในชีวิต ในเรื่องการหาอาหารฮาลาล ในสังคมไทย มาจนถีงปัจจุบันนี้
กระทู้นี้อ้างอิงจากบทความเรื่อง The Fiqh Principle of Istihala (اِسْتِحالَة)– Changing from impure to pure และจากบทความเรื่อง Change Of State - Istihala [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ก่อนอื่นผมขอแนะนำให้สมาชิกที่สนใจ ดูคลิป วิดีโอ ให้เข้าใจขบวนการทำ เจลาตินผง ด้วยกระดูกหมู กระดูกวัว หนังหมูและ หนังวัว ปนไปด้วยกัน
เนื้อเรื่องของบทความ บรรยายการฟัตวา ของ Shaykh al-Albaani(นำมาจาก การบรรยาย ทั้งหมดโดย Sh. Muhammad Bazmool, ศาสตราจารย์ที่ Umm Al-Qura University ที่นครเมกกะ แปลโดย Moosa Richardson และ ฟัตวา โดย Shaykh al-Albaani)
ขบวนการ Change Of State - Istihala
แผนผังข้างล่างนี้คือ ขบวนการ ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิส เพื่อสกัด สารโปรตีน ออกจาก หนังหมู หนังวัว กระดูกหมูและกระดูกวัว เพือผลิต สาร เจลาติน (gelatin)
The Fiqh Principle of Istihala – Changing from impure to pure
บทความเรื่องนี้อ้างอิงถึง แนวคิดทางนิติศาสตร์ (ฟิกฮฺ) หลักการของการเปลี่ยนสภาพ (اِسْتِحالَة) และ การเปลี่ยนสถานะจาก สารหรือสภาพ "ฮารอม" เป็น สารหรือสภาพ ที่สะอาดบริสุทธิ์ "ฮาลาล"
ต่อไปนี้เป็นการถอดเสียงจากการบรรยายจาก Shaykh Muhammad Bazmool (hafidhahullah):
หลักเกณฑ์ของ Istihala Fiqh - เปลี่ยนจากสภาพที่ไม่บริสุทธิ์ไปเป็นสภาพบริสุทธิ์
The Fiqh Principle of Istihala – Changing from impure to pure
อิสติฮาละ (اِسْتِحالَة)หมายถึงเมื่ออะไรก็ตามเปลี่ยนสภาพเป็นสิ่งสะอาดบริสุทธิ์ สิ่งดังกล่าวเคยสกปรกมาก่อน نجس (ไม่บริสุทธิ) แต่เดี๋ยวนี้มัน สะอาดบริสุทธิ์ (طاهر) . ตัวอย่างที่เห็นได้ดี คือซากสัตว์ที่ตายแล้ว เป็นสิ่งสกปรก แต่หลังจากที่ถูกเผา หรือฝังกลายเป็นขี้เถ้าและดิน กลับกลายเป็นสิ่งสะอาด อุจจาระคนหรือสัตว์อะไรก็ตามเมื่อเปลี่ยนสภาพมีคุณสมบัติที่แตกต่างจากต้นกำเนิด ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับสิ่งนั้นจะค้องพิจารณาเปลี่ยนแปลงไปตามคุณสมบัติใหม่ของสิ่งนั้น
ตัวอย่าง: สมติว่าว่ามีคนใช้ไขมันของสัตว์ที่ตายแล้วทำสบู่, ในกรณีนี้ ไขมันนั้นเป็นนะยิส สิ่งสกปรก แต่การเปลี่ยนแปลงทางเคมีทำให้เป็นของใหม่ มีคุณสมบัติ เป็น ตาฮิร สะอาดบริสุทธิ์
อิบนฺ ฮะซัม (ابن حزم) เขียนไว้อย่างรัดกุมว่า “การกำหนดกฏเกณฑ์ของสิ่งใดขึ้นอยู่กับสิ่งที่ถูกเรียก(มันคืออะไร?), ถ้าชื่อ(มันคืออะไร?) ถูกเปลี่ยนไป กฏเกณฑ์ก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย
อิบนฺ ฮะซัม (ابن حزم) ยังได้กล่าวถึงกฎเกณฑ์ในหนังสือหลักคำสอน(นิติศาสตร์ฟิก فقه ) ของเขา ชื่อ อัล-มูฮัลละ (المحلى):[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในหนังสือเล่มนี้เขาเขียนว่า “ถ้าคุณภาพของวัตถุที่ไม่บริสุทธิ์ตามธรรมชาติเปลี่ยนชื่อที่ได้รับไปแล้ว เพื่อไม่ให้ใช้กับมันอีกต่อไป และมีชื่อใหม่ซึ่งถูกตั้งให้ใหม่แก่วัตถุใหม่(ที่บริสุทธิ์) ดังนั้นวัตถุที่เปลี่ยนสภาพดังกล่าว จึงไม่เป็นสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป มันได้กลายเป็นวัตถุใหม่ที่มีกฎเกณฑ์ใหม่ตามคุณภาพใหม่ของมัน”
หมายความว่า “ถ้าองค์ประกอบตามธรรมชาติของสารมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่สารอื่นที่มีองค์ประกอบแตกต่างกันมาก จนเราไม่สามารถเรียกสารใหม่ตามชื่อเก่าของมันได้อีกต่อไปการกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับสารนั้นจะต้องเปลี่ยนไปด้วย
ข้อพิสูจน์ ต้วอย่างที่ 1:
สหายผู้ติดตาม ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด เคยกิน เนยที่มาจากแผ่นดินของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา เขารู้ดีว่าในอาหารเนยนั้นมีเนื้อกะเพาะของลูกวัว [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ซึ่งถูกฆ่าโดยบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา ในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับหลักการของศาสนาอิสลาม สหายผู้ติดตามเหล่านั้นรู้เรื่องนี้ ดีและพวกเขาก็รู้ว่าข้อห้ามอยู่ตรงที่ลูกวัว และพวกเขารู้ดีว่าสวนไหนที่มาจากลูกวัวและเนื่อส่วนนั้นเรียกว่าอะไรอย่างถูกต้อง การกำหนดกฏเกณฑ์ไม่ได้อยู่ในสิ่งที่เราไม่สามารถระบุได้เป็นส่วนหนึ่งของลูกวัวและไม่ทั้งการเรียกส่วนใดๆก็ตามว่าเป็นส่วนที่มาจาก ลูกวัว หมายความว่ามันเปลี่ยนสภาพเป็น ของอื่นไปแล้ว เราก็ถือคุณภาพตามชื่อใหม่ของมัน สิ่งนี้เรียกว่า อิสติฮาละ (اِسْتِحالَة)
การพิสูจน์ ตัวอย่างที่ 2:
อีกตัวอย่างหนึ่งที่มาจากซุนนะห์: ท่านศาสดามูฮัมมัด ห้ามการทำน้ำส้มสายชูจากเหล้าองุ่น, เหล้าอุ่นนั้น เป็นสิ่งต้องห้าม “ฮารอม”, แต่ท่านบอกว่า, ถ้าเราบังเอิญมาเจอน้ำส้มสายชูที่ทำมาจากเหล้าองุ่นสำเร็จรูปแล้ว ถือว่าเป็นสิ่งสะอาด “ฮาลาล”
การกำหนดกฏเกณฑ์ข้อนี้อยู่ที่วัตถุนั้นคืออะไร ในปัจจุบัน, เหล้าองุ่น นั้นเป็นของต้องห้าม แต่น้ำส้มสายชูเป็นของสะอาด “ฮาลาล” และก่อนที่เหล้าองุ่นจะกลายมาเป็นสารพิษที่ทำให้มึนเมา มันเป็นสิ่งที่มาจากผลไม้ซึ่งเป็นของ “ฮาลาล”
การพิสูจน์ ตัวอย่างที่3:
อัลลอฮ์ทรงบัญญัติไว้ในอัลกุรอานว่า:
“และแท้จริงในปศุสัตว์นั้น ก็มีบทเรียนแก่พวกเธอ เราให้พวกเธอดื่มจากสิ่งที่อยู่ในท้องของมัน ออกมาระหว่างมูลและโลหิต คือน้ำนมบริสุทธิ์ เป็นที่โอชาแก่ผู้ดื่ม”
(16:66)
อัลลอฮ์ทรงยกตัวอย่างให้เรารู้ว่าสิ่งบริสุทธิ์บางอย่างมาจากสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ได้อย่างไร
และเรายังสามารถใช้เป็นหลักฐานบางอย่างที่เราได้กล่าวไปแล้ว
ท่านรอซูลมูฮัมมัด(ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า เมื่อหนังของซากสัตว์ถูกซักฟอกมันก็สอาดบริสุทธิ์(طاهر), ท่านรอซูลมูฮัมมัด(ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)ได้บอกแก่เราถึงวิธีการทำสิ่งที่สกปรกให้สอาดบริสุทธิ์
ก่อนอื่นขอให้พิจารณาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ได้แก่ mono และ diglycerides, หางนม, gluten, emulsifiers, เจลาติน ฯลฯ และมีอีกหลายอย่างที่อยู่ในราบการอาหารฮารอมระหว่างชาติ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวบางอย่างทำมาจากสัตว์ เช่นหมู ในบางกรณี การกำหนดกฏบัญญัติพิจารณา จากสารที่เป็นต้นกำเนิด ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ว่า สารต้นกำเนิดของการผลิต เช่น ไขมัน, ไขกระดูก,กระดูกอ่อน ฯลฯ สื่งเหล่านี้ถูกส่งเข้า ขบวนการเคมีเปลี่ยนสภาพเป็นสารอื่น ซึ่งไม่อาจจะเรียกชื่อเหมือนเดิม ว่า ไขมันหมูหรือไขมันวัว, กระดูกหมู หรือกระดูกวัวอีกต่อไป เพราะว่ามันไม่ใช่สิ่งเหล่านั้นอีกแล้ว ดังนั้นมันจึง สะอาดบบริสุทธ์, มันเป็นสิ่งที่ “ฮาลาล”
เจลาติน(gelatin)ได้มาจาก ขบวนการ ไฮโดรไลซิส วัตถถุเริ่มแรกคือ หนังสัตว์,ไขกระดูก, กระดูกสัตว์ หมู และวัว , ขบวนการไฮโดรไลซิส(hydrolysis)เปลี่ยนสภาพ ของวัตุเริ่มแรกกลายเป็นคอลลาเจน/เจลาตินไฮโดรไลเซท( collagen/gelatin hydrolysate) หรือ คอลลาเจน/เจลาตินเปปไทด์ (collagen/gelatin peptide) ตามที่อธิบายในคลิป
ขบวนการทางเคมีได้เปลี่ยนสภาพของสารโปรตีนไม่ได้อยู่ในสภาพเดิมแล้ว ดังนั้น เจลาตินจึงเป็น ของ “ฮาลาล”
การที่มันเป็นของ “ฮาลาล” นั้นก็เนื่องมาจากการออกกฏ ขึ้นอยู่กับการเห็นพ้องกัน ของ นักกฏหมายทางศาสนา มัสหับฮะนะฟี, อิบนฺ อะบิดิน ได้ยกตัวอย่างให้เห็นว่า; เมื่อหมูป่าตกลงไปในทะเลเกลือและเน่าเปื่อยกลายเป็นเกลือ เกลือนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งสะอาด “ฮาลาล” และนักวิชาการ ฮะนะฟี อีกท่านหนึ่งเสริมว่า เกลือนั้นต่างจาก เนื้อสัตว์และกระดูกสัตว์ ถ้ามันกลายเป็น เกลือ มันก็คือเกลือ
เกลือโซเดียมคลอไรด์ประกอบด้วยโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) เมื่อรวมกันกลายเป็นอาหารฮาลาลที่รู้จักกันในนามของเกลือ แต่เมื่อแยกออกจากกันทำให้เกิดเป็นสารพิษสองชนิด คือ โซเดียม และ คลอไรด์
จากตัวอย่างนี้ เกลือโซเดียมคลอไรด์ประกอบด้วยโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) เมื่อรวมกันเป็น