โรคกระดูกพรุนเป็นภาวะที่กระดูกมีความเปราะบางและเสี่ยงต่อการแตกหักง่าย
ทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงได้มากขึ้น นอกจากการเจ็บปวดและการเคลื่อนไหวที่จำกัด
โรคแทรกซ้อนเหล่านี้ยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพในระยะยาว
การทำความเข้าใจและป้องกันโรคแทรกซ้อนเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปลอดภัย
วันนี้พี่หมอฝั่งธน..จะมาให้ความรู้
โรคแทรกซ้อนที่ต้องระวัง..เมื่อเป็นกระดูกพรุน
กระดูกพรุน (Osteoporosis) เป็นโรคที่กระดูกสูญเสียความหนาแน่นและความแข็งแรง
ทำให้เสี่ยงต่อการแตกหักได้ง่ายขึ้น โรคนี้มักพบมากในผู้สูงอายุและผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
ซึ่งฮอร์โมนที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกจะลดลง
การสูญเสียความแข็งแรงของกระดูกสามารถนำไปสู่การเกิดโรคแทรกซ้อนที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก
เราจะสำรวจถึงโรคแทรกซ้อนที่พบบ่อยและร้ายแรงที่ควรระวังเมื่อเป็นกระดูกพรุน
สาเหตุของโรคกระดูกพรุน
การสูญเสียมวลกระดูก: เกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
ฮอร์โมน: การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงและฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในผู้ชาย
พันธุกรรม: มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงในการเกิดโรค
การดูดซึมแคลเซียมไม่ดี: อาจเกิดจากการขาดวิตามินดี หรือปัญหาในการดูดซึมในลำไส้
ยาบางชนิด: เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
พฤติกรรมเสี่ยง: สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
โรคเรื้อรัง: โรคไทรอยด์ทำงานเกิน, โรคไตเรื้อรัง
โรคแทรกซ้อนที่พบบ่อยและร้ายแรงที่ควรระวังเมื่อเป็นกระดูกพรุน
1. กระดูกหัก (Fractures)
โรคกระดูกพรุนเพิ่มความเสี่ยงต่อการหักของกระดูก โดยเฉพาะในกระดูกสันหลัง สะโพก และข้อมือ
การหักของกระดูกในผู้ป่วยกระดูกพรุนอาจเกิดจากกิจกรรมประจำวัน เช่น การลื่นล้ม หรือล้มเบา ๆ
ซึ่งในคนที่มีกระดูกปกติอาจไม่ได้ทำให้กระดูกหัก การแตกหักในตำแหน่งดังกล่าวส่งผลต่อความสามารถในการทำงาน
การเคลื่อนไหว และทำให้ผู้ป่วยต้องพึ่งพาคนอื่นมากขึ้น
กระดูกสะโพกหัก: เป็นหนึ่งในภาวะที่อันตรายที่สุดในผู้ป่วยกระดูกพรุน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ
การหักของสะโพกไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความเจ็บปวดและข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว
แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ การเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ
และการเสียชีวิตจากการอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
กระดูกสันหลังหัก: ส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกายอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหลังอย่างรุนแรง
การหักของกระดูกสันหลังทำให้แนวกระดูกสันหลังผิดปกติหรือเกิดภาวะหลังโก่งงอ (Kyphosis)
ส่งผลต่อการหายใจ การยืนและการเดินในชีวิตประจำวัน
2. ภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ (Respiratory Infections)
ผู้ป่วยกระดูกพรุนที่มีการหักของกระดูกสันหลังหรือกระดูกอื่น ๆ อาจมีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว
ซึ่งสามารถนำไปสู่ภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากไม่สามารถขยายปอดได้เต็มที่
การที่ปอดขยายตัวไม่เต็มประสิทธิภาพทำให้สารคัดหลั่งสะสมและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคปอดบวม (Pneumonia)
หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง โรคปอดบวมในผู้ป่วยกระดูกพรุนอาจมีความรุนแรงมาก
เนื่องจากผู้ป่วยมีสุขภาพที่อ่อนแอและระบบภูมิคุ้มกันที่ลดลง
3. การเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ (Deep Vein Thrombosis: DVT)
การเคลื่อนไหวที่จำกัดหรือการนอนนิ่งเป็นเวลานานหลังจากกระดูกหักอาจทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี
นำไปสู่การเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึก โดยเฉพาะที่ขา ซึ่งเรียกว่า DVT อาการของ DVT
ได้แก่ ขาบวม แดง และเจ็บปวด ภาวะนี้อาจรุนแรงและอันตรายหากลิ่มเลือดหลุดออกจากหลอดเลือดดำและเคลื่อนเข้าสู่ปอด
ก่อให้เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในปอด (Pulmonary Embolism) ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้การหายใจลำบากและอาจถึงแก่ชีวิตได้
4. ภาวะโรคซึมเศร้าและความวิตกกังวล (Depression and Anxiety)
การเกิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนไม่เพียงส่งผลต่อร่างกายเท่านั้น
แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตของผู้ป่วยด้วย การเจ็บปวดเรื้อรัง ความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวันลดลง
และความจำเป็นในการพึ่งพาคนอื่น ทำให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกหมดหวังและความเครียดสะสม
ส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลตามมา ภาวะซึมเศร้านี้อาจทำให้ผู้ป่วยละเลยการดูแลสุขภาพตนเอง
รวมถึงการใช้ยารักษากระดูกพรุนอย่างถูกต้อง ซึ่งจะทำให้โรคกระดูกพรุนแย่ลงไปอีก
5. การสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว (Loss of Mobility)
ผู้ป่วยที่มีกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน อาจสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวอย่างถาวร
การหักของกระดูกสะโพกหรือกระดูกสันหลังอาจทำให้ต้องนอนอยู่บนเตียงหรือใช้รถเข็น
ทำให้สูญเสียความเป็นอิสระ และมีความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับ (Pressure Ulcers)
จากการนอนนิ่งนาน ๆ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งภาวะที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดการติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงตามมา
6. การย่อยอาหารและระบบทางเดินอาหารผิดปกติ (Gastrointestinal Complications)
การหักของกระดูกสันหลังอาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของร่างกาย เช่น การโค้งงอของกระดูกสันหลังทำให้หน้าท้องถูกบีบรัด
ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่ ผู้ป่วยอาจประสบกับอาการท้องอืด ท้องผูก หรือการย่อยอาหารช้าลง
นอกจากนี้ หากผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดจากการหักของกระดูกเป็นเวลานาน
อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือภาวะท้องผูกจากผลข้างเคียงของยา
7. ภาวะโรคไตจากการใช้ยารักษา (Kidney Complications from Medication)
ยารักษากระดูกพรุน เช่น ยากลุ่ม Bisphosphonates ที่ช่วยยับยั้งการสลายตัวของกระดูก
อาจมีผลข้างเคียงต่อระบบการทำงานของไต โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคไตอยู่ก่อนแล้ว
การใช้ยาในระยะยาวจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบการทำงานของไตอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการเกิดภาวะไตเสื่อมจากการใช้ยา
8. ปัญหาการเสียสมดุลและการลื่นล้ม (Balance and Falls)
กระดูกพรุนมักทำให้ผู้ป่วยเสียสมดุลหรือมีปัญหาในการเดิน การที่กระดูกมีความเปราะบางอยู่แล้ว
การลื่นล้มเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่การหักของกระดูก ซึ่งจะสร้างปัญหาวนเวียนไม่สิ้นสุด
การฝึกสมดุลและการเสริมสร้างกล้ามเนื้อส่วนขาจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการลดความเสี่ยงในการลื่นล้ม
การดูแลและป้องกันโรคกระดูกพรุน
การรับประทานอาหารที่เหมาะสม
การดูแลเรื่องอาหารมีความสำคัญอย่างมากในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
การรับสารอาหารที่ช่วยบำรุงกระดูก เช่น แคลเซียมและวิตามินดี จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนได้
แคลเซียม: แคลเซียมเป็นองค์ประกอบหลักของกระดูก ร่างกายต้องการแคลเซียมเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
ผู้ใหญ่ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1,000-1,200 มิลลิกรัมต่อวัน แหล่งอาหารที่มีแคลเซียมสูง
ได้แก่ นม โยเกิร์ต ชีส ผักใบเขียว เช่น ผักโขม คะน้า และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้
วิตามินดี: วิตามินดีมีบทบาทสำคัญในการช่วยดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย เราสามารถได้รับวิตามินดีจากการสัมผัสแสงแดดในตอนเช้า
รวมถึงอาหารที่
มีวิตามินดี เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ไข่แดง และเห็ด ผู้ใหญ่ควรได้รับวิตามินดีประมาณ 600-800 IU ต่อวัน
โปรตีน: โปรตีนช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมกระดูก กล้ามเนื้อที่แข็งแรงจะช่วยลดความเสี่ยงในการลื่นล้มซึ่งอาจนำไปสู่กระดูกหักได้
ควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว และธัญพืช
การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกระดูก
การออกกำลังกายเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคกระดูกพรุน
การออกกำลังกายที่เน้นการแบกรับน้ำหนัก และการฝึกสมดุลช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ
การออกกำลังกายแบบแบกรับน้ำหนัก: การเดิน วิ่ง หรือเต้นแอโรบิกเป็นการออกกำลังกาย
ที่ช่วยให้กระดูกรับน้ำหนักตัวและกระตุ้นให้กระดูกแข็งแรงมากขึ้น
การออกกำลังกายประเภทนี้ควรทำอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 3-5 วันต่อสัปดาห์
การฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
การยกน้ำหนักหรือการออกกำลังกายด้วยแรงต้าน
ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูกส่วนที่ใช้งาน การฝึกนี้ควรทำอย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
การฝึกสมดุล (Balance Training): การฝึกโยคะหรือไทเก็กช่วยเสริมสร้างสมดุลและป้องกันการลื่นล้ม
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดกระดูกหักในผู้ป่วยกระดูกพรุน
การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง
พฤติกรรมบางอย่างอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน ดังนั้นการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงจึงเป็นสิ่งสำคัญ
การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ทำให้ความสามารถของร่างกายในการสร้างกระดูกลดลง
และยังส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตซึ่งอาจลดการไหลเวียนของสารอาหารที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างกระดูก
การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป: การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง
และอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการหกล้มซึ่งนำไปสู่กระดูกหักได้
การบริโภคคาเฟอีนมากเกินไป: คาเฟอีนในปริมาณมากอาจส่งผลให้ร่างกายขับแคลเซียมออกจากร่างกายมากขึ้น
การลดการบริโภคกาแฟและชาเข้มข้นจึงเป็นวิธีหนึ่งในการป้องกันการสูญเสียแคลเซียม
การตรวจสุขภาพและการประเมินความเสี่ยงของกระดูก
การตรวจคัดกรองสุขภาพกระดูกเป็นประจำ โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
เช่น ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน
สามารถช่วยประเมินความหนาแน่นของกระดูกและตรวจหาความเสี่ยงในการเกิดโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
การตรวจความหนาแน่นของกระดูก (Bone Density Test) เป็นวิธีที่ใช้วัดปริมาณแคลเซียมและแร่ธาตุในกระดูก
หากพบว่ามีความเสี่ยง แพทย์จะสามารถแนะนำการรักษาหรือป้องกันได้ทันท่วงที
การใช้ยาป้องกันและรักษา
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีกระดูกพรุนหรือมีความเสี่ยงสูง แพทย์อาจพิจารณาการใช้ยารักษาหรือป้องกันโรคกระดูกพรุน
ยาฮอร์โมน: การใช้ฮอร์โมนทดแทนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนสามารถช่วยป้องกันการสูญเสียมวลกระดูกได้
แต่ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์
การจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อป้องกันการลื่นล้ม
การลื่นล้มเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้เกิดกระดูกหักในผู้ป่วยกระดูกพรุน ดังนั้นการจัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยจึงมีความสำคัญ
บ้านที่ปลอดภัย: การจัดบ้านให้ปลอดภัย เช่น การติดตั้งราวจับในห้องน้ำ การปูพรมเพื่อป้องกันการลื่น
และการจัดสิ่งของให้อยู่ในที่ที่หยิบจับได้ง่ายจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
รองเท้าที่เหมาะสม: ควรสวมใส่รองเท้าที่มีพื้นกันลื่นและรองรับการเดินที่ดี


การป้องกันโรคกระดูกพรุนต้องเริ่มจากการดูแลสุขภาพโดยรวม
การรับประทานอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียมและวิตามินดี การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง และการตรวจคัดกรองสุขภาพกระดูกเป็นประจำ
นอกจากนี้ การปรับสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัยและการใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์
จะช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุนและลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน

ความรู้เพิ่มเติม
https://shop-online.thonburihospital.com/th/package.html
https://www.thonburihospital.com/specialisecenter/orthopedic-center/
https://www.youtube.com/watch?v=qrBwGne0t3w
https://www.youtube.com/watch?v=KUYGpIT8jfk




โรคแทรกซ้อนที่ต้องระวัง..เมื่อเป็นกระดูกพรุน
ทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงได้มากขึ้น นอกจากการเจ็บปวดและการเคลื่อนไหวที่จำกัด
โรคแทรกซ้อนเหล่านี้ยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพในระยะยาว
การทำความเข้าใจและป้องกันโรคแทรกซ้อนเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปลอดภัย
วันนี้พี่หมอฝั่งธน..จะมาให้ความรู้
กระดูกพรุน (Osteoporosis) เป็นโรคที่กระดูกสูญเสียความหนาแน่นและความแข็งแรง
ทำให้เสี่ยงต่อการแตกหักได้ง่ายขึ้น โรคนี้มักพบมากในผู้สูงอายุและผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
ซึ่งฮอร์โมนที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกจะลดลง
การสูญเสียความแข็งแรงของกระดูกสามารถนำไปสู่การเกิดโรคแทรกซ้อนที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก
เราจะสำรวจถึงโรคแทรกซ้อนที่พบบ่อยและร้ายแรงที่ควรระวังเมื่อเป็นกระดูกพรุน
สาเหตุของโรคกระดูกพรุน
การสูญเสียมวลกระดูก: เกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
ฮอร์โมน: การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงและฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในผู้ชาย
พันธุกรรม: มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงในการเกิดโรค
การดูดซึมแคลเซียมไม่ดี: อาจเกิดจากการขาดวิตามินดี หรือปัญหาในการดูดซึมในลำไส้
ยาบางชนิด: เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
พฤติกรรมเสี่ยง: สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
โรคเรื้อรัง: โรคไทรอยด์ทำงานเกิน, โรคไตเรื้อรัง
1. กระดูกหัก (Fractures)
โรคกระดูกพรุนเพิ่มความเสี่ยงต่อการหักของกระดูก โดยเฉพาะในกระดูกสันหลัง สะโพก และข้อมือ
การหักของกระดูกในผู้ป่วยกระดูกพรุนอาจเกิดจากกิจกรรมประจำวัน เช่น การลื่นล้ม หรือล้มเบา ๆ
ซึ่งในคนที่มีกระดูกปกติอาจไม่ได้ทำให้กระดูกหัก การแตกหักในตำแหน่งดังกล่าวส่งผลต่อความสามารถในการทำงาน
การเคลื่อนไหว และทำให้ผู้ป่วยต้องพึ่งพาคนอื่นมากขึ้น
กระดูกสะโพกหัก: เป็นหนึ่งในภาวะที่อันตรายที่สุดในผู้ป่วยกระดูกพรุน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ
การหักของสะโพกไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความเจ็บปวดและข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว
แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ การเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ
และการเสียชีวิตจากการอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
กระดูกสันหลังหัก: ส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกายอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหลังอย่างรุนแรง
การหักของกระดูกสันหลังทำให้แนวกระดูกสันหลังผิดปกติหรือเกิดภาวะหลังโก่งงอ (Kyphosis)
ส่งผลต่อการหายใจ การยืนและการเดินในชีวิตประจำวัน
2. ภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ (Respiratory Infections)
ผู้ป่วยกระดูกพรุนที่มีการหักของกระดูกสันหลังหรือกระดูกอื่น ๆ อาจมีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว
ซึ่งสามารถนำไปสู่ภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากไม่สามารถขยายปอดได้เต็มที่
การที่ปอดขยายตัวไม่เต็มประสิทธิภาพทำให้สารคัดหลั่งสะสมและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคปอดบวม (Pneumonia)
หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง โรคปอดบวมในผู้ป่วยกระดูกพรุนอาจมีความรุนแรงมาก
เนื่องจากผู้ป่วยมีสุขภาพที่อ่อนแอและระบบภูมิคุ้มกันที่ลดลง
3. การเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ (Deep Vein Thrombosis: DVT)
การเคลื่อนไหวที่จำกัดหรือการนอนนิ่งเป็นเวลานานหลังจากกระดูกหักอาจทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี
นำไปสู่การเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึก โดยเฉพาะที่ขา ซึ่งเรียกว่า DVT อาการของ DVT
ได้แก่ ขาบวม แดง และเจ็บปวด ภาวะนี้อาจรุนแรงและอันตรายหากลิ่มเลือดหลุดออกจากหลอดเลือดดำและเคลื่อนเข้าสู่ปอด
ก่อให้เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในปอด (Pulmonary Embolism) ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้การหายใจลำบากและอาจถึงแก่ชีวิตได้
4. ภาวะโรคซึมเศร้าและความวิตกกังวล (Depression and Anxiety)
การเกิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนไม่เพียงส่งผลต่อร่างกายเท่านั้น
แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตของผู้ป่วยด้วย การเจ็บปวดเรื้อรัง ความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวันลดลง
และความจำเป็นในการพึ่งพาคนอื่น ทำให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกหมดหวังและความเครียดสะสม
ส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลตามมา ภาวะซึมเศร้านี้อาจทำให้ผู้ป่วยละเลยการดูแลสุขภาพตนเอง
รวมถึงการใช้ยารักษากระดูกพรุนอย่างถูกต้อง ซึ่งจะทำให้โรคกระดูกพรุนแย่ลงไปอีก
5. การสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว (Loss of Mobility)
ผู้ป่วยที่มีกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน อาจสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวอย่างถาวร
การหักของกระดูกสะโพกหรือกระดูกสันหลังอาจทำให้ต้องนอนอยู่บนเตียงหรือใช้รถเข็น
ทำให้สูญเสียความเป็นอิสระ และมีความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับ (Pressure Ulcers)
จากการนอนนิ่งนาน ๆ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งภาวะที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดการติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงตามมา
6. การย่อยอาหารและระบบทางเดินอาหารผิดปกติ (Gastrointestinal Complications)
การหักของกระดูกสันหลังอาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของร่างกาย เช่น การโค้งงอของกระดูกสันหลังทำให้หน้าท้องถูกบีบรัด
ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่ ผู้ป่วยอาจประสบกับอาการท้องอืด ท้องผูก หรือการย่อยอาหารช้าลง
นอกจากนี้ หากผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดจากการหักของกระดูกเป็นเวลานาน
อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือภาวะท้องผูกจากผลข้างเคียงของยา
7. ภาวะโรคไตจากการใช้ยารักษา (Kidney Complications from Medication)
ยารักษากระดูกพรุน เช่น ยากลุ่ม Bisphosphonates ที่ช่วยยับยั้งการสลายตัวของกระดูก
อาจมีผลข้างเคียงต่อระบบการทำงานของไต โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคไตอยู่ก่อนแล้ว
การใช้ยาในระยะยาวจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบการทำงานของไตอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการเกิดภาวะไตเสื่อมจากการใช้ยา
8. ปัญหาการเสียสมดุลและการลื่นล้ม (Balance and Falls)
กระดูกพรุนมักทำให้ผู้ป่วยเสียสมดุลหรือมีปัญหาในการเดิน การที่กระดูกมีความเปราะบางอยู่แล้ว
การลื่นล้มเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่การหักของกระดูก ซึ่งจะสร้างปัญหาวนเวียนไม่สิ้นสุด
การฝึกสมดุลและการเสริมสร้างกล้ามเนื้อส่วนขาจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการลดความเสี่ยงในการลื่นล้ม
การรับประทานอาหารที่เหมาะสม
การดูแลเรื่องอาหารมีความสำคัญอย่างมากในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
การรับสารอาหารที่ช่วยบำรุงกระดูก เช่น แคลเซียมและวิตามินดี จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนได้
แคลเซียม: แคลเซียมเป็นองค์ประกอบหลักของกระดูก ร่างกายต้องการแคลเซียมเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
ผู้ใหญ่ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1,000-1,200 มิลลิกรัมต่อวัน แหล่งอาหารที่มีแคลเซียมสูง
ได้แก่ นม โยเกิร์ต ชีส ผักใบเขียว เช่น ผักโขม คะน้า และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้
วิตามินดี: วิตามินดีมีบทบาทสำคัญในการช่วยดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย เราสามารถได้รับวิตามินดีจากการสัมผัสแสงแดดในตอนเช้า
รวมถึงอาหารที่มีวิตามินดี เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ไข่แดง และเห็ด ผู้ใหญ่ควรได้รับวิตามินดีประมาณ 600-800 IU ต่อวัน
โปรตีน: โปรตีนช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมกระดูก กล้ามเนื้อที่แข็งแรงจะช่วยลดความเสี่ยงในการลื่นล้มซึ่งอาจนำไปสู่กระดูกหักได้
ควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว และธัญพืช
การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกระดูก
การออกกำลังกายเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคกระดูกพรุน
การออกกำลังกายที่เน้นการแบกรับน้ำหนัก และการฝึกสมดุลช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ
การออกกำลังกายแบบแบกรับน้ำหนัก: การเดิน วิ่ง หรือเต้นแอโรบิกเป็นการออกกำลังกาย
ที่ช่วยให้กระดูกรับน้ำหนักตัวและกระตุ้นให้กระดูกแข็งแรงมากขึ้น
การออกกำลังกายประเภทนี้ควรทำอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 3-5 วันต่อสัปดาห์
การฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
การยกน้ำหนักหรือการออกกำลังกายด้วยแรงต้าน
ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูกส่วนที่ใช้งาน การฝึกนี้ควรทำอย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
การฝึกสมดุล (Balance Training): การฝึกโยคะหรือไทเก็กช่วยเสริมสร้างสมดุลและป้องกันการลื่นล้ม
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดกระดูกหักในผู้ป่วยกระดูกพรุน
การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง
พฤติกรรมบางอย่างอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน ดังนั้นการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงจึงเป็นสิ่งสำคัญ
การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ทำให้ความสามารถของร่างกายในการสร้างกระดูกลดลง
และยังส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตซึ่งอาจลดการไหลเวียนของสารอาหารที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างกระดูก
การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป: การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง
และอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการหกล้มซึ่งนำไปสู่กระดูกหักได้
การบริโภคคาเฟอีนมากเกินไป: คาเฟอีนในปริมาณมากอาจส่งผลให้ร่างกายขับแคลเซียมออกจากร่างกายมากขึ้น
การลดการบริโภคกาแฟและชาเข้มข้นจึงเป็นวิธีหนึ่งในการป้องกันการสูญเสียแคลเซียม
การตรวจสุขภาพและการประเมินความเสี่ยงของกระดูก
การตรวจคัดกรองสุขภาพกระดูกเป็นประจำ โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
เช่น ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน
สามารถช่วยประเมินความหนาแน่นของกระดูกและตรวจหาความเสี่ยงในการเกิดโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
การตรวจความหนาแน่นของกระดูก (Bone Density Test) เป็นวิธีที่ใช้วัดปริมาณแคลเซียมและแร่ธาตุในกระดูก
หากพบว่ามีความเสี่ยง แพทย์จะสามารถแนะนำการรักษาหรือป้องกันได้ทันท่วงที
การใช้ยาป้องกันและรักษา
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีกระดูกพรุนหรือมีความเสี่ยงสูง แพทย์อาจพิจารณาการใช้ยารักษาหรือป้องกันโรคกระดูกพรุน
ยาฮอร์โมน: การใช้ฮอร์โมนทดแทนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนสามารถช่วยป้องกันการสูญเสียมวลกระดูกได้
แต่ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์
การจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อป้องกันการลื่นล้ม
การลื่นล้มเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้เกิดกระดูกหักในผู้ป่วยกระดูกพรุน ดังนั้นการจัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยจึงมีความสำคัญ
บ้านที่ปลอดภัย: การจัดบ้านให้ปลอดภัย เช่น การติดตั้งราวจับในห้องน้ำ การปูพรมเพื่อป้องกันการลื่น
และการจัดสิ่งของให้อยู่ในที่ที่หยิบจับได้ง่ายจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
รองเท้าที่เหมาะสม: ควรสวมใส่รองเท้าที่มีพื้นกันลื่นและรองรับการเดินที่ดี
การรับประทานอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียมและวิตามินดี การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง และการตรวจคัดกรองสุขภาพกระดูกเป็นประจำ
นอกจากนี้ การปรับสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัยและการใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์
จะช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุนและลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน
ความรู้เพิ่มเติม
https://shop-online.thonburihospital.com/th/package.html
https://www.thonburihospital.com/specialisecenter/orthopedic-center/
https://www.youtube.com/watch?v=qrBwGne0t3w
https://www.youtube.com/watch?v=KUYGpIT8jfk