เพื่อนของฉันคือโรคซึมเศร้า

เราอยากให้คนที่ได้อ่านกระทู้นี้เข้าใจคนที่เป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้นและต้องการให้คนที่เป็นโรคซึมเศร้ามีกำลังใจและสามารถเป็นเพื่อนกับโรคซึมเศร้าได้

เราขอบอกก่อนว่าเราเป็นโรคซึมเศร้ามาประมาร8ปีพบทั้งจิตแพทย์และนักจิตวิทยาบ่อยมากๆ เป็นcase studyให้พี่หมอก็หลายหน โดนถามคำถามซ้ำๆเดิมๆจนตัวเองคิดว่านี่เราเป็นดาราที่ต้องมาตอบคำถามจากสื่อหรอเนี่ยยยยย

ที่เราอยากมาเล่าชีวิตของเราเป็นเพราะเราอยากจะให้กำลังใจคนที่มีโรคซึมเศร้าเป็นเพื่อนเหมือนเรา มันไม่ง่ายเลยนะที่จะต้องใช้ชีวิตท่ามกลางผู้คนที่มีทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจเรา บางครั้งการออกไปข้างนอกเราก็อยากมีผ้าคลุมล่องหนของแฮร์รี่ซะจริงๆ ทำไมน้าชีวิตตอนก่อนหน้านี้มันมีความสุขมากๆเลย ทำไมตอนนี้เรานึกไม่ออกเลยนะว่าความสุขที่เคยมีมานั้นเป็นยังไง แล้วเมื่อไหร่นะความสุขที่มีจะกลับมา เมื่อไหร่จะเลิกเศร้า เมื่อไหร่ที่เราจะออกจากโรคสีเทาๆนี้สักที

ในหัวของหลายคนคงคิดว่าคนพวกนี้ก็แค่คนที่เครียดกว่าคนปกติเฉยๆ จะไปสนใจทำไม บางทีอาจจะเรียกร้องความสนใจก็ได้ เอะอะเครียดนิดก็ร้องไห้ ก็ซึม ก็เศร้า ก็ทำร้ายตัวเอง ก็ ก็ ก็ ฯลฯ

ย้อนกลับไปเมื่อ7ปีที่แล้ว เด็กผู้หญิงคนนึงที่สะสมความเครียดเอาไว้ที่โดนเพื่อนว่าเพราะเช็คเพื่อนมาสาย ตลอดระยะเวลาที่เปิดเทอม จนเดือนสุดท้ายของปีนั้น เราก็เกิดอาการมือจีบเท้าจีบหายใจเร็ว คุณครูตกใจรีบโทรหาแม่ สุดท้ายก็เข้าโรงบาลฉีดยาไปก็ไม่หายสักที จึงย้ายๆไปโรงบาลเอกชน พออาการดีขึ้น เช้าวันใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมก็เริ่มต้นขึ้น
                    มันเป็นเช้าที่แปลกมากเกิดมาไม่เคยปวดหัวปวดตาเท่านี้มาก่อน ไปเช็คกับหมอก็ปกติ หมอสรุปว่าเพราะเราเครียดตลอดเวลาเลยปวดหัว แปลกนะที่คืนนั้นเป็นคินที่นอนหลับยากมากๆดราฝันถึงป้าที่เรารักมากที่เสียชีวิตไป เหมือนป้ามาเรียกเราไปอยู่ด้วย เราคิดถึงป้าสุดหัวใจ แม่เราเล่าว่า เราร้องไห้หนักมาๆ ดิ้นไปดิ้นมาและเรียกแต่ชื่อป้า เราจำไม่ได้หรอกว่าหลับไปตอนไหน และมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง นี่ก็แค่ความทรงจำลางๆที่เราพอจะระลึกได้
เราไม่ไปโรงเรียนเลย1เดือน บางคนคงจะสงสัยถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ดรอปเรียนไปเลยว่ะ เราก็ว่าอย่างงั้นแหละ วันต่อมาหลังหลังจากที่เราออกจากโรงพยาบาล เราคิดอย่างเดียวเท่านั้นว่า เราคงไปเรียนไม่ได้อีกแล้ว เราไม่อยากเจอเพื่อนคนนั้น เราไม่อยากเห็นสายตาของคนที่โรงเรียนมองเราตอนขึ้นรถไปโรงพยาบาล แต่รองผอ.กลับไม่ให้เราดร็อป บอกให้เราไปพักได้และเมื่อพร้อมให้กลับมาเรียน หลังคุยเสร็จเราก็ออกมาข้างนอกและขึ้นรถกลับบ้าน ตอนกำลังจะออกรถไป มีคุณครูที่รู้จักเรียก แม่เลยจอดรถแต่แม่ก็ทำเพียงส่งสายตาคุยกับครูและน้ำตาแม่เราก็ไหลออกมา เกิดมา13ปีเราไม่เคยเห็นน้ำตาแม่มาก่อน วันนั้นเราจำได้ดีน้ำตาของแม่ที่ใจสลายที่ลุกไม่ยอมไปโรงเรียน ลูกที่ไม่สดใสเหมือนเดิม ลูกที่มีโลกสีเทาของตัวเอง

หลังจากนั้น 1 เดือน ระหว่างที่รักษาตัว ช่วงนั้นก็จะเป็นช่วงปีใหม่ เราอยากลองสู้อีกครั้ง เราหักดิบโดยการเลิกกินยาเลย (ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีมากๆ) เรากลับมาใช้ชีวิตให้ปกติที่สุด แต่ก็ต้องยอมรับว่าช่วงแรกๆนั้นมันยากมากที่จะมาโรงเรียน ั้งการที่จะใส่ชุดนักเรียนอีกครั้ง การที่จะต้องไปพบสายตาของคนทั้งโรงเรียน รวมถึงสายตาของเพื่อนในห้อง

เราก็ห่างหายจากอาการไปเกือบปี ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเหมือนกันที่อยู่ดีๆก็เหมือนได้ชีวิตที่เหมือนเดิมกลับมา แต่แปลกตรงที่1-3ปีนั้น เราก็ยังคงกินยาคลายเครียดเป็นระยะ แบบ3-4วันเครียดทีก็กิน หายเครียดก็เลิก เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆร่วม3ปี ทุกคนคงจะคิดว่ามันhappy endingแล้วสินะ แต่ไม่เลยถึงมันจะเจ็บแล้วมันจะจบ จะเจ็บเท่าไหร่ก็ยอม เดี๋ยวๆไม่ใช่ละ เหตุการร์มันยังไม่จบแค่นั้น

                    ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งกับการรับน้องที่เกิดขึ้นครั้งแรกในชีวิต เราตั้งตารอวันนี้มากๆ อยากรู้ว่าการรับน้องเป็นยังไงจะสนุกเหมือนในเอ็มวี ในละครมั้ยนะ แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย ทันที่ที่รุ่นพี่สั่งให้พวกเราจัดแถวเท่านั้น ก็เปิดฉากการรับน้องที่แท้จริง มีพี่ๆให้เราเดินขึ้นไปชั้น5เพื่อเข้าประชุม พี่ๆก็พูดปกติธรรมดาหลังจากนั้นเราก็ได้ยินเสียงคนตะโดนโวยวายเข้ามา แววตาที่ไม่เป็นมิตร
สั่งให้เราเข้าแถวให้เรียบร้อย วิ่งลงไปจัดแถวชั้น1 คนที่ไปถึงชั้น1แล้วก็ต้องย่ำเท้าอยู่กับพี่รอเพื่อน เราเป็นผู้หญิงอ้วนหนัก70+
จึงรู้สึกเหนื่อยมากๆ พี่พยาบาลก็บอกนะว่าถ้าเหนื่อยให้หยุดพัก แต่เราไม่อยากเป็นภาระของพี่พยาบาล และอยากลองฝืนร่างกายของตัวเองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ เสร็จแล้วพี่เค้าก็ให้เราวิ่งกลับขึ้นไปที่ชั้น5แล้วย่ำเท้าอยู่กับที่รอเพื่อนเหมือนเดิม เรารู้สึกปวดเท้า เหนื่อยมากๆ เรารู้สึกกดดันว่าทำไมพี่เค้าต้องมาตะโกนใส่เรา ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดแต่ ณ ตอนนั้นเราก็ทำอะไรไม่ได้ หลังจากพี่เค้าเลิกกิจกรรม เราก็เริ่มมีอาการดาวน์ที่รู้สึกได้ว่า เราเครียดแน่ๆ แต่ทำไงได้เรามาเรียนที่อื่นยาคลายเครียดที่ขอหมอมากินประจำก็ไม่มี แต่ความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่ เราบังเอิญรู้จักกับรุ่นพี่คนนึงแล้วพี่เค้ากำลังไปซื้อยาที่เอาไว้กันฉุกเฉินหากน้องป่วย เราก็บอกพี่เค้าไปว่าอยากได้ยาคลายเครียด พี่เค้าก็อยากได้ชื่อยาจากเราแต่ทำไงได้เราเคยกินยาระะยนึงก็จริง แต่หลังจากนั้นเราซื้อยาตามคลินิคด้วยตัวเอง ทำให้เราไม่รู้จักชื่อยา เรารอพี่เค้าจนถึงเวลาเข้ากิจกรรม สุดท้ายก็ไม่ได้เจอกัน เราเลยบอกพี่พยาบาลที่คณะ พี่เค้าไม่กล้าพาเราไปหายามั่วซั่ว จึงพาไปโรงบาลของมหาลัย เป็นอะไรที่รอนานมากแต่เราก็เข้าใจว่าเราไม่ใช่เคสฉุกเฉินจะรอนานก็ไม่แปลก หมอสักประวัติเราชั่วโมงกว่าได้ว่าเราเคยมีอาการยังไง เกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังจากนั้นหมอก็สั่งยาและนัดเราให้ไปหาอาทิตย์ต่อไป แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับใจเราไปแล้วความรู้สึกกดดันวันนั้นที่ทั้งโดนดุทั้งโดนสั่งให้วิ่งมันทำให้เรารู้สึกแย่มากจริงๆ เรากลับหอหยิบคัตเตอร์แล้วกรีดที่ข้อมือซ้ำๆ(แล้วคิดไปเองว่า การกรีดก็เหมือนการเรียกสติกลับมาของเรา เรากลับมามีตัวตนอีกครั้ง ไม่ใช่อากาศหรือแร่ธาตุใดๆ) ตอนนั้นสารภาพเลยจริงๆว่าไม่เจ็บเลย กรีดแบบไร้ความรู้สึกสุดๆ แล้วเราก็ทำแบบนี้ทุกๆวัน วันละหลายๆครั้ง เริ่มรู้สึกระแวงเวลาเรียนกับเพื่อน รู้สึกว่ามีแต่คนมองและนินทาหรือคิดไม่ดีกับเรา แปลกนะเราก็ยังไม่รู้สึกตัวอยู่ดีว่าที่เราทำไปเพราะอะไร เรายังคงรักษากับหมอทุกอาทิตย์เปลี่ยนยาบ่อยมากๆ พอๆกับเปลี่ยนหมอด้วยเช่นกัน เราลืมบอกไปตอนนั้นเราเป็นpanicด้วยนะ ใจสั่นแบบบ่อยมากๆ

          เย็นวันหนึ่งแถวสนามกีฬาที่มหาลัยมีการพิสูจน์รุ่นเกิดขึ้น.........


ไม่แน่ใจว่ามีใครอยากรู้เรื่องของเรา หรือรอฟังวิธีที่เราเป็นเพื่อนกับโรคซึมเศร้ายังไง เราเลยขอพิมพ์ค้างไว้ก่อน
แต่ถึงมีคนอ่านแค่คนเดียวเราก็จะเขียนให้จบ ขอไปทำธุระก่อนนะ  

เพจเรา https://www.facebook.com/icanwinthiswar/
มีอะไรอยากคุยอยากระบายทักเข้ามาได้เลยเราพร้อมตอบเสมอ เรามาเป็นกำลังใจให้กันเถอะ
กำลังแก้ชื่อเพจอยู่เดี๋ยวจะเปลี่ยนชื่อนะ เราอยากให้เพจนี้รวมทั้งคนที่ดูแลคนเป็นโรคซึมเศร้า คนที่กำลังสู้กับโรคซึมเศร้า และคนที่เพิ่งเป็นโรคซึมเศร้า
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่