ข้อความข้างล่างมีสปอยล์เปิดเผยเนื้อหาสำคัญระดับ 5/5
มหากาพย์ลิเกอวกาศ Star Wars: the Last Jedi ได้ฉายไปนานพอสมควรแล้วและก็ถึงเวลาที่จะมาฝอยรายละเอียดปลีกย่อยกันเสียทีว่าหนังเรื่องนี้ทำไมถึงมีกระแสทั้งคนชอบมาก ๆ และเกลียดมันมาก ๆ แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในเฟรนไชส์ชุด Star Wars เลย
สิ่งที่ทำให้ The Last Jedi ทำให้คนดูแตกเป็นสองฝั่งเท่าที่ผู้เขียนได้ดูและสังเกตในหนังก็คงไม่พ้นหลัก ๆ คือการเดินเรื่องที่แหกแหวกธรรมเนียมของ Star Wars การถ่ายทอดเรื่องราวที่มีแต่ความล้มเหลว การนำเสนอมุมมองตัวละครที่ผิดความคาดหวังจนหลายคนต้องเงิบ พัฒนาการของตัวละครหลักที่ไม่ค่อยพบนักในหนังชุดนี้และแง่คิดคำสอนที่ลึกซึ้งนุ่มลึกซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นความสดใหม่ที่เกิดขึ้นโดยจะขอจำแนกตามหัวข้อดังนี้ครับ
การเดินเรื่องถ่ายทอดเรื่องราวที่แหกแหวกแนว
แน่นอนกับ Star Wars ที่เรา ๆ รู้กันก็คือการต่อสู้ของเจได-ซิธ ตัวละครที่หลากหลายมาทำภารกิจนำเสนอมุมมองตัวละครเชิงฮีโร่จะทำอะไรก็สำเร็จมีคนรักมีคนชาบูยกใหญ่แต่กลับ The Last Jedi มันได้ตลบหลังคนดูจนหมดเริ่มตั้งแต่ภารกิจที่ล้มเหลวถึงจะสำเร็จแต่ก็ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียอย่างกรณีที่ โพ ขับ X-Wings ไล่ถล่มยานศัตรูได้สำเร็จแต่ก็ต้องแลกกับการเสียลูกน้องและยานทิ้งระเบิดจนเกือบหมดทำให้เขาโดนเลอาตำหนิแถมลดขั้นอีกต่างหาก
ยังไม่พอด้วยความดื้อรั้นของ โพ อีกนั่นแหละที่ถกเถียงกับ โฮลโด ผู้บัญชาการ(ชั่วคราว) ว่าไม่ยอมทำอะไรแถมยังกล่าวหาว่าเป็นคนขี้ขลาดถึงกับก่อกบฏซ้อนอีกแต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่ โฮลโด ทำคือการรักษาชีวิตลูกน้องมากที่สุดขณะที่ โพ ได้วางแผนให้ฟินกับโรสไปตามหานักถอดรหัสแต่คนที่ดูมาก็คงรู้นะครับว่าภารกิจลับของโพที่มอบหมายไปให้ว่ามันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง (หานักถอดรหัสตัวจริงไม่ได้แถมยังเจอโจรอวกาศ DJ หลอกเอาอีก)
ยังมีอีกมากที่ตัวหนังนำเสนอให้เห็นถึงความล้มเหลวกรณีของลุค สกายวอลค์เกอร์ เองก็ไม่พ้นที่ตัวหนังนำเสนอมุมมองของเจไดคนสุดท้ายที่รู้สึกผิดหวังโทษตัวเองจนต้องระเห็จมาอยู่บนเกาะคนเดียวทั้งที่คนภายนอกต่างยกย่องว่าเขาคือตำนานเป็นวีรบุรุษแต่หารู้ไม่ว่าภายในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความเศร้านั่งโทษตัวเองอยู่ร่ำไป
ซึ่งตรงนี้แหละครับที่ทำให้ Star Wars ภาคนี้ดูมีความแตกต่างมากเราไม่เคยรู้เลยว่า ลุค รู้สึกอย่างไรกันแน่หรือตัวละครอื่น ๆ ที่ถ่ายทอดอีกมุมอีกด้านให้เห็นแถมเป็นมุมที่เป็นความ Fail อีกต่างหาก
การเล่าเรื่องของด้านมืด-ด้านสว่างก็เช่นกันจากภาคก่อน ๆ จะแบ่งกั้นชัดเจนว่าสว่างก็คือสว่าง มืดก็คือมืด แต่ในภาคนี้ทั้งสองจะถูกผสานจนเป็นสีเทาไม่ขาวไม่ดำเกินไปจะเห็นว่าแทบทุกตัวละครเคยสัมผัสด้านมืดและด้านสว่างเช่น ลุค ที่เผลอถูกความกลัวครอบงำจนเกือบฆ่า เบน โซโล (ไคโล เรน) หรือ เรย์ ที่ถลำเข้าสู่ด้านมืดทันทีที่เธอฝึกควบคุมพลัง Force แถมยังใช้ด้านมืดที่อยู่ในเกาะหาคำตอบว่าตัวเธอคือใคร แม้กระทั่งตัว ไคโล เรน เองก็มีด้านสว่างในตัวแต่เขาเลือกที่จะเดินเข้าหาด้านมืดอย่างเต็มใจ
แต่ตัวละครที่แสดงออกชัดเจนถึงความไม่ขาวไม่ดำก็คือมหาโจรอวกาศ DJ ที่แสดงโดย Benicio Del Toro นี่แหละที่เผยว่าแม้จะเป็นฝ่าย Resistance ก็มีเอี่ยวกับการซื้อขายของตลาดมืดเช่นกันหรือประโยคที่โคตรจะจริงว่า "อย่าเลือกข้าง" เพราะมันทำให้ชีวิตลำบากสู้ไหลไปตามกระแสที่ได้เปรียบจะทำให้มีชีวิตรอดได้จะดีกว่า
ความแหวกแนวยังไม่หมดแค่นี้ครับยังมีเรื่องของการพลิกล็อคหักมุมไปมาแทบจะเดาไม่ได้เลย
การนำเสนอตัวละครที่ผิดคาดไม่ตรงตามที่หวัง
ประเด็นนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุที่ทำให้แฟน ๆ เกลียดภาคนี้กันเพราะก่อนที่ตัวหนังเข้าฉายหลายคนทีเดียวได้ตั้งทฤษฎีนู่นนี่นั่นเต็มไปหมดมันก็เลยทำให้เกิดความคาดหวังแบบอัตโนมัติในใจว่า "เฮ้ย กุไปดูแล้วต้องมันเป็นอย่างนี้ ๆ นะ" แต่กลับกลายเป็นว่า "อ้าว เฮ้ยไม่เหมือนอย่างที่คุยไว้นี่น่า"
กรณีตัวละครที่ทุกคนคาดก็น่าจะเป็น เรย์ นี่แหละครับที่มาพร้อมความคาดหวังว่าเธอจะเป็นหนึ่งในเชื้อสาย สกายวอลค์เกอร์ หรือไม่พลัง Force ที่แข็งแกร่งของเธอจะต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลนี้แน่ ๆ แต่ตัวหนังตบหน้าฉาดใหญ่ว่าเธอเป็นแค่ลูกคนเก็บขยะเท่านั้นแถมพ่อแม่ก็ยังขายเธอเพื่อเอาเงินมาซื้อเหล้าอีกต่างหากกลายเป็นคนธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษเลย
ทำให้ทฤษฎีทั้งหลายทั้งมวลใช้ไม่ได้กับหนังเรื่องนี้เป็นการตีความว่าถึงจะไม่ใช่คนพิเศษแต่ก็มีความสำคัญมีพลังได้เหมือนกันไม่จำเป็นต้องจำกัดที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งทำให้หลายคนเงิบกันไปถ้วนหน้าเมื่อเจอฉากนี้
สโนค ก็เป็นตัวละครที่หลายคนหวังว่าจะโชว์ของเพราะพี่แกบิ้วท์มาตั้งแต่ภาค 7 ว่ามันต้องโหดแต่ทว่าเขากลับตายง่าย ๆ ด้วยน้ำมือของ ไคโล เรน ผู้เป็นศิษย์แทนเสียอย่างงั้นแต่การตายของเขาส่วนตัวแล้วถือว่าเหมาะสมแล้วเพราะตัวสโนคก็ไม่ได้พูดผิดถึงจิตใจของ ไคโล ที่มีความมุ่งมั่นต่อด้านมืดอย่างแรงกล้าเพียงแต่เขาคาดไม่ถึงว่าความมืดในใจของ ไคโล จะดำมืดกว่าที่คิดไว้อีกทั้งการตายของ สโนค ก็เป็นการสำเร็จวิชาของพวกซิธเพราะฝ่ายมืดมีธรรมเนียมว่าลูกศิษย์จะต้องสังหารอาจารย์/ผู้ฝึกสอน
แต่ก็อย่างว่าล่ะครับเล่นฟันฉับซะแบบนั้นใครที่หวังไว้คงมีเคืองกันไม่น้อยเลย
พัฒนาการของตัวละคร
เรียกว่าเป็นอะไรที่ชัดเจนมาก ๆ ใน The Last Jedi ที่ทุกตัวละครมีการพัฒนาความคิดเห็นได้ชัดมาก ๆ มันเป็นข้อดีที่ทำให้เรารู้สึกสนใจตัวละครมากขึ้นมีมุมมองที่แตกต่างไม่ใช่ว่าโผล่มากี่ภาคก็ทำแบบเดิม ๆ ซ้ำ เดิม ๆ แบบนั้นคงน่าเบื่อไปและการพัฒนาตัวละครในภาคนี้จะมีสำคัญ ๆ ดังนี้ครับ
เรย์ - สาวน้อยผู้มีพลัง Force กล้าแกร่งที่เราจะได้เห็นว่าเธอเป็นคนใฝ่รู้ในทุก ๆ เรื่องแม้กระทั่งด้านมืดของพลังซึ่งเธอก็ยินดีเปิดใจรับแต่แทนที่เธอจะถูกครอบงำเหมือนคนอื่น ๆ เธอกลับเลือกใช้พลังด้านสว่างแทนและจากการฝึกสอนของ ลุค แม้เพียงระยะเวลาสั้น ๆ เราก็เห็นว่าเธอมีพรสวรรค์มากจนถึงขั้นยกก้อนหินให้ลอยในตอนที่กลุ่ม Resistance หาทางออกจากฐานทัพได้สบาย ๆ และดูเหมือนว่าเธอจะควบคุม Force ได้ดั่งใจเสียแล้วซิ
ไคโล เรน - หนุ่มหัวร้อนของเรื่องในภาคนี้เขาก็พบกับด้านสว่างในใจที่ต้องต่อสู้รวมถึงการสูญเสียบุคคลใกล้ตัวทำให้เขาเลือกที่จะเดินเข้าหาความมืดมากขึ้นมีความทะเยอทะยานที่น่าตกใจกับการล้มกระดานทั้งหมดแล้วเริ่มใหม่โดยมีตนเองเป็นผู้นำสูงสุดแทนทำให้เป็นตัวละครที่น่าสงสารที่สุดเพราะเขาเสียทั้งพ่อ (โซโล) , อาจารย์ (ลุค/สโนค) หรือแม้กระทั่งเรย์ที่อุตส่าห์ชักชวนให้มาด้วยกันยังโดนปฏิเสธ เรียกว่าน่าสนใจมากกับภาค 9 ว่าเขาจะนำกลุ่ม First Order ในทิศทางไหน
ลุค สกายวอลค์เกอร์ - เราจะได้เห็นอีกด้านที่น่าเวทนาของเขากับความรู้สึกผิดละอายใจที่เผลอเกือบจะฆ่า เบน เพียงเพราะสัมผัสถึงด้านมืดในตัวของเขา ความมีอีโก้ยึดถือยึดมั่นในกฏแห่งเจไดมากเกินไป ความขลาดไม่กล้าเผชิญหน้ากับความเป็นจริงจนเดือดร้อนให้อาจารย์ โยดา มาเคาะกระโหลกเตือนสติสั่งสอนบทเรียนสุดท้ายว่าผู้เป็นอาจารย์ที่แท้จริงต้องผลักดันศิษย์ให้ดีกว่าตนเองและจากคำพูดนั้นทำให้ ลุค ไม่ว่ายังไงยังเป็นเด็กน้อยดั่งเช่นโยดาพูดว่า Young Skywalker แต่เขาก็คิดได้และเลือกจะเผชิญหน้ากับความจริงด้วยการใช้โคตรพลัง Force ถ่ายร่างปลอมข้ามดวงดาวไปหา ไคโล เรน เพื่อขอโทษและท้ายที่สุดเขาก็จากไปกลายเป็นหนึ่งเดียวกับ Force ก็เรียกว่าเป็นบทสรุปของ ลุค ที่สมบูรณ์แบบมาก ๆ (ตอนเขาตายจะมีดวงอาทิตย์สองดวงลาลับไป เหมือนในภาค A New Hope ที่ลุคออกเดินทางก็จะมีดวงอาทิตย์สองดวงโผล่ขึ้นมาเหมือนกัน)
ฟิน - จากคนที่หนีทุกเรื่องทุกสิ่งเอาตัวรอดเป็นหลักในภาคนี้เขาเองก็ได้เรียนรู้ว่าถ้ามีคนที่สำคัญต่อตัวเรา (โรส) มันก็ควรค่าแก่การปกป้องและเสียสละ (แต่ก็ต้องยอมรับว่าใน Part ของฟินกับโรสดูยืดเยื้อมากเกินไปหน่อยจริง ๆ)
โพ ดาเมรอน - อีกตัวละครที่เห็นถึงการเติบโตมาก ๆ จากคนที่บู๊เดี่ยวบุกตะลุยด้วยความเสี่ยงดังที่เห็นในภาค 7 จนมาถึงภาค 8 เขาก็ยังบ้าระเบิดข้าวของจนกระทั่งภารกิจที่เขาสูญเสียลูกน้องมากมายจนเลอาได้พูดเตือนสติว่า ฮีโร่ที่ตายไปแล้วไม่มีประโยชน์อันใดและเหตุการณ์จากนายพล โฮลโด ที่เธอแสดงให้เขาเห็นว่าการเอาชนะศัตรูบางทีก็ต้องยอมอ่อนยอมถอยบ้างเพื่อรักษาชีวิตไว้สู้ในวันข้างหน้าแต่การทำให้ โพ คิดได้ก็ต้องแลกด้วยอีกหนึ่งชีวิตของ โฮลโด จากการสละชีพเพื่อให้กลุ่มของ โพ หนีไปได้
คำสอนแง่คิดที่ลึกซึ้ง
ส่วนสุดท้ายที่ The Last Jedi ดูแตกต่างก็คือแง่คิดสอนใจนี่แหละครับเห็นได้ชัดเจนก็คือการเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่และให้อิสระการเลือกเส้นทางชีวิตอย่างเรย์ที่เปิดรับด้านมืดเข้ามาแต่เธอก็เลือกใช้พลังด้านสว่าง
สะท้อนมุมมองของผู้เป็นอาจารย์ว่าบางครั้งก็ควรลดอีโก้ลงบ้างหรือให้อิสระไม่บีบบังคับเกินไปจนลูกศิษย์ต้องหาทางออกที่เลวร้ายที่สุดซึ่งมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ อนาคิน ที่ถูกกฏเจไดห้ามสารพัดจนเขาต้องเข้าสู่ด้านมืดกลายเป็นศัตรูร้ายแห่งจักรวาลหรือ ไคโล เรน เองก็ถูกบีบบังคับจากสโนคจนทำให้เขาเลือกทางออกด้วยการกำจัดทุกสิ่งทุกอย่างแทน
จากคำสอนของโยดาก็เหมือนกันแม้จะออกมาแค่แวบเดียวแต่ประโยคของโยดาก็สื่อว่าความรู้ที่แท้หาใช่ตำราแต่เป็นความผิดพลาดของผู้สอนต่างหากและเราก็ควรส่งต่อความผิดพลาดนั้นสู่ลูกศิษย์เพื่อเป็นประสบการณ์ได้เรียนรู้เพราะความรู้มันไม่มีที่สิ้นสุด
การรู้จักคนรู้หน้าไม่รู้ใจก็ด้วยชัดเจนมากกับโจรนักแกะรหัส DJ ที่หวังแค่ผลประโยชน์ส่วนตนหรือนายพล โฮลโด ที่ภายนอกหลอกคนดูว่าเป็นคนไม่สู้ขี้ขลาดแต่ความจริงเธอเป็นคนที่รอบคอบและกล้าหาญมากคนหนึ่ง
จริง ๆ ก็มีอีกหลายประเด็นที่อยากจะฝอยจะโม้ต่อแต่แค่นี้ก็คงจะยาวพอแล้วและการที่หลายคนเกลียดหนังเรื่องนี้ก็พอเข้าใจได้ครับเพราะตัวหนังมันฉีกทุกอย่างตบหน้าคนดูอย่างแรงแต่ขณะเดียวกันการเดินเรื่องแบบนี้ก็ให้ความแปลกใหม่คาดเดาไม่ถูกว่าภาคที่ 9 จะลงเอยอย่างไรก็สมแล้วที่ ลุค ได้พูดไว้ใน Trailer ว่า
"มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดหรอก!"
ที่มา -
https://www.facebook.com/myinnermovie
[คุยหลังโรง] - Star Wars: the Last Jedi ความแปลกใหม่ที่หลาย ๆ คนเกลียด
มหากาพย์ลิเกอวกาศ Star Wars: the Last Jedi ได้ฉายไปนานพอสมควรแล้วและก็ถึงเวลาที่จะมาฝอยรายละเอียดปลีกย่อยกันเสียทีว่าหนังเรื่องนี้ทำไมถึงมีกระแสทั้งคนชอบมาก ๆ และเกลียดมันมาก ๆ แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในเฟรนไชส์ชุด Star Wars เลย
สิ่งที่ทำให้ The Last Jedi ทำให้คนดูแตกเป็นสองฝั่งเท่าที่ผู้เขียนได้ดูและสังเกตในหนังก็คงไม่พ้นหลัก ๆ คือการเดินเรื่องที่แหกแหวกธรรมเนียมของ Star Wars การถ่ายทอดเรื่องราวที่มีแต่ความล้มเหลว การนำเสนอมุมมองตัวละครที่ผิดความคาดหวังจนหลายคนต้องเงิบ พัฒนาการของตัวละครหลักที่ไม่ค่อยพบนักในหนังชุดนี้และแง่คิดคำสอนที่ลึกซึ้งนุ่มลึกซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นความสดใหม่ที่เกิดขึ้นโดยจะขอจำแนกตามหัวข้อดังนี้ครับ
การเดินเรื่องถ่ายทอดเรื่องราวที่แหกแหวกแนว
แน่นอนกับ Star Wars ที่เรา ๆ รู้กันก็คือการต่อสู้ของเจได-ซิธ ตัวละครที่หลากหลายมาทำภารกิจนำเสนอมุมมองตัวละครเชิงฮีโร่จะทำอะไรก็สำเร็จมีคนรักมีคนชาบูยกใหญ่แต่กลับ The Last Jedi มันได้ตลบหลังคนดูจนหมดเริ่มตั้งแต่ภารกิจที่ล้มเหลวถึงจะสำเร็จแต่ก็ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียอย่างกรณีที่ โพ ขับ X-Wings ไล่ถล่มยานศัตรูได้สำเร็จแต่ก็ต้องแลกกับการเสียลูกน้องและยานทิ้งระเบิดจนเกือบหมดทำให้เขาโดนเลอาตำหนิแถมลดขั้นอีกต่างหาก
ยังไม่พอด้วยความดื้อรั้นของ โพ อีกนั่นแหละที่ถกเถียงกับ โฮลโด ผู้บัญชาการ(ชั่วคราว) ว่าไม่ยอมทำอะไรแถมยังกล่าวหาว่าเป็นคนขี้ขลาดถึงกับก่อกบฏซ้อนอีกแต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่ โฮลโด ทำคือการรักษาชีวิตลูกน้องมากที่สุดขณะที่ โพ ได้วางแผนให้ฟินกับโรสไปตามหานักถอดรหัสแต่คนที่ดูมาก็คงรู้นะครับว่าภารกิจลับของโพที่มอบหมายไปให้ว่ามันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง (หานักถอดรหัสตัวจริงไม่ได้แถมยังเจอโจรอวกาศ DJ หลอกเอาอีก)
ยังมีอีกมากที่ตัวหนังนำเสนอให้เห็นถึงความล้มเหลวกรณีของลุค สกายวอลค์เกอร์ เองก็ไม่พ้นที่ตัวหนังนำเสนอมุมมองของเจไดคนสุดท้ายที่รู้สึกผิดหวังโทษตัวเองจนต้องระเห็จมาอยู่บนเกาะคนเดียวทั้งที่คนภายนอกต่างยกย่องว่าเขาคือตำนานเป็นวีรบุรุษแต่หารู้ไม่ว่าภายในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความเศร้านั่งโทษตัวเองอยู่ร่ำไป
ซึ่งตรงนี้แหละครับที่ทำให้ Star Wars ภาคนี้ดูมีความแตกต่างมากเราไม่เคยรู้เลยว่า ลุค รู้สึกอย่างไรกันแน่หรือตัวละครอื่น ๆ ที่ถ่ายทอดอีกมุมอีกด้านให้เห็นแถมเป็นมุมที่เป็นความ Fail อีกต่างหาก
การเล่าเรื่องของด้านมืด-ด้านสว่างก็เช่นกันจากภาคก่อน ๆ จะแบ่งกั้นชัดเจนว่าสว่างก็คือสว่าง มืดก็คือมืด แต่ในภาคนี้ทั้งสองจะถูกผสานจนเป็นสีเทาไม่ขาวไม่ดำเกินไปจะเห็นว่าแทบทุกตัวละครเคยสัมผัสด้านมืดและด้านสว่างเช่น ลุค ที่เผลอถูกความกลัวครอบงำจนเกือบฆ่า เบน โซโล (ไคโล เรน) หรือ เรย์ ที่ถลำเข้าสู่ด้านมืดทันทีที่เธอฝึกควบคุมพลัง Force แถมยังใช้ด้านมืดที่อยู่ในเกาะหาคำตอบว่าตัวเธอคือใคร แม้กระทั่งตัว ไคโล เรน เองก็มีด้านสว่างในตัวแต่เขาเลือกที่จะเดินเข้าหาด้านมืดอย่างเต็มใจ
แต่ตัวละครที่แสดงออกชัดเจนถึงความไม่ขาวไม่ดำก็คือมหาโจรอวกาศ DJ ที่แสดงโดย Benicio Del Toro นี่แหละที่เผยว่าแม้จะเป็นฝ่าย Resistance ก็มีเอี่ยวกับการซื้อขายของตลาดมืดเช่นกันหรือประโยคที่โคตรจะจริงว่า "อย่าเลือกข้าง" เพราะมันทำให้ชีวิตลำบากสู้ไหลไปตามกระแสที่ได้เปรียบจะทำให้มีชีวิตรอดได้จะดีกว่า
ความแหวกแนวยังไม่หมดแค่นี้ครับยังมีเรื่องของการพลิกล็อคหักมุมไปมาแทบจะเดาไม่ได้เลย
การนำเสนอตัวละครที่ผิดคาดไม่ตรงตามที่หวัง
ประเด็นนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุที่ทำให้แฟน ๆ เกลียดภาคนี้กันเพราะก่อนที่ตัวหนังเข้าฉายหลายคนทีเดียวได้ตั้งทฤษฎีนู่นนี่นั่นเต็มไปหมดมันก็เลยทำให้เกิดความคาดหวังแบบอัตโนมัติในใจว่า "เฮ้ย กุไปดูแล้วต้องมันเป็นอย่างนี้ ๆ นะ" แต่กลับกลายเป็นว่า "อ้าว เฮ้ยไม่เหมือนอย่างที่คุยไว้นี่น่า"
กรณีตัวละครที่ทุกคนคาดก็น่าจะเป็น เรย์ นี่แหละครับที่มาพร้อมความคาดหวังว่าเธอจะเป็นหนึ่งในเชื้อสาย สกายวอลค์เกอร์ หรือไม่พลัง Force ที่แข็งแกร่งของเธอจะต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลนี้แน่ ๆ แต่ตัวหนังตบหน้าฉาดใหญ่ว่าเธอเป็นแค่ลูกคนเก็บขยะเท่านั้นแถมพ่อแม่ก็ยังขายเธอเพื่อเอาเงินมาซื้อเหล้าอีกต่างหากกลายเป็นคนธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษเลย
ทำให้ทฤษฎีทั้งหลายทั้งมวลใช้ไม่ได้กับหนังเรื่องนี้เป็นการตีความว่าถึงจะไม่ใช่คนพิเศษแต่ก็มีความสำคัญมีพลังได้เหมือนกันไม่จำเป็นต้องจำกัดที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งทำให้หลายคนเงิบกันไปถ้วนหน้าเมื่อเจอฉากนี้
สโนค ก็เป็นตัวละครที่หลายคนหวังว่าจะโชว์ของเพราะพี่แกบิ้วท์มาตั้งแต่ภาค 7 ว่ามันต้องโหดแต่ทว่าเขากลับตายง่าย ๆ ด้วยน้ำมือของ ไคโล เรน ผู้เป็นศิษย์แทนเสียอย่างงั้นแต่การตายของเขาส่วนตัวแล้วถือว่าเหมาะสมแล้วเพราะตัวสโนคก็ไม่ได้พูดผิดถึงจิตใจของ ไคโล ที่มีความมุ่งมั่นต่อด้านมืดอย่างแรงกล้าเพียงแต่เขาคาดไม่ถึงว่าความมืดในใจของ ไคโล จะดำมืดกว่าที่คิดไว้อีกทั้งการตายของ สโนค ก็เป็นการสำเร็จวิชาของพวกซิธเพราะฝ่ายมืดมีธรรมเนียมว่าลูกศิษย์จะต้องสังหารอาจารย์/ผู้ฝึกสอน
แต่ก็อย่างว่าล่ะครับเล่นฟันฉับซะแบบนั้นใครที่หวังไว้คงมีเคืองกันไม่น้อยเลย
พัฒนาการของตัวละคร
เรียกว่าเป็นอะไรที่ชัดเจนมาก ๆ ใน The Last Jedi ที่ทุกตัวละครมีการพัฒนาความคิดเห็นได้ชัดมาก ๆ มันเป็นข้อดีที่ทำให้เรารู้สึกสนใจตัวละครมากขึ้นมีมุมมองที่แตกต่างไม่ใช่ว่าโผล่มากี่ภาคก็ทำแบบเดิม ๆ ซ้ำ เดิม ๆ แบบนั้นคงน่าเบื่อไปและการพัฒนาตัวละครในภาคนี้จะมีสำคัญ ๆ ดังนี้ครับ
เรย์ - สาวน้อยผู้มีพลัง Force กล้าแกร่งที่เราจะได้เห็นว่าเธอเป็นคนใฝ่รู้ในทุก ๆ เรื่องแม้กระทั่งด้านมืดของพลังซึ่งเธอก็ยินดีเปิดใจรับแต่แทนที่เธอจะถูกครอบงำเหมือนคนอื่น ๆ เธอกลับเลือกใช้พลังด้านสว่างแทนและจากการฝึกสอนของ ลุค แม้เพียงระยะเวลาสั้น ๆ เราก็เห็นว่าเธอมีพรสวรรค์มากจนถึงขั้นยกก้อนหินให้ลอยในตอนที่กลุ่ม Resistance หาทางออกจากฐานทัพได้สบาย ๆ และดูเหมือนว่าเธอจะควบคุม Force ได้ดั่งใจเสียแล้วซิ
ไคโล เรน - หนุ่มหัวร้อนของเรื่องในภาคนี้เขาก็พบกับด้านสว่างในใจที่ต้องต่อสู้รวมถึงการสูญเสียบุคคลใกล้ตัวทำให้เขาเลือกที่จะเดินเข้าหาความมืดมากขึ้นมีความทะเยอทะยานที่น่าตกใจกับการล้มกระดานทั้งหมดแล้วเริ่มใหม่โดยมีตนเองเป็นผู้นำสูงสุดแทนทำให้เป็นตัวละครที่น่าสงสารที่สุดเพราะเขาเสียทั้งพ่อ (โซโล) , อาจารย์ (ลุค/สโนค) หรือแม้กระทั่งเรย์ที่อุตส่าห์ชักชวนให้มาด้วยกันยังโดนปฏิเสธ เรียกว่าน่าสนใจมากกับภาค 9 ว่าเขาจะนำกลุ่ม First Order ในทิศทางไหน
ลุค สกายวอลค์เกอร์ - เราจะได้เห็นอีกด้านที่น่าเวทนาของเขากับความรู้สึกผิดละอายใจที่เผลอเกือบจะฆ่า เบน เพียงเพราะสัมผัสถึงด้านมืดในตัวของเขา ความมีอีโก้ยึดถือยึดมั่นในกฏแห่งเจไดมากเกินไป ความขลาดไม่กล้าเผชิญหน้ากับความเป็นจริงจนเดือดร้อนให้อาจารย์ โยดา มาเคาะกระโหลกเตือนสติสั่งสอนบทเรียนสุดท้ายว่าผู้เป็นอาจารย์ที่แท้จริงต้องผลักดันศิษย์ให้ดีกว่าตนเองและจากคำพูดนั้นทำให้ ลุค ไม่ว่ายังไงยังเป็นเด็กน้อยดั่งเช่นโยดาพูดว่า Young Skywalker แต่เขาก็คิดได้และเลือกจะเผชิญหน้ากับความจริงด้วยการใช้โคตรพลัง Force ถ่ายร่างปลอมข้ามดวงดาวไปหา ไคโล เรน เพื่อขอโทษและท้ายที่สุดเขาก็จากไปกลายเป็นหนึ่งเดียวกับ Force ก็เรียกว่าเป็นบทสรุปของ ลุค ที่สมบูรณ์แบบมาก ๆ (ตอนเขาตายจะมีดวงอาทิตย์สองดวงลาลับไป เหมือนในภาค A New Hope ที่ลุคออกเดินทางก็จะมีดวงอาทิตย์สองดวงโผล่ขึ้นมาเหมือนกัน)
ฟิน - จากคนที่หนีทุกเรื่องทุกสิ่งเอาตัวรอดเป็นหลักในภาคนี้เขาเองก็ได้เรียนรู้ว่าถ้ามีคนที่สำคัญต่อตัวเรา (โรส) มันก็ควรค่าแก่การปกป้องและเสียสละ (แต่ก็ต้องยอมรับว่าใน Part ของฟินกับโรสดูยืดเยื้อมากเกินไปหน่อยจริง ๆ)
โพ ดาเมรอน - อีกตัวละครที่เห็นถึงการเติบโตมาก ๆ จากคนที่บู๊เดี่ยวบุกตะลุยด้วยความเสี่ยงดังที่เห็นในภาค 7 จนมาถึงภาค 8 เขาก็ยังบ้าระเบิดข้าวของจนกระทั่งภารกิจที่เขาสูญเสียลูกน้องมากมายจนเลอาได้พูดเตือนสติว่า ฮีโร่ที่ตายไปแล้วไม่มีประโยชน์อันใดและเหตุการณ์จากนายพล โฮลโด ที่เธอแสดงให้เขาเห็นว่าการเอาชนะศัตรูบางทีก็ต้องยอมอ่อนยอมถอยบ้างเพื่อรักษาชีวิตไว้สู้ในวันข้างหน้าแต่การทำให้ โพ คิดได้ก็ต้องแลกด้วยอีกหนึ่งชีวิตของ โฮลโด จากการสละชีพเพื่อให้กลุ่มของ โพ หนีไปได้
คำสอนแง่คิดที่ลึกซึ้ง
ส่วนสุดท้ายที่ The Last Jedi ดูแตกต่างก็คือแง่คิดสอนใจนี่แหละครับเห็นได้ชัดเจนก็คือการเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่และให้อิสระการเลือกเส้นทางชีวิตอย่างเรย์ที่เปิดรับด้านมืดเข้ามาแต่เธอก็เลือกใช้พลังด้านสว่าง
สะท้อนมุมมองของผู้เป็นอาจารย์ว่าบางครั้งก็ควรลดอีโก้ลงบ้างหรือให้อิสระไม่บีบบังคับเกินไปจนลูกศิษย์ต้องหาทางออกที่เลวร้ายที่สุดซึ่งมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ อนาคิน ที่ถูกกฏเจไดห้ามสารพัดจนเขาต้องเข้าสู่ด้านมืดกลายเป็นศัตรูร้ายแห่งจักรวาลหรือ ไคโล เรน เองก็ถูกบีบบังคับจากสโนคจนทำให้เขาเลือกทางออกด้วยการกำจัดทุกสิ่งทุกอย่างแทน
จากคำสอนของโยดาก็เหมือนกันแม้จะออกมาแค่แวบเดียวแต่ประโยคของโยดาก็สื่อว่าความรู้ที่แท้หาใช่ตำราแต่เป็นความผิดพลาดของผู้สอนต่างหากและเราก็ควรส่งต่อความผิดพลาดนั้นสู่ลูกศิษย์เพื่อเป็นประสบการณ์ได้เรียนรู้เพราะความรู้มันไม่มีที่สิ้นสุด
การรู้จักคนรู้หน้าไม่รู้ใจก็ด้วยชัดเจนมากกับโจรนักแกะรหัส DJ ที่หวังแค่ผลประโยชน์ส่วนตนหรือนายพล โฮลโด ที่ภายนอกหลอกคนดูว่าเป็นคนไม่สู้ขี้ขลาดแต่ความจริงเธอเป็นคนที่รอบคอบและกล้าหาญมากคนหนึ่ง
จริง ๆ ก็มีอีกหลายประเด็นที่อยากจะฝอยจะโม้ต่อแต่แค่นี้ก็คงจะยาวพอแล้วและการที่หลายคนเกลียดหนังเรื่องนี้ก็พอเข้าใจได้ครับเพราะตัวหนังมันฉีกทุกอย่างตบหน้าคนดูอย่างแรงแต่ขณะเดียวกันการเดินเรื่องแบบนี้ก็ให้ความแปลกใหม่คาดเดาไม่ถูกว่าภาคที่ 9 จะลงเอยอย่างไรก็สมแล้วที่ ลุค ได้พูดไว้ใน Trailer ว่า
"มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดหรอก!"
ที่มา - https://www.facebook.com/myinnermovie