ก่อนจะได้ไปดู Star Wars EP. VIII - The Last Jedi ก็สงสัยว่า " The Last Jedi " หมายถึงใครและอะไรกันแน่ ตอนแรกคิดว่าหมายถึง Luke Skywalker เพราะจากทั้งไตรภาคเก่าและ EP. VII ทุกคนล้วนบอกว่าลุคคือเจไดคนสุดท้าย
แต่หลังจากได้ดู + ลองอ่านที่หลาย ๆ คนวิเคราะห์กัน จึงเกิดความคิดออกมา 2 ทฤษฎี คือ
**ย้ำว่าเป็นแค่ความเห็นส่วนตัว อาจจะผิดหรือถูกก็ได้ เพราะตราบใดที่คนตั้งชื่อภาคไม่ได้ออกมาเฉลย คงไม่มีถูก/ผิด 100%**
**Spoil**
ทฤษฎีแรก
The Last Jedi ตั้งใจหลอกคนดูให้คิดว่าเป็นลุค ซึ่งก็ไม่ใช่คนดูเท่านั้น แต่บรรดาตัวละครในเรื่องทุกคนก็คิดว่าลุคเป็นเจไดคนสุดท้าย เลยต้องออกไปตามหากันใหญ่ แต่แท้จริงแล้ว ลุคไม่ใช่เจไดคนสุดท้ายเหมือนที่ทุกคนเชื่อกัน ลุคเองก็ได้บอกไคโล เรนตอนเกือบ ๆ จะจบเรื่องว่า เขาไม่ใช่คนสุดท้ายหรอก แล้วภาพก็ตัดไปที่เรย์ เหมือนจะสื่อว่าเรย์เป็นเจไดคนถัดไป <-- อันนี้ไคโลคิดเช่นเดียวกัน ถึงได้บอกว่าจะตามไปกำจัดหล่อน
ทฤษฎีสอง
ลุคเป็น The Last Jedi จริง ๆ คือเป็นคนสุดท้ายที่อยู่ใน "ลัทธิ" เจได ต่อจากนี้ไม่มีลัทธินี้อีกต่อไป ต้นไม้/คัมภีร์ที่มีมาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นก็ถูกเผาจนสิ้นซาก ลุคซึ่งถือเป็นผู้นับถือลัทธิคนสุดท้ายก็ตายไปแล้ว ลัทธิจึงถึงจุดจบ ไม่มีคำว่าเจไดอีกต่อไป เพราะเจไดสมควรสิ้นสุดลงเหมือนที่ลุคบอก
ทฤษฎีนี้อิงมาจากคำพูดและฉากต่าง ๆ ในเรื่อง คือ
(1) ตอนที่ลุคสอนเรย์ให้สัมผัสถึงพลัง แล้วบอกว่าพลังไม่ใช่ของใคร มันเป็นธรรมชาติ มีทุกที่ เจไดแค่เป็นคนที่สัมผัสพลังและนำมาใช้เฉย ๆ อันนี้ก็เอามาประกอบกับฉากตอนจบที่ไม้กวาดลอยมาหาเด็กที่สวมแหวนสัญลักษณ์ฝ่ายกบฏเอง เหมือนเป็นการสื่อว่า ทุกคนสามารถใช้พลังได้ ไม่ใช่เฉพาะเจได/ซิธเท่านั้น
(2) ลุคบอกกับเรย์ว่า เจไดนั่นแหละเป็นคนสร้างดาร์ธ เวเดอร์ขึ้นมาเอง และภายหลัง หลังจากโดนเรย์ด่าเรื่องพยายามฆ่าไคโล ลุคก็เหมือนบรรลุขึ้นมาได้ เลยไปพูดกับไคโลว่า "I fail you. I'm sorry." ตัวลุคเองก็รู้ว่า เพราะการที่ยึดถือในลัทธิเจได จะเอาแต่ด้านสว่าง ไม่ยอมรับด้านมืด พยายามกำจัดคนที่คิดว่าเต็มไปด้วยพลังมืด เป็นการบีบบังคับให้คน ๆ นั้นเข้าสู่ด้านมืด เพราะถ้าตอนนั้นพวกเจไดเปิดใจยอมสอนอนาคินในทางที่ถูกต้อง อนาคินก็จะไม่ถูกชักจูงเข้าด้านมืด หรือถ้าตอนที่ลุคสัมผัสถึงความมืดในใจเบน โซโล แต่ไม่พยายามฆ่า เบนคงไม่กลายเป็นไคโล เรน กลายเป็นว่าสาเหตุที่ทำให้คนกลายเป็นซิธ ก็เพราะพวกเจไดที่พยายามต่อต้านด้านมืดเป็นสุดโต่งเกินไป
ประกอบกับฉากที่โยดาบอกลุคว่า ต้องเลิกยึดติดกับของเก่า ๆ แล้วเขกกะโหลกสั่งสอนว่าต้องรู้จักมองสิ่งที่อยู่ข้างหน้า คิดว่าโยดาคงได้บทเรียนจากเรื่องอนาคินพอสมควร พอเห็นลุคจะซ้ำรอย (จริง ๆ ก็ซ้ำไปแล้ว) เลยต้องออกมาเตือนหน่อย
ซึ่งเจไดพวกนี้ต่างจากเรย์ตรงที่นางไม่ได้ปิดกั้นตัวเองจากด้านมืด แต่เข้าไปสัมผัสมันทั้งสองด้าน ทั้งการสว่างด้านมืด ด้านชีวิตและความตาย ฉากที่นางลองเพ่งพลังแล้วเห็นสภาพต่าง ๆ รอบเกาะที่เป็นด้านตรงข้ามกัน จุดนี้คิดว่าหนังต้องการจะสื่อว่า พลังต้องมีสมดุล (เหมือนที่สโนคบอกว่าเมื่อความมืดเข้มข้น จะปราฏแสงสว่างที่เข้มข้นมากพอกันขึ้นมา) เราควรจะเรียนรู้ทั้งสองด้าน เพราะถ้าเราได้รู้จักด้านมืด เราก็จะไม่ถูกชักชวนเข้าสู่ด้านมืดได้อย่างง่ายดายเหมือนเวเดอร์และไคโล
>> ฉากนี้ทำให้คิดถึงโลกปัจจุบัน ที่ประเทศที่ให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาอย่างกว้างขวางจะมีอัตราท้องโดยไม่พึงประสงค์และการติดต่อโรคน้อยกว่าประเทศที่ปิดกั้นเรื่องนี้มาก ๆ เพราะยิ่งห้ามก็ยิ่งทำให้อยากรู้อยากลอง แต่ถ้าให้ความรู้ไปเลย คนก็จะรู้จักป้องกัน
เพราะเหตุนี้ ลุคถึงตั้งใจว่าจะเป็นคนสุดท้าย เลยจะไปเผาทำลายต้นไม้กับคัมภีร์ทิ้ง แต่ใจนึงก็ยังยึดติด ตัดใจไม่ลง โยดาเลยต้องออกมาจัดการเอง
ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น เราเป็นแค่คนดูหนังธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ไม่ได้มีความรู้ระดับนักวิจารย์ หรือดูหนังมาเยอะจนเป็นเซียน ดู Star Wars มาครบทุกภาคแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเป็นแฟนพันธุ์แท้ (คือรู้แค่ในหนัง ไม่ได้หาอ่านเพิ่มเติม) อาจจะมีผิดพลาดหรือไม่ถูกต้องไปบ้าง ต้องขออภัยล่วงหน้ามา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
หากท่านใดมีความคิดเห็นเพิ่มเติม (ซึ่งเราเขื่อว่ามันต้องดีกว่าเราแน่ ๆ) ก็มาร่วมพูดคุยกันได้นะคะ
ความหมายของ " The Last Jedi " --- (ตามความเห็นส่วนตัว)
แต่หลังจากได้ดู + ลองอ่านที่หลาย ๆ คนวิเคราะห์กัน จึงเกิดความคิดออกมา 2 ทฤษฎี คือ
**Spoil**
ทฤษฎีแรก
The Last Jedi ตั้งใจหลอกคนดูให้คิดว่าเป็นลุค ซึ่งก็ไม่ใช่คนดูเท่านั้น แต่บรรดาตัวละครในเรื่องทุกคนก็คิดว่าลุคเป็นเจไดคนสุดท้าย เลยต้องออกไปตามหากันใหญ่ แต่แท้จริงแล้ว ลุคไม่ใช่เจไดคนสุดท้ายเหมือนที่ทุกคนเชื่อกัน ลุคเองก็ได้บอกไคโล เรนตอนเกือบ ๆ จะจบเรื่องว่า เขาไม่ใช่คนสุดท้ายหรอก แล้วภาพก็ตัดไปที่เรย์ เหมือนจะสื่อว่าเรย์เป็นเจไดคนถัดไป <-- อันนี้ไคโลคิดเช่นเดียวกัน ถึงได้บอกว่าจะตามไปกำจัดหล่อน
ทฤษฎีสอง
ลุคเป็น The Last Jedi จริง ๆ คือเป็นคนสุดท้ายที่อยู่ใน "ลัทธิ" เจได ต่อจากนี้ไม่มีลัทธินี้อีกต่อไป ต้นไม้/คัมภีร์ที่มีมาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นก็ถูกเผาจนสิ้นซาก ลุคซึ่งถือเป็นผู้นับถือลัทธิคนสุดท้ายก็ตายไปแล้ว ลัทธิจึงถึงจุดจบ ไม่มีคำว่าเจไดอีกต่อไป เพราะเจไดสมควรสิ้นสุดลงเหมือนที่ลุคบอก
ทฤษฎีนี้อิงมาจากคำพูดและฉากต่าง ๆ ในเรื่อง คือ
(1) ตอนที่ลุคสอนเรย์ให้สัมผัสถึงพลัง แล้วบอกว่าพลังไม่ใช่ของใคร มันเป็นธรรมชาติ มีทุกที่ เจไดแค่เป็นคนที่สัมผัสพลังและนำมาใช้เฉย ๆ อันนี้ก็เอามาประกอบกับฉากตอนจบที่ไม้กวาดลอยมาหาเด็กที่สวมแหวนสัญลักษณ์ฝ่ายกบฏเอง เหมือนเป็นการสื่อว่า ทุกคนสามารถใช้พลังได้ ไม่ใช่เฉพาะเจได/ซิธเท่านั้น
(2) ลุคบอกกับเรย์ว่า เจไดนั่นแหละเป็นคนสร้างดาร์ธ เวเดอร์ขึ้นมาเอง และภายหลัง หลังจากโดนเรย์ด่าเรื่องพยายามฆ่าไคโล ลุคก็เหมือนบรรลุขึ้นมาได้ เลยไปพูดกับไคโลว่า "I fail you. I'm sorry." ตัวลุคเองก็รู้ว่า เพราะการที่ยึดถือในลัทธิเจได จะเอาแต่ด้านสว่าง ไม่ยอมรับด้านมืด พยายามกำจัดคนที่คิดว่าเต็มไปด้วยพลังมืด เป็นการบีบบังคับให้คน ๆ นั้นเข้าสู่ด้านมืด เพราะถ้าตอนนั้นพวกเจไดเปิดใจยอมสอนอนาคินในทางที่ถูกต้อง อนาคินก็จะไม่ถูกชักจูงเข้าด้านมืด หรือถ้าตอนที่ลุคสัมผัสถึงความมืดในใจเบน โซโล แต่ไม่พยายามฆ่า เบนคงไม่กลายเป็นไคโล เรน กลายเป็นว่าสาเหตุที่ทำให้คนกลายเป็นซิธ ก็เพราะพวกเจไดที่พยายามต่อต้านด้านมืดเป็นสุดโต่งเกินไป
ประกอบกับฉากที่โยดาบอกลุคว่า ต้องเลิกยึดติดกับของเก่า ๆ แล้วเขกกะโหลกสั่งสอนว่าต้องรู้จักมองสิ่งที่อยู่ข้างหน้า คิดว่าโยดาคงได้บทเรียนจากเรื่องอนาคินพอสมควร พอเห็นลุคจะซ้ำรอย (จริง ๆ ก็ซ้ำไปแล้ว) เลยต้องออกมาเตือนหน่อย
ซึ่งเจไดพวกนี้ต่างจากเรย์ตรงที่นางไม่ได้ปิดกั้นตัวเองจากด้านมืด แต่เข้าไปสัมผัสมันทั้งสองด้าน ทั้งการสว่างด้านมืด ด้านชีวิตและความตาย ฉากที่นางลองเพ่งพลังแล้วเห็นสภาพต่าง ๆ รอบเกาะที่เป็นด้านตรงข้ามกัน จุดนี้คิดว่าหนังต้องการจะสื่อว่า พลังต้องมีสมดุล (เหมือนที่สโนคบอกว่าเมื่อความมืดเข้มข้น จะปราฏแสงสว่างที่เข้มข้นมากพอกันขึ้นมา) เราควรจะเรียนรู้ทั้งสองด้าน เพราะถ้าเราได้รู้จักด้านมืด เราก็จะไม่ถูกชักชวนเข้าสู่ด้านมืดได้อย่างง่ายดายเหมือนเวเดอร์และไคโล
>> ฉากนี้ทำให้คิดถึงโลกปัจจุบัน ที่ประเทศที่ให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาอย่างกว้างขวางจะมีอัตราท้องโดยไม่พึงประสงค์และการติดต่อโรคน้อยกว่าประเทศที่ปิดกั้นเรื่องนี้มาก ๆ เพราะยิ่งห้ามก็ยิ่งทำให้อยากรู้อยากลอง แต่ถ้าให้ความรู้ไปเลย คนก็จะรู้จักป้องกัน
เพราะเหตุนี้ ลุคถึงตั้งใจว่าจะเป็นคนสุดท้าย เลยจะไปเผาทำลายต้นไม้กับคัมภีร์ทิ้ง แต่ใจนึงก็ยังยึดติด ตัดใจไม่ลง โยดาเลยต้องออกมาจัดการเอง
ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น เราเป็นแค่คนดูหนังธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ไม่ได้มีความรู้ระดับนักวิจารย์ หรือดูหนังมาเยอะจนเป็นเซียน ดู Star Wars มาครบทุกภาคแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเป็นแฟนพันธุ์แท้ (คือรู้แค่ในหนัง ไม่ได้หาอ่านเพิ่มเติม) อาจจะมีผิดพลาดหรือไม่ถูกต้องไปบ้าง ต้องขออภัยล่วงหน้ามา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
หากท่านใดมีความคิดเห็นเพิ่มเติม (ซึ่งเราเขื่อว่ามันต้องดีกว่าเราแน่ ๆ) ก็มาร่วมพูดคุยกันได้นะคะ