สวัสดีชาวพันทิปทุกท่านอีกครั้ง กับการรีวิวภาพยนตร์โดยไม่ใช้คะแนนตัดสิน
ตั้งแต่จำความได้ Star wars เป็นภาพยนตร์ที่เราชอบตลอดมา ยกย่องในความคิดสร้างสรรค์และวิสัยทัศน์ของทีมงานที่สร้างโลกอนาคตและจักรวาลของตนเองให้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ ทั้งยังมีดาวร้ายตลอดกาลในใจของใครหลายคน ดาร์ธ เวเดอร์ ทำให้หนังมีแฟนบอยมหาศาล
ส่วนกับ star wars the force awaken ถ้าถามว่าเป็นหนังสนุกไหม ก็ขอตอบว่าสนุก แต่มีอะไรใหม่ไหมก็ไม่ค่อยมากจนน่าสนใจ กระทั่งเราเองยังลืมในเนื้อเรื่อง เหมือนสร้างมาให้เราหายคิดถึง แต่แค่นั้นตอนที่ดูเราก็มีความสุขแล้ว เชื่อว่าแฟนบอยหลายๆคนก็ดีใจที่มีภาคต่อให้ติดตาม
ใน star wars the last jedi ในตอนแรกแค่คิดว่าก็คงเป็นหนังดูเอาสนุกอีกเรื่อง แต่เมื่อดูจบก็พบว่านอกจากสนุกแล้วมันมีอะไรให้กลับมาคิดหลายอย่างมาก จึงขอแสดงความเห็น(หรือบ่น)ให้หลายๆท่านได้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความรู้สึกพูดคุยกัน
เนื้อหาของกระทู้รีวิวถัดจากนี้จะเป็นการสปอยล์ เหมาะสำหรับคนที่เคยดูภาพยนต์มาแล้ว
Review #5/2017
Star wars The last jedi
There’s always a conflict.
ทุกสรรพสิ่งมีความขัดแย้งอยู่เสมอ
[Spoil!!!]
การดำเนินเรื่องในภาคนี้ไม่ได้เป็นแค่หนังลิเกอวกาศ ธรรมะย่อมชนะอธรรมอะไรแบบนี้อีกแล้ว สิ่งที่ชัดเจนมากๆของ star wars ภาคนี้ในความคิดของเราคือ “ความขัดแย้ง”
ความขัดแย้งในการสู้รบ ผู้นำทุกคนต่างก็มีความคิด มีแผนของตัวเอง การสู้กับศัตรูไม่ได้ต้องใช้คุณสมบัติยอดนิยม เช่น ยิงปืนแม่น ขับเครื่องบินเก่ง หรือ นักสู้ที่เก่งที่สุด แข็งแกร่งที่สุด กล้าหาญที่สุดก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นฮีโร่เสมอไป ชอบฉากที่พุ่งชนยานด้วยความเร็วแสงมากๆ ทำออกมาได้ทั้งสวยงามและสะเทือนใจ
ความขัดแย้งในการเลือกข้าง ตอนที่ฟินน์และโรสพบนักถอดรหัส นักถอดรหัสได้บอกสิ่งที่ทำให้ฟินน์และเราเองก็หยุดคิดไปตามๆกัน ถ้าเกิดศึกครั้งนี้มันเป็นไปตามที่นักถอดรหัสบอก ถ้ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆแค่ว่าคนดีสู้กับคนไม่ดี ถ้าสงความจักรวาลนี้เป็นแค่เกมทางธุรกิจของพวกพ่อค้าหัวใส สร้างความขัดแย้งขึ้นมา เราควรจะเลือกข้างแล้วกลายเป็นหมากอีกตัวให้พวกนักธุรกิจที่กอบโกยผลประโยชน์จากสงครามจริงๆเหรอ
ความขัดแย้งในตัวละคร ที่ชอบมากที่สุด คือ ความขัดแย้งในตัวของลุค สกายวอล์คเกอร์ ตำนานที่ใครๆต่างยกย่อง ให้ความศรัทธา นับถือ แต่กลายเป็นว่าตำนานคนนี้ ที่คอยพร่ำสอนไม่ให้ใครเข้าสู่ด้านมืด ที่คอยสร้างบรรทัดฐานให้เหล่าเจได กลับกลายเป็นคนที่ถลำลงไปสู่ความมืดเสียเอง ความกลัวของเขาทำให้เขามีความคิดชั่ววูบที่จะฆ่า เบน โซโล เท่านั้นไม่พอ ตอนแรกที่ เรย์ ถามถึงเบน เขากลับเลือกปกปิดความผิดของตัวเองอีก ลุค สกายวอล์คเกอร์ในตอนนี้เป็นคนสีเทาๆ มีทั้งด้านดีและไม่ดีซึ่งมันก็เป็นเพียงเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ แต่ใครหลายคนก็กลับยกให้เขาเป็นตัวแทนฝ่ายสว่าง ว่าเขาดีที่สุด คิดอะไรไม่เคยผิด ไม่เคยพลาด น่าสงสัยว่าสมัยก่อนที่หนังไม่ได้กล่าวถึงตอนที่ ลุค บอกฮานและเลอา พ่อแม่ของเบน เขาปกปิดความผิดตัวเองด้วยหรือไม่ หากเขาปกปิดมาโดยตลอดก็ยิ่งน่าเห็นใจเบนมากๆ เพราะลุค มีผู้คนเลื่อมใส เป็นฮีโร่สงครามจักรวาล ทำให้คนเชื่อลุคมากกว่าเบนแน่นอน
ส่วนความขัดแย้งที่น่าสนใจที่สุด คือความขัดแย้งในเรย์และ ไคโล เรน
ส่วนของเรย์ หญิงสาวปริศนาที่มีพลังมากเกินทานทนจนแม้แต่ ลุค สกายวอล์คเกอร์ต้องหวาดกลัว เธอสงสัยในอดีตความเป็นมาของตนเอง ลึกๆในใจของเธอเชื่อมั่นในความรักและความดี เธอคิดถึงพ่อแม่ เธอคิดมาตลอดว่ามันต้องมีเหตุผลที่พ่อแม่ไม่อยู่กับเธอสิ และคงเป็นเหตุผลที่ดีเพียงแค่เธอยังไม่รู้ และด้านมืดของพลังก็รับรู้ได้ว่าเธอเฝ้าตามหาคำตอบ และชักชวนเธอเข้าไปค้นหาด้านมืด ฉากด้านมืดที่ทำออกมาได้เรียบง่าย แต่น่าค้นหา และน่าขนลุกไปในเวลาเดียวกัน แต่เมื่อเธอเข้าไปกลับไม่ค้นพบอะไร เมื่อลุครู้ก็โกรธไม่อยากให้ศิษย์ที่ตนเองฝึกหลงผิดเข้าหาด้านมืดอีก แต่ถ้าหากเรย์สามารถต้านทานมันได้ ถ้าเรย์เข้าสู่ด้านมืดแล้วเข้าใจในมัน รู้เท่าทันมัน นำมันมาใช้แต่ใช้ในทางที่ไม่ทำร้ายใคร น่าคิดว่าเธอจะกลายเป็นเจไดที่เก่งขนาดไหน กลับกัน ลุค เอง พร่ำบอกว่าจะละทิ้ง ไม่ให้ใครเข้าถึงพลังอีก จะจุดไฟเผากองหนังสือ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่กล้า และเสียดายอยากเข้าไปนำมันออกมาจากกองไฟ โยดาได้แต่คอยเตือนใจว่าหากมีหนังสือไปแต่ไม่ได้นำไปใช้หรือหากใช้หนังสือแล้วก็ยังมีคนเข้าสู่ด้านมืดอีก มันก็เป็นไปได้ว่าแบบเรียนหนังสือพวกนี้มันล้าสมัยไปแล้ว ต้องยอมรับว่าบางทีความรู้ของพวกเราเองก็ล้าสมัย มันถึงเวลาของคนรุ่นใหม่ที่เขาอาจไปไกลเกินกว่าข้อจำกัดของหนังสือแล้ว ตัวเราเองก็ล้าสมัยขึ้นทุกวัน ศิษย์นั้นต้องเก่งกว่าอาจารย์หากอยากให้วิชาเจไดคงอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป
ส่วนของไคโล เรน หรือ เบน โซโล จากที่เคยมองเป็นตัวละครวอนนาบีดาร์ธ เวเดอร์ ในภาคนี้กลับน่าสนใจมากๆ เป็นตัวละครที่เหมือนข้างในแตกสลาย แต่ต้องแสดงความแข็งแกร่งตลอดเวลา ตอนเรียนเป็นเจไดอาจารย์ก็มีในนิมิตพลังว่าเขาจะเข้าสู่ด้านมืด เป็นคนชั่วร้าย แต่ไม่เชื่อในตัวเขาเอง พ่อ แม่ เอง ก็ไม่เชื่อในตัวเขา ทั้งๆที่สามบุคคลสำคัญนี้ล้วนแล้วแต่เป็นตำนาน เป็นฮีโร่ของจักรวาลและในใจใครหลายคนทั้งนั้น แต่ไม่เคยคิดจะตามหาเขาและพยายามพาเขากลับมาจากทางที่เขาหลงไปเลย ลึกๆเขาเองก็โหยหาความรักและคิดถึงมันแต่มันทำให้เขาผิดหวังและรู้สึกอ่อนแอตลอดมา เขาผิดหวังจากคนที่ควรจะรักเขามากที่สุด
แต่เมื่อไคโร เรน เข้าสู่ด้านมืด เดินหน้าสู่หนทางแห่งซิธ หวังว่ามันจะช่วยรักษาความผิดหวังในใจ ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น แต่มันกลับไม่ช่วยอะไรเขาเลย เขาปลิดชีพพ่อตัวเอง มันควรจะทำให้รู้สึกว่าตัวเองใจแข็งกระด้าง แข็งแกร่ง และไม่ต้องการพ่อและครอบครัวเพื่อมาเติมเต็มความรัก ความหวังในชีวิตของเขาอีก แต่เปล่าเลย เขายิ่งรู้สึกอ้างว้างมากกว่าเดิม ยังคงมีความคิดโหยหาความรักเหมือนเดิม
ต่อมาเขาฆ่าสโน้ค แต่งตั้งตัวเองเป็นผู้นำสูงสุดและชักชวนให้เรย์เข้าร่วมกับเขา เขาให้เหตุผลในการชักชวนเรย์ว่า ในเมื่อทั้งหนทางแห่งเจไดและซิธ ไม่สามารถหาคำตอบให้ชีวิตตัวเราเองได้ ทำไมเราไม่ทำลายทิ้งเสีย แล้วเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ในทางของเราเอง
ทั้งหมดนี้เป็นความขัดแย้งจากหนังที่มักไม่พบในหนังภาคก่อนๆ ที่เป็นในลักษณะคนดีสู้กับคนร้าย คนดีชนะ นำความสงบสุขมาสู่จักรวาล ความคิดนี้ในสมัยก่อนอาจจะเป็นความคิดที่ดี ความคิดที่เท่ แต่พอมาเป็นในวันนี้มันก็เชยเสียแล้ว
ถ้าพูดในแง่การตลาด คนที่ทันดูสตาร์วอร์สตั้งแต่ episode IV เป็นต้นมา และติดตามมาถึงตอนนี้จะมีอายุประมาณเท่าไหร่? ในอนาคตเขาอาจจะยังติดตามก็จริง แต่นับจากนี้ไปแฟนๆ star wars จะไม่ได้มีแค่คนรุ่นพ่อรุ่นลุงเรากันอีกแล้ว จะเป็นคนรุ่นเรา รุ่นเด็กกว่าเราไปเรื่อยๆ การที่ star wars จะนำเสนอแง่มุมใหม่ๆจากเดิมจึงเป็นทางที่เลือกไม่ผิด เหมือนที่โยดาเปรยไว้กลายๆในหนังว่า ศิษย์ต้องเก่งกว่าอาจารย์ จากนี้ไป star wars จะเป็นเจนเนอเรชั่นใหม่ เลือดใหม่ ที่น่าสนใจกว่ายุคสมัยเก่า จึงจะสามารถทำให้ star wars ไปต่อได้ ไม่วนอยู่ในอ่างตำนานเดิมๆ
ถ้าจะให้พูดแบบเปรียบเทียบ คนที่เล่าเรื่อง star wars IV-VI ในยุคก่อนอาจเปรียบเสมือนเนิร์ดรุ่นเก๋าเริ่มเข้าสู่วัยชรา ความคิดที่ว่าเท่ว่าล้ำในยุคนั้น มันเอาท์ไปแล้วในยุคนี้ แต่จะให้นำเสนอในแบบแฟนตาซีเหมือนเด็กวัยรุ่นที่ยังไร้เดียงสาแบบภาค I-III ก็ไม่โดนใจ คนที่เล่าเรื่อง star wars ในปัจจุบันนี้ เปรียบเหมือนคนวัยทำงาน 30 ต้นๆ ที่ผ่านอะไรมาพอสมควร มีความคิดเป็นของตัวเอง และบอกเลยว่ามันเป็นความคิดที่โคตรเจ๋งเลย
ด้วยลักษณะความขัดแย้งนี้ของ star wars the last jedi ทำให้อนาคตภาคต่อนั้นน่าติดตามมาก มันไม่ใช่แค่ลุ้นแล้วว่าฝ่ายพระเอกจะชนะฝ่ายร้ายยังไง มันน่าสนใจว่า star wars ในอนาคตจะเป็นยังไง จากความคิดของ ไคโล เรน ที่ว่าเขาอยากจะจบสงครามเสีย กำจัดให้หมดทุกความขัดแย้งทั้งฝ่ายต่อต้านและฝ่ายปฐมภาคี ทั้งเจไดและซิธ ไม่ต้องศรัทธาใคร ไม่ต้องเกลียดชังใคร ไม่ต้องมีความดีสุดขั้วหรือความชั่วสุดขีด เข้ามาขีดเส้นแบ่งแยก สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับจักรวาลอาจไม่ใช่ความสงบสุข ความยุติธรรม แต่อาจจะเป็นความสมดุล ที่มีดี มีเสีย ปะปนกันไป
เป็นโลกใหม่ของจักรวาลที่น่าติดตามและบอกตามตรงว่าอยากเห็นโลก star wars ภาคต่อๆไป
จากความคิดนี้ของ ไคโล เรน เหลือเกิน
หากชอบการรีวิวแบบนี้และอยากเข้ามาแสดงความคิดเห็นร่วมกันในเฟซบุ๊คบ้าง กดติดตามจากเพจเราได้ จะได้สะดวกมากขึ้น
https://www.facebook.com/scenethisbefore
[Review ความรู้สึก] Star wars The last jedi : There’s always a conflict. ทุกสรรพสิ่งมีความขัดแย้งอยู่เสมอ
ตั้งแต่จำความได้ Star wars เป็นภาพยนตร์ที่เราชอบตลอดมา ยกย่องในความคิดสร้างสรรค์และวิสัยทัศน์ของทีมงานที่สร้างโลกอนาคตและจักรวาลของตนเองให้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ ทั้งยังมีดาวร้ายตลอดกาลในใจของใครหลายคน ดาร์ธ เวเดอร์ ทำให้หนังมีแฟนบอยมหาศาล
ส่วนกับ star wars the force awaken ถ้าถามว่าเป็นหนังสนุกไหม ก็ขอตอบว่าสนุก แต่มีอะไรใหม่ไหมก็ไม่ค่อยมากจนน่าสนใจ กระทั่งเราเองยังลืมในเนื้อเรื่อง เหมือนสร้างมาให้เราหายคิดถึง แต่แค่นั้นตอนที่ดูเราก็มีความสุขแล้ว เชื่อว่าแฟนบอยหลายๆคนก็ดีใจที่มีภาคต่อให้ติดตาม
ใน star wars the last jedi ในตอนแรกแค่คิดว่าก็คงเป็นหนังดูเอาสนุกอีกเรื่อง แต่เมื่อดูจบก็พบว่านอกจากสนุกแล้วมันมีอะไรให้กลับมาคิดหลายอย่างมาก จึงขอแสดงความเห็น(หรือบ่น)ให้หลายๆท่านได้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความรู้สึกพูดคุยกัน
เนื้อหาของกระทู้รีวิวถัดจากนี้จะเป็นการสปอยล์ เหมาะสำหรับคนที่เคยดูภาพยนต์มาแล้ว
Review #5/2017 Star wars The last jedi
There’s always a conflict.
ทุกสรรพสิ่งมีความขัดแย้งอยู่เสมอ
[Spoil!!!]
การดำเนินเรื่องในภาคนี้ไม่ได้เป็นแค่หนังลิเกอวกาศ ธรรมะย่อมชนะอธรรมอะไรแบบนี้อีกแล้ว สิ่งที่ชัดเจนมากๆของ star wars ภาคนี้ในความคิดของเราคือ “ความขัดแย้ง”
ความขัดแย้งในการสู้รบ ผู้นำทุกคนต่างก็มีความคิด มีแผนของตัวเอง การสู้กับศัตรูไม่ได้ต้องใช้คุณสมบัติยอดนิยม เช่น ยิงปืนแม่น ขับเครื่องบินเก่ง หรือ นักสู้ที่เก่งที่สุด แข็งแกร่งที่สุด กล้าหาญที่สุดก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นฮีโร่เสมอไป ชอบฉากที่พุ่งชนยานด้วยความเร็วแสงมากๆ ทำออกมาได้ทั้งสวยงามและสะเทือนใจ
ความขัดแย้งในการเลือกข้าง ตอนที่ฟินน์และโรสพบนักถอดรหัส นักถอดรหัสได้บอกสิ่งที่ทำให้ฟินน์และเราเองก็หยุดคิดไปตามๆกัน ถ้าเกิดศึกครั้งนี้มันเป็นไปตามที่นักถอดรหัสบอก ถ้ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆแค่ว่าคนดีสู้กับคนไม่ดี ถ้าสงความจักรวาลนี้เป็นแค่เกมทางธุรกิจของพวกพ่อค้าหัวใส สร้างความขัดแย้งขึ้นมา เราควรจะเลือกข้างแล้วกลายเป็นหมากอีกตัวให้พวกนักธุรกิจที่กอบโกยผลประโยชน์จากสงครามจริงๆเหรอ
ความขัดแย้งในตัวละคร ที่ชอบมากที่สุด คือ ความขัดแย้งในตัวของลุค สกายวอล์คเกอร์ ตำนานที่ใครๆต่างยกย่อง ให้ความศรัทธา นับถือ แต่กลายเป็นว่าตำนานคนนี้ ที่คอยพร่ำสอนไม่ให้ใครเข้าสู่ด้านมืด ที่คอยสร้างบรรทัดฐานให้เหล่าเจได กลับกลายเป็นคนที่ถลำลงไปสู่ความมืดเสียเอง ความกลัวของเขาทำให้เขามีความคิดชั่ววูบที่จะฆ่า เบน โซโล เท่านั้นไม่พอ ตอนแรกที่ เรย์ ถามถึงเบน เขากลับเลือกปกปิดความผิดของตัวเองอีก ลุค สกายวอล์คเกอร์ในตอนนี้เป็นคนสีเทาๆ มีทั้งด้านดีและไม่ดีซึ่งมันก็เป็นเพียงเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ แต่ใครหลายคนก็กลับยกให้เขาเป็นตัวแทนฝ่ายสว่าง ว่าเขาดีที่สุด คิดอะไรไม่เคยผิด ไม่เคยพลาด น่าสงสัยว่าสมัยก่อนที่หนังไม่ได้กล่าวถึงตอนที่ ลุค บอกฮานและเลอา พ่อแม่ของเบน เขาปกปิดความผิดตัวเองด้วยหรือไม่ หากเขาปกปิดมาโดยตลอดก็ยิ่งน่าเห็นใจเบนมากๆ เพราะลุค มีผู้คนเลื่อมใส เป็นฮีโร่สงครามจักรวาล ทำให้คนเชื่อลุคมากกว่าเบนแน่นอน
ส่วนความขัดแย้งที่น่าสนใจที่สุด คือความขัดแย้งในเรย์และ ไคโล เรน
ส่วนของเรย์ หญิงสาวปริศนาที่มีพลังมากเกินทานทนจนแม้แต่ ลุค สกายวอล์คเกอร์ต้องหวาดกลัว เธอสงสัยในอดีตความเป็นมาของตนเอง ลึกๆในใจของเธอเชื่อมั่นในความรักและความดี เธอคิดถึงพ่อแม่ เธอคิดมาตลอดว่ามันต้องมีเหตุผลที่พ่อแม่ไม่อยู่กับเธอสิ และคงเป็นเหตุผลที่ดีเพียงแค่เธอยังไม่รู้ และด้านมืดของพลังก็รับรู้ได้ว่าเธอเฝ้าตามหาคำตอบ และชักชวนเธอเข้าไปค้นหาด้านมืด ฉากด้านมืดที่ทำออกมาได้เรียบง่าย แต่น่าค้นหา และน่าขนลุกไปในเวลาเดียวกัน แต่เมื่อเธอเข้าไปกลับไม่ค้นพบอะไร เมื่อลุครู้ก็โกรธไม่อยากให้ศิษย์ที่ตนเองฝึกหลงผิดเข้าหาด้านมืดอีก แต่ถ้าหากเรย์สามารถต้านทานมันได้ ถ้าเรย์เข้าสู่ด้านมืดแล้วเข้าใจในมัน รู้เท่าทันมัน นำมันมาใช้แต่ใช้ในทางที่ไม่ทำร้ายใคร น่าคิดว่าเธอจะกลายเป็นเจไดที่เก่งขนาดไหน กลับกัน ลุค เอง พร่ำบอกว่าจะละทิ้ง ไม่ให้ใครเข้าถึงพลังอีก จะจุดไฟเผากองหนังสือ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่กล้า และเสียดายอยากเข้าไปนำมันออกมาจากกองไฟ โยดาได้แต่คอยเตือนใจว่าหากมีหนังสือไปแต่ไม่ได้นำไปใช้หรือหากใช้หนังสือแล้วก็ยังมีคนเข้าสู่ด้านมืดอีก มันก็เป็นไปได้ว่าแบบเรียนหนังสือพวกนี้มันล้าสมัยไปแล้ว ต้องยอมรับว่าบางทีความรู้ของพวกเราเองก็ล้าสมัย มันถึงเวลาของคนรุ่นใหม่ที่เขาอาจไปไกลเกินกว่าข้อจำกัดของหนังสือแล้ว ตัวเราเองก็ล้าสมัยขึ้นทุกวัน ศิษย์นั้นต้องเก่งกว่าอาจารย์หากอยากให้วิชาเจไดคงอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป
ส่วนของไคโล เรน หรือ เบน โซโล จากที่เคยมองเป็นตัวละครวอนนาบีดาร์ธ เวเดอร์ ในภาคนี้กลับน่าสนใจมากๆ เป็นตัวละครที่เหมือนข้างในแตกสลาย แต่ต้องแสดงความแข็งแกร่งตลอดเวลา ตอนเรียนเป็นเจไดอาจารย์ก็มีในนิมิตพลังว่าเขาจะเข้าสู่ด้านมืด เป็นคนชั่วร้าย แต่ไม่เชื่อในตัวเขาเอง พ่อ แม่ เอง ก็ไม่เชื่อในตัวเขา ทั้งๆที่สามบุคคลสำคัญนี้ล้วนแล้วแต่เป็นตำนาน เป็นฮีโร่ของจักรวาลและในใจใครหลายคนทั้งนั้น แต่ไม่เคยคิดจะตามหาเขาและพยายามพาเขากลับมาจากทางที่เขาหลงไปเลย ลึกๆเขาเองก็โหยหาความรักและคิดถึงมันแต่มันทำให้เขาผิดหวังและรู้สึกอ่อนแอตลอดมา เขาผิดหวังจากคนที่ควรจะรักเขามากที่สุด
แต่เมื่อไคโร เรน เข้าสู่ด้านมืด เดินหน้าสู่หนทางแห่งซิธ หวังว่ามันจะช่วยรักษาความผิดหวังในใจ ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น แต่มันกลับไม่ช่วยอะไรเขาเลย เขาปลิดชีพพ่อตัวเอง มันควรจะทำให้รู้สึกว่าตัวเองใจแข็งกระด้าง แข็งแกร่ง และไม่ต้องการพ่อและครอบครัวเพื่อมาเติมเต็มความรัก ความหวังในชีวิตของเขาอีก แต่เปล่าเลย เขายิ่งรู้สึกอ้างว้างมากกว่าเดิม ยังคงมีความคิดโหยหาความรักเหมือนเดิม
ต่อมาเขาฆ่าสโน้ค แต่งตั้งตัวเองเป็นผู้นำสูงสุดและชักชวนให้เรย์เข้าร่วมกับเขา เขาให้เหตุผลในการชักชวนเรย์ว่า ในเมื่อทั้งหนทางแห่งเจไดและซิธ ไม่สามารถหาคำตอบให้ชีวิตตัวเราเองได้ ทำไมเราไม่ทำลายทิ้งเสีย แล้วเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ในทางของเราเอง
ทั้งหมดนี้เป็นความขัดแย้งจากหนังที่มักไม่พบในหนังภาคก่อนๆ ที่เป็นในลักษณะคนดีสู้กับคนร้าย คนดีชนะ นำความสงบสุขมาสู่จักรวาล ความคิดนี้ในสมัยก่อนอาจจะเป็นความคิดที่ดี ความคิดที่เท่ แต่พอมาเป็นในวันนี้มันก็เชยเสียแล้ว
ถ้าพูดในแง่การตลาด คนที่ทันดูสตาร์วอร์สตั้งแต่ episode IV เป็นต้นมา และติดตามมาถึงตอนนี้จะมีอายุประมาณเท่าไหร่? ในอนาคตเขาอาจจะยังติดตามก็จริง แต่นับจากนี้ไปแฟนๆ star wars จะไม่ได้มีแค่คนรุ่นพ่อรุ่นลุงเรากันอีกแล้ว จะเป็นคนรุ่นเรา รุ่นเด็กกว่าเราไปเรื่อยๆ การที่ star wars จะนำเสนอแง่มุมใหม่ๆจากเดิมจึงเป็นทางที่เลือกไม่ผิด เหมือนที่โยดาเปรยไว้กลายๆในหนังว่า ศิษย์ต้องเก่งกว่าอาจารย์ จากนี้ไป star wars จะเป็นเจนเนอเรชั่นใหม่ เลือดใหม่ ที่น่าสนใจกว่ายุคสมัยเก่า จึงจะสามารถทำให้ star wars ไปต่อได้ ไม่วนอยู่ในอ่างตำนานเดิมๆ
ถ้าจะให้พูดแบบเปรียบเทียบ คนที่เล่าเรื่อง star wars IV-VI ในยุคก่อนอาจเปรียบเสมือนเนิร์ดรุ่นเก๋าเริ่มเข้าสู่วัยชรา ความคิดที่ว่าเท่ว่าล้ำในยุคนั้น มันเอาท์ไปแล้วในยุคนี้ แต่จะให้นำเสนอในแบบแฟนตาซีเหมือนเด็กวัยรุ่นที่ยังไร้เดียงสาแบบภาค I-III ก็ไม่โดนใจ คนที่เล่าเรื่อง star wars ในปัจจุบันนี้ เปรียบเหมือนคนวัยทำงาน 30 ต้นๆ ที่ผ่านอะไรมาพอสมควร มีความคิดเป็นของตัวเอง และบอกเลยว่ามันเป็นความคิดที่โคตรเจ๋งเลย
ด้วยลักษณะความขัดแย้งนี้ของ star wars the last jedi ทำให้อนาคตภาคต่อนั้นน่าติดตามมาก มันไม่ใช่แค่ลุ้นแล้วว่าฝ่ายพระเอกจะชนะฝ่ายร้ายยังไง มันน่าสนใจว่า star wars ในอนาคตจะเป็นยังไง จากความคิดของ ไคโล เรน ที่ว่าเขาอยากจะจบสงครามเสีย กำจัดให้หมดทุกความขัดแย้งทั้งฝ่ายต่อต้านและฝ่ายปฐมภาคี ทั้งเจไดและซิธ ไม่ต้องศรัทธาใคร ไม่ต้องเกลียดชังใคร ไม่ต้องมีความดีสุดขั้วหรือความชั่วสุดขีด เข้ามาขีดเส้นแบ่งแยก สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับจักรวาลอาจไม่ใช่ความสงบสุข ความยุติธรรม แต่อาจจะเป็นความสมดุล ที่มีดี มีเสีย ปะปนกันไป
เป็นโลกใหม่ของจักรวาลที่น่าติดตามและบอกตามตรงว่าอยากเห็นโลก star wars ภาคต่อๆไป
จากความคิดนี้ของ ไคโล เรน เหลือเกิน
หากชอบการรีวิวแบบนี้และอยากเข้ามาแสดงความคิดเห็นร่วมกันในเฟซบุ๊คบ้าง กดติดตามจากเพจเราได้ จะได้สะดวกมากขึ้น
https://www.facebook.com/scenethisbefore