เปลวพิศวาส (บทที่ 1) โดย มานัส

บทที่ 1

ลมหายใจนี่สำคัญนัก!


กำหนดเข้า แล้วค่อยๆผ่อนออกไปตามจังหวะ

เมื่อก่อนยากเพราะเขาไม่ชินที่จะต้องทน ไม่มีความอดทน และมองว่าเป็นการเสียเวลา

‘จะหายใจก็สูดเข้าไปเลยชักช้าทำไม’

เมื่อทนไม่ไหวเขาก็หายใจปรกติไม่สนใจคนรอบข้าง

ไม่สนแม้เมื่อลุกขึ้นเดินออกไปจากกลุ่มคนนับสิบที่นั่งเป็นระเบียบ…กำหนดลมหายใจเข้าออก

‘แกอยู่ของแกไปนะฉันกลับก่อน พรุ่งนี้ค่อยมารับ’

เขาเคยบอกกับเพื่อนที่ชักชวนให้มานั่งสมาธิ…สงบสติอารมณ์

สติไม่สงบด้วยหลายเรื่องที่ต้องคิด

อารมณ์ไม่สงบเพราะหลายเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจ

ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว

เขารู้จักตัวเองดีพอมักครุ่นคิด โกรธ รำคาญ แต่ไม่ค่อยโมโหโกรธาถ้าโมโหก็จะอารมณ์ร้ายไม่สนใครหรืออะไรทั้งนั้น

ทว่าในเวลานี้การหายใจของเขาช้า…สงบ

ทุกลมหายใจมีค่านักพอๆ กับการขยับร่าง กระตุกได้ในตอนนี้แค่ปลายนิ้ว

“คนเจ็บพ้นขีดอันตรายแล้วค่ะ”เสียงใครสักคนดังเข้ามา “แต่ยังไม่รู้สึกตัว”

ใครว่าไม่รู้สึกตัว…เขาพอรู้หรอกแต่ไม่มีแรงรับรู้อะไรเสียมากกว่า

สติที่มาพร้อมกับอาการเพ้อที่ผ่อนลดน้อยจนหายไปและอาการทางกายพลันดีขึ้นตามลำดับอย่างรวดเร็วในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน จนเข้าวันที่สามเขาก็พอพยุงตัวขึ้นนั่งสนทนากับหมอและพยาบาล

“คุณโชคดี กระสุนปอดทะลุอีกนัดเฉียดหัวใจ แต่ฟื้นตัวเร็วมาก” คุณหมอเจ้าของไข้ไม่ใช่คนแรกที่ปรารภเช่นนี้ คนไข้แทบไม่แสดงอาการเจ็บปวดแสนสาหัสอย่างที่ควรเป็น

จะเรียกว่าโชคดีก็คงไม่ผิดจะบอกว่าปาฏิหาริย์ก็น่าจะใช่

“ผมจะโชคดีได้ยังไงพี่ชายกับพี่สะใภ้ของผม…” ถ้าจะเจ็บ ก็คงเจ็บด้วยความจริงนี้

สองชีวิตที่ต้องมี…ใครชดใช้

ความสูญเสียอย่างที่ไม่ควรให้อภัยใคร…ที่สามารถสั่งฆ่าผู้อื่นได้อย่างเลือดเย็น พรากชีวิต พรากความรักก่อความสูญเสีย โศกเศร้า

ในใจของตุลย์ตอนนี้คิดถึงผู้เป็นมารดา

เพราะไหนจะอาการของเขาแล้วยัง…พี่เตชน์และพี่ตุ๊กตา

“ครอบครัวคุณคงยุ่งอยู่กับงานของพี่ชายพี่สะใภ้คุณนะคะจากต่างจังหวัดเข้ามากรุงเทพฯ คงลำบาก นี่สวดเป็นวันที่สองแล้วยังดีที่มีผู้หญิงคนหนึ่งมาจัดการให้ทุกอย่าง” พยาบาลที่ยืนเยื้องด้านหลังเปรยอย่างเห็นใจ

“ผู้หญิง”คนเจ็บขมวดคิ้วงุนงง…ใคร

“เธอเป็นเจ้าของไข้คุณรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างตั้งแต่ย้ายคุณเข้ากรุงเทพ ค่ารักษา ค่าห้อง”

“ชื่ออะไร”

“เธอไม่ให้บอกชื่อค่ะ”

“มีอย่างนี้ด้วยเหรอ”คราวนี้นายแพทย์สงสัย เพราะใครที่จะออกค่ารักษาพยาบาลให้อีกคนโดยไม่ให้อีกฝ่ายรับรู้

ค่ารักษาค่าห้องวีไอพี ย้ายจากโรงพยาบาลเล็กๆ ในต่างจังหวัด มาที่โรงพยาบาลเอกชนอันดับต้นๆของประเทศย่อมไม่ต่ำกว่าแสนบาท

“ตัวสูงหน่อยๆผิวขาวๆ สวยๆ” คนเจ็บใคร่รู้…หรือว่าจะเป็นมัทนา

“ไม่ค่ะคนนี้ไม่สูงมาก ประมาณร้อยหกสิบกว่าๆ ผิวนวลผ่อง อมสองสีแปลกๆ แต่สวยนะคะ”

“อะไรคุ๊ณอมสองสีแปลกๆ”

“ก็แปลกน่ะสิคะอาจารย์”พยาบาลพยักหน้ายืนยันกับหมอเจ้าของไข้ “ผิวพรรณดีละเอียดแต่จะว่าขาวนวลก็ไม่ขาวสักทีเดียว จะว่าสองสีก็ไม่สองสีซะทีเดียว จะว่าผ่อนอำพันก็ได้เสียงเหมือนดนตรี แต่ชอบกระชากเสียงถือตัวยังไงไม่รู้”

“แล้วเขาย้ายคุณตุลย์มาที่นี่ได้ยังไงต้องเป็นญาตินี่”

“หนูก็ไม่รู้ค่ะอาจารย์แต่ได้ยินว่าเขาจ่ายเป็นเงินสดมัดจำล่วงหน้าสองแสน สั่งการทุกอย่างแถมมีผู้ติดตามแต่งกายคล้ายๆ ทหารหรือตำรวจ โรงพยาบาลโน้นเลยยอมให้ย้ายและเราก็รับคนเจ็บไว้”

“น่าจะเป็นญาติคุณนะครับเงินขนาดนี้เล่นจ่ายไว้ก่อน คนอื่น ใครเขาจะทำ” คุณหมอหันมาทางคนไข้

แม่คงยุ่งกับเรื่องพี่เตชน์และพี่ตุ๊กตาหรือจะเป็นพี่รินที่เข้ามาดูแลเรื่องอาการของเขา คนเจ็บคิด และขอโทรฯ คุยกับญาติผู้พี่ที่เขาสนิทเหมือนพี่สาวแท้ๆ

พี่ริน หรือริรินดาก็วุ่นช่วยงานของพี่ชายและพี่สะใภ้ของเขา ไม่รู้เรื่องการย้ายโรงพยาบาล

“พี่ก็คิดว่าคุณน้าเป็นคนสั่งให้เอาตุลย์เข้าไปรักษาที่กรุงเทพฯตายจริงไม่มีใครรู้เรื่อง แล้วตุลย์ไปได้ยังไง เจ้าหน้าที่ปล่อยไปได้ไงนะเนี่ยแล้วใครออกค่าใช้จ่ายให้ขนาดนั้น” เสียงเป็นห่วง วิตกกังวล

“เอางี้นะพี่ถ้าแม่ถามเรื่องการย้ายผมเข้ากรุงเทพฯ พี่ก็บอกไปว่าพี่เป็นคนจัดการผมไม่อยากให้แม่เป็นห่วง” ตุลย์ตัดสินใจนึกถึงผู้เป็นมารดาที่คงวุ่นและกำลังโศกเศร้ากับการตายของพี่ชายเขา“ส่วนเรื่องใครอะไรยังไง เราก็คอยดูกันไปดีกว่า”

คนเจ็บวางสายจากญาติผู้พี่แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงหนาแสนสบายของห้องพิเศษ เขาจมกับความคิดว่าใครมากกว่าจะจมกับความเจ็บของบาดแผล

เจ็บหรือ…ก็ไม่แล้วนะแค่ยังรู้สึกติดๆ ขัดๆ นิดหน่อย

“ว่าแต่คุณไม่ปวดแผลเลยเหรอครับ”

“ไม่”ตุลย์ส่ายหน้า “แค่เพลียๆ แล้วก็คันตรงที่มีอะไรมาแปะเท่านั้นจะเจ็บก็อีเข็มนี่แหละครับ” เขาหัวเราะเบาๆ สีหน้ามีเคล้าอิดโรยแต่ไม่ได้ขาวซีดไร้ชีวิตและลมหายใจ “นี่ผมจะออกจากโรงพยาบาลไปได้เมื่อไหร่ยังมีเรื่องงานศพพี่ชายและพี่สะใภ้ผมอีก คืนนี้ผมไปได้ไหม” คำแต่ละคำกลั่นออกมาแสนลำบาก

“รออีกสักวันดีกว่าครับต่อให้คุณหายเร็วแค่ไหน แต่ระยะเวลาแค่สามวัน ไม่มีคนที่โดนยิงทะลุปอด เฉียดหัวใจคนไหนจะฟื้นตัวเร็วนะครับ กำลังใจคุณอาจจะดีทำให้คุณฟื้นตัวเร็วมากแต่อวัยวะภายในมันไม่ฟื้นรวดเร็วขนาดนั้น”

คุณหมอออกความเห็นเช่นนั้นแม้ว่าจากประสบการณ์แล้วต้องยอมรับว่าคนไข้รายนี้เรียกว่าปาฏิหาริย์เลยก็ไม่ผิด

“สงสารแกนะพี่โดนฆ่า แต่ตัวเองรอดมาได้ แถมยังเป็นผู้ต้องสงสัยจ้างวานอีก”พยาบาลเปรยเมื่อทั้งคู่ตรวจเยี่ยมอาการคนเจ็บแล้วก็ออกมาข้างนอกห้องพักพิเศษ

“ถ้าจ้างมือปืนมาฆ่าพี่แล้วยิงตัวเองแล้วมือปืนยิงทะลุปอดให้เฉียดตายแบบนี้ ผมคงต้องจ้างคนไปยิงมือปืนพวกนั้น”คุณหมอส่ายหน้า “ใครมันคิด”

“เห็นข่าวว่าตำรวจตั้งข้อสงสัยประเด็นนี้ค่ะ”

“เท่าที่ผมเคยเห็นคนที่โดนยิงแบบนี้ เสียเลือดมาก และใช้เวลากว่าจะถึงมือแพทย์นานขนาดนี้ ไม่เคยมีใครรอดสักคน ผมอยากรู้นักว่าคุณตุลย์แกห้อยพระอะไรแถมมือยิงโดนจับได้ครบทุกคนในที่เกิดเหตุ”

“จับได้แต่มีอาการบ้านี่ล่ะสิคะ”

“ต้องถือว่ามันฉลาดที่แกล้งบ้า”




งานสวดพระอภิธรรมศพเป็นคืนที่สี่แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยังคงดังให้ได้ยินรอบๆ ศาลาภายในวัดของตัวอำเภอ แม้ว่าบรรดาคนพูดจะลดให้เหลือเพียงเสียงกระซิบ

“เห็นเขาว่าไอ้สามคนที่ลงมือกลายเป็นบ้าเลยไม่รู้ว่ายังไง มันทำเองหรือใครจ้าง”

“ตำรวจสงสัยตุลย์อยู่นี่”

“พี่น้องรักกันดีจะฆ่ากันทำไม”

“เรื่องเงินทองไม่เข้าใครออกใครตุลย์มีปัญหาเรื่องงาน เรื่องเงิน เตชน์กับเมียตายไป สมบัติก็เป็นของตุลย์”

“แม่เขาก็ยังอยู่”ใครบางคนค้าน มองไปยังสตรีวัยเกือบเจ็ดสิบที่ต้อนรับแขกในงานด้วยอาการเศร้าโศก

“เหลือลูกคนเดียวของแม่ก็เหมือนของลูก”

“สงสารแต่คุณจงกลเสียลูกชายคนโต ลูกคนเล็กก็อาการล่อแล่ เป็นตายเท่ากัน”

“ถ้ายังไม่ตายก็ชุบมือเปิกฮุบเทวนิรมิตของพี่ไป ถ้าตาย…แม่ก็รับไปแล้วให้ญาติพี่น้องช่วยดูแล”

พี่น้องของจงกลยังมีเพียงแต่ไม่มีใครเข้ามาเกี่ยวข้องกับฟาร์มที่ลูกชายคนโตและลูกสะใภ้บริหารแม้แต่ตุลย์ยังไม่ยุ่ง

ใครอื่นที่เคยอยากจะยุ่งเพราะ…ส่วนแบ่งอันงดงามก็ทำไม่ได้ ทำได้แต่ของส่วนที่เป็นการเช่าที่กับ…กงสี

“เครือเทวนิรมิตมีมูลค่าตั้งหลายร้อยล้าน”

“นั่นไงล่ะเงินทองมันข้นกว่าสายเลือด”

“มันก็จริง!”เสียงกระชากจากด้านหลังทำให้ทั้งกลุ่มหันไป

สตรีผู้นี้ร่างระหงผมนวลเปล่งอำพันสว่างขับด้วยชุดไทยจิตรดาสีดำทำจากไหมแท้ใบหน้าผ่องไม่ต่างจากพระจันทร์วันเพ็ญ แต้มสีเลือดอ่อนที่แก้ม แล้วยังดวงตาสีประหลาดคมแซมหยดหวาน หากในตอนนี้ไม่ปิดบังร่อยรอยไม่พอใจ

“แม้แต่ความรักก็ยังข้นกว่าสายเลือด แต่น้อยคนนักที่จะเห็นทรัพย์สมบัติและความรักก็ไม่มีค่าไปมากกว่าความถูกต้อง”

กล่าวแค่นั้นร่างระหงก็เยื้องกายออกไปทิ้งความสงสัยไว้ให้ทั้งกลุ่ม

“ใคร”

ไม่มีใครคุ้นหน้าผู้หญิงคนนั้น“มาจากกรุงเทพฯ มั้ง คงเป็นเพื่อนของตุลย์”

และเมื่อมองไปอีกทีก็ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นเสียแล้ว เธอหายไปพร้อมกับรถพยาบาลที่แล่นเข้ามาจอด

รถที่มาถึงเรียกความสนใจจากคนทั้งงานและยิ่งสนใจเมื่อพยาบาลสองคนช่วยกันพยุงร่างที่มีสายระโยงระยางมานั่งบนรถเข็นเคลื่อนไปในงาน

“ตุลย์!”จงกลผละจากการสนทนากับแขกร่วมงาน วิ่งถลาเข้าไปหาบุตรชายในเชิ้ตและสูทสีดำ “ทำไม…มา”

“ก็ไม่มีใครไปเยี่ยมเลย”คนเจ็บฝืนยิ้ม

“แม่มัวแต่วุ่นเรื่องงานศพของเตชน์กับตุ๊กตา”

“ญาติๆก็ไม่มีใครไป” รอยยิ้มแสยะ เปล่งเสียงเยาะนิดเดียว

“เขาก็ต่างต้องช่วยแม่น่ะอีกอย่างทางโรงพยาบาลโทรฯ มาบอกว่าอาการตุลย์ดีขึ้นพ้นขีดอันตรายแต่ยังขอให้งดเยี่ยม”

“ผมก็พ้นขีดอันตรายจริงๆไม่ตายง่ายๆ” คำหลังกัดฟันด้วยความเครียดแค้นใหญ่หลวง “แม่จ๋า…”เสียงเรียกระคนความรู้สึกผสมความเจ็บปวดเมื่อเห็นมารดาสะอื้นไห้ มือที่ยังมีสายน้ำเกลือแตะบนมือของมารดา“ขึ้นไปหาพี่ๆ กันนะจ๊ะ”

สองคนแม่ลูกจูงมือจนรถเข็นคนเจ็บมาถึงบันไดทางขึ้นศาลา ทันใดนั้น เสียงต่างๆ พลันเงียบไม่มีแม้แต่เสียงลม ทุกอย่างหยุดนิ่ง ภาพตรงหน้าที่สว่างไสว กลับพร่ามัว

ถ้าอาการบาดเจ็บกำเริบทำไมเขาไม่เจ็บปวดที่แผลทั้งข้างนอกหรือข้างใน

ตุลย์กระพริบตาถี่ๆคนในศาลาสวดศพหายไปหมด เหลือแค่ร่างที่เป็นเงาสะท้อนวาววับสองร่างชายหนุ่มพยายามเพ่งมอง หากไม่เห็นหน้าคนทั้งสอง

รูปร่าง…เขาจำได้

“พี่!พี่เตชน์!”

แม้แต่ด้วยเสียงก้องขาดๆหายๆ ฟังแทบไม่ได้ศัพท์แต่เขาก็จำได้

“อย่า…กลับ…”

“พี่เตชน์”ร่างบนรถเข็นพยายามลุกขึ้น หากอะไรบางอย่างตึงเขาไว้

“…กลับไป…บ้าน”

เสียงขาดหายพร้อมกับที่ตุลย์พยายามลุกขึ้นอีกครั้งมือเขาคว้าสะเปะสะปะ

ภาพจางๆตรงหน้าหายไป ราวกล้องชั้นดีที่โฟกัสติดอีกครั้ง

“ระวังค่ะคุณ”

การห้ามช้าไปเพระคนเจ็บลุกขึ้นจะถูกรั้งไว้ก็ด้วยสายน้ำเกลือที่แขวนเชื่อมกับถุงน้ำเกลือและยา

“ค่อยๆลุกนะตุลย์ ให้เขาหยิบถุงน้ำเกลือ” ผู้เป็นแม่พูดยังไม่ทันขาดคำก็ต้องอุทานเมื่อลูกชายคนเล็กกระชากเข็มที่ฝังอยู่บนมือออก

ตุลย์หัวดื้อเอาแต่ใจไม่เหมือนเตชน์

แต่ตุลย์มักจะใจอ่อนมากกว่าเตชน์

อ่อนโยนไม่อ่อนแอ

หากเมื่อแข็งก็แข็งเสียงจนไม่มีอะไรที่จะพังมันลงได้

เหมือนตอนที่เขาแข็งใจก้าวขึ้นบันไดไปบนศาลาสวดไม่สนใจพยาบาลทั้งสองที่เข้ามาพยุง หรือสายตาของผู้คนภายในงาน

“นี่มันอะไรพี่จงกล”หนึ่งในสองน้องเขยเข้ามาถาม ฉงนกับภาพตรงหน้า “ไหนว่ากระสุนทะลุปอด แล้วนี่…”

“อาการน่าจะดีขึ้นมาก”จงกลหันบอก แล้วเข้าไปพยุงร่างของบุตรชาย “วัตช่วยไปดูแขก เดี๋ยวจะตกใจกันไปใหญ่”

“ได้ๆ”ภวัตรับคำก่อนเดินออกไป หากไม่วายเหลียวหลังมองพี่สะใภ้และหลานที่ก้าวขึ้นไปบนศาลา

บรรดาคนที่นั่งบนศาลาต่างตกใจไม่ต่างจากคนที่อยู่ด้านล่างมองร่างของคนเจ็บที่สั่นเทามีผู้เป็นมารดาและพยาบาลประคองเอาไว้

สายตาของตุลย์จับอยู่ที่โลงศพสองโลงข้างหน้า

ไม่ซิ…ยังมีเงาลางๆที่สลับเป็นภาพซ้อนอยู่หลังโลงคู่

เขาไม่เคยกลัวเรื่องพวกนี้มาแต่ไหนแต่ไรโดยเฉพาะในเวลานี้ มือสั่นกราบพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่สามครั้ง รับธูปหนึ่งดอกที่ถูกจุดแล้วยื่นมาให้คุกเข่าลง พนมมือ

…พี่เตชน์พี่ตุ๊กตา…

เงาสลัวด้านหลังโลงเริ่มจับภาพไหวๆชัดขึ้น พร้อม กับเสียงก้องเข้ามาในโสตประสาท

…เราขอความเป็นธรรมเราขอทวงความยุติธรรม เราขอเป็นผู้ตัดสิน…

“ช้าไปแล้วตุลย์”

เสียงที่แว่วชัดทำให้รู้ว่านี่เสียงของ“พี่เตชน์!”

…เพื่อเราจะได้ตัดสินในสิ่งที่ความยุติธรรมไม่สามารถตัดสินได้…

ตราบใดที่โชคชะตาไม่กลั่นแกล้งกันมันไม่มีอะไรที่…ช้าเกินไป

ชายหนุ่มหลับตารับรู้แค่ว่ามีใครรับธูปของเขาไปปัก แล้วพยุงตัวเขาลุกยืน

“พระมาแล้ว ได้เวลาสวดแล้วลูก” จงกลกระซิบกับลูกชาย



(ต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่