บทที่ 1
ลมหายใจนี่สำคัญนัก!
กำหนดเข้า แล้วค่อยๆผ่อนออกไปตามจังหวะ
เมื่อก่อนยากเพราะเขาไม่ชินที่จะต้องทน ไม่มีความอดทน และมองว่าเป็นการเสียเวลา
‘จะหายใจก็สูดเข้าไปเลยชักช้าทำไม’
เมื่อทนไม่ไหวเขาก็หายใจปรกติไม่สนใจคนรอบข้าง
ไม่สนแม้เมื่อลุกขึ้นเดินออกไปจากกลุ่มคนนับสิบที่นั่งเป็นระเบียบ…กำหนดลมหายใจเข้าออก
‘แกอยู่ของแกไปนะฉันกลับก่อน พรุ่งนี้ค่อยมารับ’
เขาเคยบอกกับเพื่อนที่ชักชวนให้มานั่งสมาธิ…สงบสติอารมณ์
สติไม่สงบด้วยหลายเรื่องที่ต้องคิด
อารมณ์ไม่สงบเพราะหลายเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจ
ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว
เขารู้จักตัวเองดีพอมักครุ่นคิด โกรธ รำคาญ แต่ไม่ค่อยโมโหโกรธาถ้าโมโหก็จะอารมณ์ร้ายไม่สนใครหรืออะไรทั้งนั้น
ทว่าในเวลานี้การหายใจของเขาช้า…สงบ
ทุกลมหายใจมีค่านักพอๆ กับการขยับร่าง กระตุกได้ในตอนนี้แค่ปลายนิ้ว
“คนเจ็บพ้นขีดอันตรายแล้วค่ะ”เสียงใครสักคนดังเข้ามา “แต่ยังไม่รู้สึกตัว”
ใครว่าไม่รู้สึกตัว…เขาพอรู้หรอกแต่ไม่มีแรงรับรู้อะไรเสียมากกว่า
สติที่มาพร้อมกับอาการเพ้อที่ผ่อนลดน้อยจนหายไปและอาการทางกายพลันดีขึ้นตามลำดับอย่างรวดเร็วในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน จนเข้าวันที่สามเขาก็พอพยุงตัวขึ้นนั่งสนทนากับหมอและพยาบาล
“คุณโชคดี กระสุนปอดทะลุอีกนัดเฉียดหัวใจ แต่ฟื้นตัวเร็วมาก” คุณหมอเจ้าของไข้ไม่ใช่คนแรกที่ปรารภเช่นนี้ คนไข้แทบไม่แสดงอาการเจ็บปวดแสนสาหัสอย่างที่ควรเป็น
จะเรียกว่าโชคดีก็คงไม่ผิดจะบอกว่าปาฏิหาริย์ก็น่าจะใช่
“ผมจะโชคดีได้ยังไงพี่ชายกับพี่สะใภ้ของผม…” ถ้าจะเจ็บ ก็คงเจ็บด้วยความจริงนี้
สองชีวิตที่ต้องมี…ใครชดใช้
ความสูญเสียอย่างที่ไม่ควรให้อภัยใคร…ที่สามารถสั่งฆ่าผู้อื่นได้อย่างเลือดเย็น พรากชีวิต พรากความรักก่อความสูญเสีย โศกเศร้า
ในใจของตุลย์ตอนนี้คิดถึงผู้เป็นมารดา
เพราะไหนจะอาการของเขาแล้วยัง…พี่เตชน์และพี่ตุ๊กตา
“ครอบครัวคุณคงยุ่งอยู่กับงานของพี่ชายพี่สะใภ้คุณนะคะจากต่างจังหวัดเข้ามากรุงเทพฯ คงลำบาก นี่สวดเป็นวันที่สองแล้วยังดีที่มีผู้หญิงคนหนึ่งมาจัดการให้ทุกอย่าง” พยาบาลที่ยืนเยื้องด้านหลังเปรยอย่างเห็นใจ
“ผู้หญิง”คนเจ็บขมวดคิ้วงุนงง…ใคร
“เธอเป็นเจ้าของไข้คุณรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างตั้งแต่ย้ายคุณเข้ากรุงเทพ ค่ารักษา ค่าห้อง”
“ชื่ออะไร”
“เธอไม่ให้บอกชื่อค่ะ”
“มีอย่างนี้ด้วยเหรอ”คราวนี้นายแพทย์สงสัย เพราะใครที่จะออกค่ารักษาพยาบาลให้อีกคนโดยไม่ให้อีกฝ่ายรับรู้
ค่ารักษาค่าห้องวีไอพี ย้ายจากโรงพยาบาลเล็กๆ ในต่างจังหวัด มาที่โรงพยาบาลเอกชนอันดับต้นๆของประเทศย่อมไม่ต่ำกว่าแสนบาท
“ตัวสูงหน่อยๆผิวขาวๆ สวยๆ” คนเจ็บใคร่รู้…หรือว่าจะเป็นมัทนา
“ไม่ค่ะคนนี้ไม่สูงมาก ประมาณร้อยหกสิบกว่าๆ ผิวนวลผ่อง อมสองสีแปลกๆ แต่สวยนะคะ”
“อะไรคุ๊ณอมสองสีแปลกๆ”
“ก็แปลกน่ะสิคะอาจารย์”พยาบาลพยักหน้ายืนยันกับหมอเจ้าของไข้ “ผิวพรรณดีละเอียดแต่จะว่าขาวนวลก็ไม่ขาวสักทีเดียว จะว่าสองสีก็ไม่สองสีซะทีเดียว จะว่าผ่อนอำพันก็ได้เสียงเหมือนดนตรี แต่ชอบกระชากเสียงถือตัวยังไงไม่รู้”
“แล้วเขาย้ายคุณตุลย์มาที่นี่ได้ยังไงต้องเป็นญาตินี่”
“หนูก็ไม่รู้ค่ะอาจารย์แต่ได้ยินว่าเขาจ่ายเป็นเงินสดมัดจำล่วงหน้าสองแสน สั่งการทุกอย่างแถมมีผู้ติดตามแต่งกายคล้ายๆ ทหารหรือตำรวจ โรงพยาบาลโน้นเลยยอมให้ย้ายและเราก็รับคนเจ็บไว้”
“น่าจะเป็นญาติคุณนะครับเงินขนาดนี้เล่นจ่ายไว้ก่อน คนอื่น ใครเขาจะทำ” คุณหมอหันมาทางคนไข้
แม่คงยุ่งกับเรื่องพี่เตชน์และพี่ตุ๊กตาหรือจะเป็นพี่รินที่เข้ามาดูแลเรื่องอาการของเขา คนเจ็บคิด และขอโทรฯ คุยกับญาติผู้พี่ที่เขาสนิทเหมือนพี่สาวแท้ๆ
พี่ริน หรือริรินดาก็วุ่นช่วยงานของพี่ชายและพี่สะใภ้ของเขา ไม่รู้เรื่องการย้ายโรงพยาบาล
“พี่ก็คิดว่าคุณน้าเป็นคนสั่งให้เอาตุลย์เข้าไปรักษาที่กรุงเทพฯตายจริงไม่มีใครรู้เรื่อง แล้วตุลย์ไปได้ยังไง เจ้าหน้าที่ปล่อยไปได้ไงนะเนี่ยแล้วใครออกค่าใช้จ่ายให้ขนาดนั้น” เสียงเป็นห่วง วิตกกังวล
“เอางี้นะพี่ถ้าแม่ถามเรื่องการย้ายผมเข้ากรุงเทพฯ พี่ก็บอกไปว่าพี่เป็นคนจัดการผมไม่อยากให้แม่เป็นห่วง” ตุลย์ตัดสินใจนึกถึงผู้เป็นมารดาที่คงวุ่นและกำลังโศกเศร้ากับการตายของพี่ชายเขา“ส่วนเรื่องใครอะไรยังไง เราก็คอยดูกันไปดีกว่า”
คนเจ็บวางสายจากญาติผู้พี่แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงหนาแสนสบายของห้องพิเศษ เขาจมกับความคิดว่าใครมากกว่าจะจมกับความเจ็บของบาดแผล
เจ็บหรือ…ก็ไม่แล้วนะแค่ยังรู้สึกติดๆ ขัดๆ นิดหน่อย
“ว่าแต่คุณไม่ปวดแผลเลยเหรอครับ”
“ไม่”ตุลย์ส่ายหน้า “แค่เพลียๆ แล้วก็คันตรงที่มีอะไรมาแปะเท่านั้นจะเจ็บก็อีเข็มนี่แหละครับ” เขาหัวเราะเบาๆ สีหน้ามีเคล้าอิดโรยแต่ไม่ได้ขาวซีดไร้ชีวิตและลมหายใจ “นี่ผมจะออกจากโรงพยาบาลไปได้เมื่อไหร่ยังมีเรื่องงานศพพี่ชายและพี่สะใภ้ผมอีก คืนนี้ผมไปได้ไหม” คำแต่ละคำกลั่นออกมาแสนลำบาก
“รออีกสักวันดีกว่าครับต่อให้คุณหายเร็วแค่ไหน แต่ระยะเวลาแค่สามวัน ไม่มีคนที่โดนยิงทะลุปอด เฉียดหัวใจคนไหนจะฟื้นตัวเร็วนะครับ กำลังใจคุณอาจจะดีทำให้คุณฟื้นตัวเร็วมากแต่อวัยวะภายในมันไม่ฟื้นรวดเร็วขนาดนั้น”
คุณหมอออกความเห็นเช่นนั้นแม้ว่าจากประสบการณ์แล้วต้องยอมรับว่าคนไข้รายนี้เรียกว่าปาฏิหาริย์เลยก็ไม่ผิด
“สงสารแกนะพี่โดนฆ่า แต่ตัวเองรอดมาได้ แถมยังเป็นผู้ต้องสงสัยจ้างวานอีก”พยาบาลเปรยเมื่อทั้งคู่ตรวจเยี่ยมอาการคนเจ็บแล้วก็ออกมาข้างนอกห้องพักพิเศษ
“ถ้าจ้างมือปืนมาฆ่าพี่แล้วยิงตัวเองแล้วมือปืนยิงทะลุปอดให้เฉียดตายแบบนี้ ผมคงต้องจ้างคนไปยิงมือปืนพวกนั้น”คุณหมอส่ายหน้า “ใครมันคิด”
“เห็นข่าวว่าตำรวจตั้งข้อสงสัยประเด็นนี้ค่ะ”
“เท่าที่ผมเคยเห็นคนที่โดนยิงแบบนี้ เสียเลือดมาก และใช้เวลากว่าจะถึงมือแพทย์นานขนาดนี้ ไม่เคยมีใครรอดสักคน ผมอยากรู้นักว่าคุณตุลย์แกห้อยพระอะไรแถมมือยิงโดนจับได้ครบทุกคนในที่เกิดเหตุ”
“จับได้แต่มีอาการบ้านี่ล่ะสิคะ”
“ต้องถือว่ามันฉลาดที่แกล้งบ้า”
งานสวดพระอภิธรรมศพเป็นคืนที่สี่แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยังคงดังให้ได้ยินรอบๆ ศาลาภายในวัดของตัวอำเภอ แม้ว่าบรรดาคนพูดจะลดให้เหลือเพียงเสียงกระซิบ
“เห็นเขาว่าไอ้สามคนที่ลงมือกลายเป็นบ้าเลยไม่รู้ว่ายังไง มันทำเองหรือใครจ้าง”
“ตำรวจสงสัยตุลย์อยู่นี่”
“พี่น้องรักกันดีจะฆ่ากันทำไม”
“เรื่องเงินทองไม่เข้าใครออกใครตุลย์มีปัญหาเรื่องงาน เรื่องเงิน เตชน์กับเมียตายไป สมบัติก็เป็นของตุลย์”
“แม่เขาก็ยังอยู่”ใครบางคนค้าน มองไปยังสตรีวัยเกือบเจ็ดสิบที่ต้อนรับแขกในงานด้วยอาการเศร้าโศก
“เหลือลูกคนเดียวของแม่ก็เหมือนของลูก”
“สงสารแต่คุณจงกลเสียลูกชายคนโต ลูกคนเล็กก็อาการล่อแล่ เป็นตายเท่ากัน”
“ถ้ายังไม่ตายก็ชุบมือเปิกฮุบเทวนิรมิตของพี่ไป ถ้าตาย…แม่ก็รับไปแล้วให้ญาติพี่น้องช่วยดูแล”
พี่น้องของจงกลยังมีเพียงแต่ไม่มีใครเข้ามาเกี่ยวข้องกับฟาร์มที่ลูกชายคนโตและลูกสะใภ้บริหารแม้แต่ตุลย์ยังไม่ยุ่ง
ใครอื่นที่เคยอยากจะยุ่งเพราะ…ส่วนแบ่งอันงดงามก็ทำไม่ได้ ทำได้แต่ของส่วนที่เป็นการเช่าที่กับ…กงสี
“เครือเทวนิรมิตมีมูลค่าตั้งหลายร้อยล้าน”
“นั่นไงล่ะเงินทองมันข้นกว่าสายเลือด”
“มันก็จริง!”เสียงกระชากจากด้านหลังทำให้ทั้งกลุ่มหันไป
สตรีผู้นี้ร่างระหงผมนวลเปล่งอำพันสว่างขับด้วยชุดไทยจิตรดาสีดำทำจากไหมแท้ใบหน้าผ่องไม่ต่างจากพระจันทร์วันเพ็ญ แต้มสีเลือดอ่อนที่แก้ม แล้วยังดวงตาสีประหลาดคมแซมหยดหวาน หากในตอนนี้ไม่ปิดบังร่อยรอยไม่พอใจ
“แม้แต่ความรักก็ยังข้นกว่าสายเลือด แต่น้อยคนนักที่จะเห็นทรัพย์สมบัติและความรักก็ไม่มีค่าไปมากกว่าความถูกต้อง”
กล่าวแค่นั้นร่างระหงก็เยื้องกายออกไปทิ้งความสงสัยไว้ให้ทั้งกลุ่ม
“ใคร”
ไม่มีใครคุ้นหน้าผู้หญิงคนนั้น“มาจากกรุงเทพฯ มั้ง คงเป็นเพื่อนของตุลย์”
และเมื่อมองไปอีกทีก็ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นเสียแล้ว เธอหายไปพร้อมกับรถพยาบาลที่แล่นเข้ามาจอด
รถที่มาถึงเรียกความสนใจจากคนทั้งงานและยิ่งสนใจเมื่อพยาบาลสองคนช่วยกันพยุงร่างที่มีสายระโยงระยางมานั่งบนรถเข็นเคลื่อนไปในงาน
“ตุลย์!”จงกลผละจากการสนทนากับแขกร่วมงาน วิ่งถลาเข้าไปหาบุตรชายในเชิ้ตและสูทสีดำ “ทำไม…มา”
“ก็ไม่มีใครไปเยี่ยมเลย”คนเจ็บฝืนยิ้ม
“แม่มัวแต่วุ่นเรื่องงานศพของเตชน์กับตุ๊กตา”
“ญาติๆก็ไม่มีใครไป” รอยยิ้มแสยะ เปล่งเสียงเยาะนิดเดียว
“เขาก็ต่างต้องช่วยแม่น่ะอีกอย่างทางโรงพยาบาลโทรฯ มาบอกว่าอาการตุลย์ดีขึ้นพ้นขีดอันตรายแต่ยังขอให้งดเยี่ยม”
“ผมก็พ้นขีดอันตรายจริงๆไม่ตายง่ายๆ” คำหลังกัดฟันด้วยความเครียดแค้นใหญ่หลวง “แม่จ๋า…”เสียงเรียกระคนความรู้สึกผสมความเจ็บปวดเมื่อเห็นมารดาสะอื้นไห้ มือที่ยังมีสายน้ำเกลือแตะบนมือของมารดา“ขึ้นไปหาพี่ๆ กันนะจ๊ะ”
สองคนแม่ลูกจูงมือจนรถเข็นคนเจ็บมาถึงบันไดทางขึ้นศาลา ทันใดนั้น เสียงต่างๆ พลันเงียบไม่มีแม้แต่เสียงลม ทุกอย่างหยุดนิ่ง ภาพตรงหน้าที่สว่างไสว กลับพร่ามัว
ถ้าอาการบาดเจ็บกำเริบทำไมเขาไม่เจ็บปวดที่แผลทั้งข้างนอกหรือข้างใน
ตุลย์กระพริบตาถี่ๆคนในศาลาสวดศพหายไปหมด เหลือแค่ร่างที่เป็นเงาสะท้อนวาววับสองร่างชายหนุ่มพยายามเพ่งมอง หากไม่เห็นหน้าคนทั้งสอง
รูปร่าง…เขาจำได้
“พี่!พี่เตชน์!”
แม้แต่ด้วยเสียงก้องขาดๆหายๆ ฟังแทบไม่ได้ศัพท์แต่เขาก็จำได้
“อย่า…กลับ…”
“พี่เตชน์”ร่างบนรถเข็นพยายามลุกขึ้น หากอะไรบางอย่างตึงเขาไว้
“…กลับไป…บ้าน”
เสียงขาดหายพร้อมกับที่ตุลย์พยายามลุกขึ้นอีกครั้งมือเขาคว้าสะเปะสะปะ
ภาพจางๆตรงหน้าหายไป ราวกล้องชั้นดีที่โฟกัสติดอีกครั้ง
“ระวังค่ะคุณ”
การห้ามช้าไปเพระคนเจ็บลุกขึ้นจะถูกรั้งไว้ก็ด้วยสายน้ำเกลือที่แขวนเชื่อมกับถุงน้ำเกลือและยา
“ค่อยๆลุกนะตุลย์ ให้เขาหยิบถุงน้ำเกลือ” ผู้เป็นแม่พูดยังไม่ทันขาดคำก็ต้องอุทานเมื่อลูกชายคนเล็กกระชากเข็มที่ฝังอยู่บนมือออก
ตุลย์หัวดื้อเอาแต่ใจไม่เหมือนเตชน์
แต่ตุลย์มักจะใจอ่อนมากกว่าเตชน์
อ่อนโยนไม่อ่อนแอ
หากเมื่อแข็งก็แข็งเสียงจนไม่มีอะไรที่จะพังมันลงได้
เหมือนตอนที่เขาแข็งใจก้าวขึ้นบันไดไปบนศาลาสวดไม่สนใจพยาบาลทั้งสองที่เข้ามาพยุง หรือสายตาของผู้คนภายในงาน
“นี่มันอะไรพี่จงกล”หนึ่งในสองน้องเขยเข้ามาถาม ฉงนกับภาพตรงหน้า “ไหนว่ากระสุนทะลุปอด แล้วนี่…”
“อาการน่าจะดีขึ้นมาก”จงกลหันบอก แล้วเข้าไปพยุงร่างของบุตรชาย “วัตช่วยไปดูแขก เดี๋ยวจะตกใจกันไปใหญ่”
“ได้ๆ”ภวัตรับคำก่อนเดินออกไป หากไม่วายเหลียวหลังมองพี่สะใภ้และหลานที่ก้าวขึ้นไปบนศาลา
บรรดาคนที่นั่งบนศาลาต่างตกใจไม่ต่างจากคนที่อยู่ด้านล่างมองร่างของคนเจ็บที่สั่นเทามีผู้เป็นมารดาและพยาบาลประคองเอาไว้
สายตาของตุลย์จับอยู่ที่โลงศพสองโลงข้างหน้า
ไม่ซิ…ยังมีเงาลางๆที่สลับเป็นภาพซ้อนอยู่หลังโลงคู่
เขาไม่เคยกลัวเรื่องพวกนี้มาแต่ไหนแต่ไรโดยเฉพาะในเวลานี้ มือสั่นกราบพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่สามครั้ง รับธูปหนึ่งดอกที่ถูกจุดแล้วยื่นมาให้คุกเข่าลง พนมมือ
…พี่เตชน์พี่ตุ๊กตา…
เงาสลัวด้านหลังโลงเริ่มจับภาพไหวๆชัดขึ้น พร้อม กับเสียงก้องเข้ามาในโสตประสาท
…เราขอความเป็นธรรมเราขอทวงความยุติธรรม เราขอเป็นผู้ตัดสิน…
“ช้าไปแล้วตุลย์”
เสียงที่แว่วชัดทำให้รู้ว่านี่เสียงของ“พี่เตชน์!”
…เพื่อเราจะได้ตัดสินในสิ่งที่ความยุติธรรมไม่สามารถตัดสินได้…
ตราบใดที่โชคชะตาไม่กลั่นแกล้งกันมันไม่มีอะไรที่…ช้าเกินไป
ชายหนุ่มหลับตารับรู้แค่ว่ามีใครรับธูปของเขาไปปัก แล้วพยุงตัวเขาลุกยืน
“พระมาแล้ว ได้เวลาสวดแล้วลูก” จงกลกระซิบกับลูกชาย
(ต่อ)
เปลวพิศวาส (บทที่ 1) โดย มานัส
ลมหายใจนี่สำคัญนัก!
กำหนดเข้า แล้วค่อยๆผ่อนออกไปตามจังหวะ
เมื่อก่อนยากเพราะเขาไม่ชินที่จะต้องทน ไม่มีความอดทน และมองว่าเป็นการเสียเวลา
‘จะหายใจก็สูดเข้าไปเลยชักช้าทำไม’
เมื่อทนไม่ไหวเขาก็หายใจปรกติไม่สนใจคนรอบข้าง
ไม่สนแม้เมื่อลุกขึ้นเดินออกไปจากกลุ่มคนนับสิบที่นั่งเป็นระเบียบ…กำหนดลมหายใจเข้าออก
‘แกอยู่ของแกไปนะฉันกลับก่อน พรุ่งนี้ค่อยมารับ’
เขาเคยบอกกับเพื่อนที่ชักชวนให้มานั่งสมาธิ…สงบสติอารมณ์
สติไม่สงบด้วยหลายเรื่องที่ต้องคิด
อารมณ์ไม่สงบเพราะหลายเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจ
ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว
เขารู้จักตัวเองดีพอมักครุ่นคิด โกรธ รำคาญ แต่ไม่ค่อยโมโหโกรธาถ้าโมโหก็จะอารมณ์ร้ายไม่สนใครหรืออะไรทั้งนั้น
ทว่าในเวลานี้การหายใจของเขาช้า…สงบ
ทุกลมหายใจมีค่านักพอๆ กับการขยับร่าง กระตุกได้ในตอนนี้แค่ปลายนิ้ว
“คนเจ็บพ้นขีดอันตรายแล้วค่ะ”เสียงใครสักคนดังเข้ามา “แต่ยังไม่รู้สึกตัว”
ใครว่าไม่รู้สึกตัว…เขาพอรู้หรอกแต่ไม่มีแรงรับรู้อะไรเสียมากกว่า
สติที่มาพร้อมกับอาการเพ้อที่ผ่อนลดน้อยจนหายไปและอาการทางกายพลันดีขึ้นตามลำดับอย่างรวดเร็วในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน จนเข้าวันที่สามเขาก็พอพยุงตัวขึ้นนั่งสนทนากับหมอและพยาบาล
“คุณโชคดี กระสุนปอดทะลุอีกนัดเฉียดหัวใจ แต่ฟื้นตัวเร็วมาก” คุณหมอเจ้าของไข้ไม่ใช่คนแรกที่ปรารภเช่นนี้ คนไข้แทบไม่แสดงอาการเจ็บปวดแสนสาหัสอย่างที่ควรเป็น
จะเรียกว่าโชคดีก็คงไม่ผิดจะบอกว่าปาฏิหาริย์ก็น่าจะใช่
“ผมจะโชคดีได้ยังไงพี่ชายกับพี่สะใภ้ของผม…” ถ้าจะเจ็บ ก็คงเจ็บด้วยความจริงนี้
สองชีวิตที่ต้องมี…ใครชดใช้
ความสูญเสียอย่างที่ไม่ควรให้อภัยใคร…ที่สามารถสั่งฆ่าผู้อื่นได้อย่างเลือดเย็น พรากชีวิต พรากความรักก่อความสูญเสีย โศกเศร้า
ในใจของตุลย์ตอนนี้คิดถึงผู้เป็นมารดา
เพราะไหนจะอาการของเขาแล้วยัง…พี่เตชน์และพี่ตุ๊กตา
“ครอบครัวคุณคงยุ่งอยู่กับงานของพี่ชายพี่สะใภ้คุณนะคะจากต่างจังหวัดเข้ามากรุงเทพฯ คงลำบาก นี่สวดเป็นวันที่สองแล้วยังดีที่มีผู้หญิงคนหนึ่งมาจัดการให้ทุกอย่าง” พยาบาลที่ยืนเยื้องด้านหลังเปรยอย่างเห็นใจ
“ผู้หญิง”คนเจ็บขมวดคิ้วงุนงง…ใคร
“เธอเป็นเจ้าของไข้คุณรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างตั้งแต่ย้ายคุณเข้ากรุงเทพ ค่ารักษา ค่าห้อง”
“ชื่ออะไร”
“เธอไม่ให้บอกชื่อค่ะ”
“มีอย่างนี้ด้วยเหรอ”คราวนี้นายแพทย์สงสัย เพราะใครที่จะออกค่ารักษาพยาบาลให้อีกคนโดยไม่ให้อีกฝ่ายรับรู้
ค่ารักษาค่าห้องวีไอพี ย้ายจากโรงพยาบาลเล็กๆ ในต่างจังหวัด มาที่โรงพยาบาลเอกชนอันดับต้นๆของประเทศย่อมไม่ต่ำกว่าแสนบาท
“ตัวสูงหน่อยๆผิวขาวๆ สวยๆ” คนเจ็บใคร่รู้…หรือว่าจะเป็นมัทนา
“ไม่ค่ะคนนี้ไม่สูงมาก ประมาณร้อยหกสิบกว่าๆ ผิวนวลผ่อง อมสองสีแปลกๆ แต่สวยนะคะ”
“อะไรคุ๊ณอมสองสีแปลกๆ”
“ก็แปลกน่ะสิคะอาจารย์”พยาบาลพยักหน้ายืนยันกับหมอเจ้าของไข้ “ผิวพรรณดีละเอียดแต่จะว่าขาวนวลก็ไม่ขาวสักทีเดียว จะว่าสองสีก็ไม่สองสีซะทีเดียว จะว่าผ่อนอำพันก็ได้เสียงเหมือนดนตรี แต่ชอบกระชากเสียงถือตัวยังไงไม่รู้”
“แล้วเขาย้ายคุณตุลย์มาที่นี่ได้ยังไงต้องเป็นญาตินี่”
“หนูก็ไม่รู้ค่ะอาจารย์แต่ได้ยินว่าเขาจ่ายเป็นเงินสดมัดจำล่วงหน้าสองแสน สั่งการทุกอย่างแถมมีผู้ติดตามแต่งกายคล้ายๆ ทหารหรือตำรวจ โรงพยาบาลโน้นเลยยอมให้ย้ายและเราก็รับคนเจ็บไว้”
“น่าจะเป็นญาติคุณนะครับเงินขนาดนี้เล่นจ่ายไว้ก่อน คนอื่น ใครเขาจะทำ” คุณหมอหันมาทางคนไข้
แม่คงยุ่งกับเรื่องพี่เตชน์และพี่ตุ๊กตาหรือจะเป็นพี่รินที่เข้ามาดูแลเรื่องอาการของเขา คนเจ็บคิด และขอโทรฯ คุยกับญาติผู้พี่ที่เขาสนิทเหมือนพี่สาวแท้ๆ
พี่ริน หรือริรินดาก็วุ่นช่วยงานของพี่ชายและพี่สะใภ้ของเขา ไม่รู้เรื่องการย้ายโรงพยาบาล
“พี่ก็คิดว่าคุณน้าเป็นคนสั่งให้เอาตุลย์เข้าไปรักษาที่กรุงเทพฯตายจริงไม่มีใครรู้เรื่อง แล้วตุลย์ไปได้ยังไง เจ้าหน้าที่ปล่อยไปได้ไงนะเนี่ยแล้วใครออกค่าใช้จ่ายให้ขนาดนั้น” เสียงเป็นห่วง วิตกกังวล
“เอางี้นะพี่ถ้าแม่ถามเรื่องการย้ายผมเข้ากรุงเทพฯ พี่ก็บอกไปว่าพี่เป็นคนจัดการผมไม่อยากให้แม่เป็นห่วง” ตุลย์ตัดสินใจนึกถึงผู้เป็นมารดาที่คงวุ่นและกำลังโศกเศร้ากับการตายของพี่ชายเขา“ส่วนเรื่องใครอะไรยังไง เราก็คอยดูกันไปดีกว่า”
คนเจ็บวางสายจากญาติผู้พี่แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงหนาแสนสบายของห้องพิเศษ เขาจมกับความคิดว่าใครมากกว่าจะจมกับความเจ็บของบาดแผล
เจ็บหรือ…ก็ไม่แล้วนะแค่ยังรู้สึกติดๆ ขัดๆ นิดหน่อย
“ว่าแต่คุณไม่ปวดแผลเลยเหรอครับ”
“ไม่”ตุลย์ส่ายหน้า “แค่เพลียๆ แล้วก็คันตรงที่มีอะไรมาแปะเท่านั้นจะเจ็บก็อีเข็มนี่แหละครับ” เขาหัวเราะเบาๆ สีหน้ามีเคล้าอิดโรยแต่ไม่ได้ขาวซีดไร้ชีวิตและลมหายใจ “นี่ผมจะออกจากโรงพยาบาลไปได้เมื่อไหร่ยังมีเรื่องงานศพพี่ชายและพี่สะใภ้ผมอีก คืนนี้ผมไปได้ไหม” คำแต่ละคำกลั่นออกมาแสนลำบาก
“รออีกสักวันดีกว่าครับต่อให้คุณหายเร็วแค่ไหน แต่ระยะเวลาแค่สามวัน ไม่มีคนที่โดนยิงทะลุปอด เฉียดหัวใจคนไหนจะฟื้นตัวเร็วนะครับ กำลังใจคุณอาจจะดีทำให้คุณฟื้นตัวเร็วมากแต่อวัยวะภายในมันไม่ฟื้นรวดเร็วขนาดนั้น”
คุณหมอออกความเห็นเช่นนั้นแม้ว่าจากประสบการณ์แล้วต้องยอมรับว่าคนไข้รายนี้เรียกว่าปาฏิหาริย์เลยก็ไม่ผิด
“สงสารแกนะพี่โดนฆ่า แต่ตัวเองรอดมาได้ แถมยังเป็นผู้ต้องสงสัยจ้างวานอีก”พยาบาลเปรยเมื่อทั้งคู่ตรวจเยี่ยมอาการคนเจ็บแล้วก็ออกมาข้างนอกห้องพักพิเศษ
“ถ้าจ้างมือปืนมาฆ่าพี่แล้วยิงตัวเองแล้วมือปืนยิงทะลุปอดให้เฉียดตายแบบนี้ ผมคงต้องจ้างคนไปยิงมือปืนพวกนั้น”คุณหมอส่ายหน้า “ใครมันคิด”
“เห็นข่าวว่าตำรวจตั้งข้อสงสัยประเด็นนี้ค่ะ”
“เท่าที่ผมเคยเห็นคนที่โดนยิงแบบนี้ เสียเลือดมาก และใช้เวลากว่าจะถึงมือแพทย์นานขนาดนี้ ไม่เคยมีใครรอดสักคน ผมอยากรู้นักว่าคุณตุลย์แกห้อยพระอะไรแถมมือยิงโดนจับได้ครบทุกคนในที่เกิดเหตุ”
“จับได้แต่มีอาการบ้านี่ล่ะสิคะ”
“ต้องถือว่ามันฉลาดที่แกล้งบ้า”
งานสวดพระอภิธรรมศพเป็นคืนที่สี่แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยังคงดังให้ได้ยินรอบๆ ศาลาภายในวัดของตัวอำเภอ แม้ว่าบรรดาคนพูดจะลดให้เหลือเพียงเสียงกระซิบ
“เห็นเขาว่าไอ้สามคนที่ลงมือกลายเป็นบ้าเลยไม่รู้ว่ายังไง มันทำเองหรือใครจ้าง”
“ตำรวจสงสัยตุลย์อยู่นี่”
“พี่น้องรักกันดีจะฆ่ากันทำไม”
“เรื่องเงินทองไม่เข้าใครออกใครตุลย์มีปัญหาเรื่องงาน เรื่องเงิน เตชน์กับเมียตายไป สมบัติก็เป็นของตุลย์”
“แม่เขาก็ยังอยู่”ใครบางคนค้าน มองไปยังสตรีวัยเกือบเจ็ดสิบที่ต้อนรับแขกในงานด้วยอาการเศร้าโศก
“เหลือลูกคนเดียวของแม่ก็เหมือนของลูก”
“สงสารแต่คุณจงกลเสียลูกชายคนโต ลูกคนเล็กก็อาการล่อแล่ เป็นตายเท่ากัน”
“ถ้ายังไม่ตายก็ชุบมือเปิกฮุบเทวนิรมิตของพี่ไป ถ้าตาย…แม่ก็รับไปแล้วให้ญาติพี่น้องช่วยดูแล”
พี่น้องของจงกลยังมีเพียงแต่ไม่มีใครเข้ามาเกี่ยวข้องกับฟาร์มที่ลูกชายคนโตและลูกสะใภ้บริหารแม้แต่ตุลย์ยังไม่ยุ่ง
ใครอื่นที่เคยอยากจะยุ่งเพราะ…ส่วนแบ่งอันงดงามก็ทำไม่ได้ ทำได้แต่ของส่วนที่เป็นการเช่าที่กับ…กงสี
“เครือเทวนิรมิตมีมูลค่าตั้งหลายร้อยล้าน”
“นั่นไงล่ะเงินทองมันข้นกว่าสายเลือด”
“มันก็จริง!”เสียงกระชากจากด้านหลังทำให้ทั้งกลุ่มหันไป
สตรีผู้นี้ร่างระหงผมนวลเปล่งอำพันสว่างขับด้วยชุดไทยจิตรดาสีดำทำจากไหมแท้ใบหน้าผ่องไม่ต่างจากพระจันทร์วันเพ็ญ แต้มสีเลือดอ่อนที่แก้ม แล้วยังดวงตาสีประหลาดคมแซมหยดหวาน หากในตอนนี้ไม่ปิดบังร่อยรอยไม่พอใจ
“แม้แต่ความรักก็ยังข้นกว่าสายเลือด แต่น้อยคนนักที่จะเห็นทรัพย์สมบัติและความรักก็ไม่มีค่าไปมากกว่าความถูกต้อง”
กล่าวแค่นั้นร่างระหงก็เยื้องกายออกไปทิ้งความสงสัยไว้ให้ทั้งกลุ่ม
“ใคร”
ไม่มีใครคุ้นหน้าผู้หญิงคนนั้น“มาจากกรุงเทพฯ มั้ง คงเป็นเพื่อนของตุลย์”
และเมื่อมองไปอีกทีก็ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นเสียแล้ว เธอหายไปพร้อมกับรถพยาบาลที่แล่นเข้ามาจอด
รถที่มาถึงเรียกความสนใจจากคนทั้งงานและยิ่งสนใจเมื่อพยาบาลสองคนช่วยกันพยุงร่างที่มีสายระโยงระยางมานั่งบนรถเข็นเคลื่อนไปในงาน
“ตุลย์!”จงกลผละจากการสนทนากับแขกร่วมงาน วิ่งถลาเข้าไปหาบุตรชายในเชิ้ตและสูทสีดำ “ทำไม…มา”
“ก็ไม่มีใครไปเยี่ยมเลย”คนเจ็บฝืนยิ้ม
“แม่มัวแต่วุ่นเรื่องงานศพของเตชน์กับตุ๊กตา”
“ญาติๆก็ไม่มีใครไป” รอยยิ้มแสยะ เปล่งเสียงเยาะนิดเดียว
“เขาก็ต่างต้องช่วยแม่น่ะอีกอย่างทางโรงพยาบาลโทรฯ มาบอกว่าอาการตุลย์ดีขึ้นพ้นขีดอันตรายแต่ยังขอให้งดเยี่ยม”
“ผมก็พ้นขีดอันตรายจริงๆไม่ตายง่ายๆ” คำหลังกัดฟันด้วยความเครียดแค้นใหญ่หลวง “แม่จ๋า…”เสียงเรียกระคนความรู้สึกผสมความเจ็บปวดเมื่อเห็นมารดาสะอื้นไห้ มือที่ยังมีสายน้ำเกลือแตะบนมือของมารดา“ขึ้นไปหาพี่ๆ กันนะจ๊ะ”
สองคนแม่ลูกจูงมือจนรถเข็นคนเจ็บมาถึงบันไดทางขึ้นศาลา ทันใดนั้น เสียงต่างๆ พลันเงียบไม่มีแม้แต่เสียงลม ทุกอย่างหยุดนิ่ง ภาพตรงหน้าที่สว่างไสว กลับพร่ามัว
ถ้าอาการบาดเจ็บกำเริบทำไมเขาไม่เจ็บปวดที่แผลทั้งข้างนอกหรือข้างใน
ตุลย์กระพริบตาถี่ๆคนในศาลาสวดศพหายไปหมด เหลือแค่ร่างที่เป็นเงาสะท้อนวาววับสองร่างชายหนุ่มพยายามเพ่งมอง หากไม่เห็นหน้าคนทั้งสอง
รูปร่าง…เขาจำได้
“พี่!พี่เตชน์!”
แม้แต่ด้วยเสียงก้องขาดๆหายๆ ฟังแทบไม่ได้ศัพท์แต่เขาก็จำได้
“อย่า…กลับ…”
“พี่เตชน์”ร่างบนรถเข็นพยายามลุกขึ้น หากอะไรบางอย่างตึงเขาไว้
“…กลับไป…บ้าน”
เสียงขาดหายพร้อมกับที่ตุลย์พยายามลุกขึ้นอีกครั้งมือเขาคว้าสะเปะสะปะ
ภาพจางๆตรงหน้าหายไป ราวกล้องชั้นดีที่โฟกัสติดอีกครั้ง
“ระวังค่ะคุณ”
การห้ามช้าไปเพระคนเจ็บลุกขึ้นจะถูกรั้งไว้ก็ด้วยสายน้ำเกลือที่แขวนเชื่อมกับถุงน้ำเกลือและยา
“ค่อยๆลุกนะตุลย์ ให้เขาหยิบถุงน้ำเกลือ” ผู้เป็นแม่พูดยังไม่ทันขาดคำก็ต้องอุทานเมื่อลูกชายคนเล็กกระชากเข็มที่ฝังอยู่บนมือออก
ตุลย์หัวดื้อเอาแต่ใจไม่เหมือนเตชน์
แต่ตุลย์มักจะใจอ่อนมากกว่าเตชน์
อ่อนโยนไม่อ่อนแอ
หากเมื่อแข็งก็แข็งเสียงจนไม่มีอะไรที่จะพังมันลงได้
เหมือนตอนที่เขาแข็งใจก้าวขึ้นบันไดไปบนศาลาสวดไม่สนใจพยาบาลทั้งสองที่เข้ามาพยุง หรือสายตาของผู้คนภายในงาน
“นี่มันอะไรพี่จงกล”หนึ่งในสองน้องเขยเข้ามาถาม ฉงนกับภาพตรงหน้า “ไหนว่ากระสุนทะลุปอด แล้วนี่…”
“อาการน่าจะดีขึ้นมาก”จงกลหันบอก แล้วเข้าไปพยุงร่างของบุตรชาย “วัตช่วยไปดูแขก เดี๋ยวจะตกใจกันไปใหญ่”
“ได้ๆ”ภวัตรับคำก่อนเดินออกไป หากไม่วายเหลียวหลังมองพี่สะใภ้และหลานที่ก้าวขึ้นไปบนศาลา
บรรดาคนที่นั่งบนศาลาต่างตกใจไม่ต่างจากคนที่อยู่ด้านล่างมองร่างของคนเจ็บที่สั่นเทามีผู้เป็นมารดาและพยาบาลประคองเอาไว้
สายตาของตุลย์จับอยู่ที่โลงศพสองโลงข้างหน้า
ไม่ซิ…ยังมีเงาลางๆที่สลับเป็นภาพซ้อนอยู่หลังโลงคู่
เขาไม่เคยกลัวเรื่องพวกนี้มาแต่ไหนแต่ไรโดยเฉพาะในเวลานี้ มือสั่นกราบพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่สามครั้ง รับธูปหนึ่งดอกที่ถูกจุดแล้วยื่นมาให้คุกเข่าลง พนมมือ
…พี่เตชน์พี่ตุ๊กตา…
เงาสลัวด้านหลังโลงเริ่มจับภาพไหวๆชัดขึ้น พร้อม กับเสียงก้องเข้ามาในโสตประสาท
…เราขอความเป็นธรรมเราขอทวงความยุติธรรม เราขอเป็นผู้ตัดสิน…
“ช้าไปแล้วตุลย์”
เสียงที่แว่วชัดทำให้รู้ว่านี่เสียงของ“พี่เตชน์!”
…เพื่อเราจะได้ตัดสินในสิ่งที่ความยุติธรรมไม่สามารถตัดสินได้…
ตราบใดที่โชคชะตาไม่กลั่นแกล้งกันมันไม่มีอะไรที่…ช้าเกินไป
ชายหนุ่มหลับตารับรู้แค่ว่ามีใครรับธูปของเขาไปปัก แล้วพยุงตัวเขาลุกยืน
“พระมาแล้ว ได้เวลาสวดแล้วลูก” จงกลกระซิบกับลูกชาย
(ต่อ)