[SR] เดินเล่น บ้านเชียง ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัวๆ

ในขณะที่กำลังนั่งละเลียดกาแฟหอมกรุ่น เสียงเตือนแอปพลิเคชั่นไลน์ก็ดังขึ้นจาก บล็อกเกอร์ชายสามหยด ข้อความชวนเที่ยว อุดรธานี ถูกส่งมา ทีแรกก็ว่าจะปฏิเสธไป เพราะว่าชั่วชีวิตการเดินทางตัวเอง ไปอุดรฯ บ่อยมาก ปีหนึ่งๆ น่าจะเกิน 10 ครั้งด้วยซ้ำไป

แต่พอข้อความอีกชุดถูกส่งมา ว่าจะไป บ้านเชียง ทำให้ผมสะดุดความคิดในหัวตัวเอง รำพึงในใจ...อืมม... บ้านเชียง ไอ้ตัวเราก็มาทำนู่นนี่นั่นที่ อุดรฯ โคตรบ่อยเลยนะ แต่ยังไม่เคยได้ไปเฉียด บ้านเชียง เลยซักครั้ง ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีแหล่งท่องเที่ยวทางอารยธรรมเก่าแก่ที่มีคุณค่าอยู่ที่ จ.อุดรธานี

จำได้สมัยยังเด็ก ถ้าได้ยินใครเอ่ยถึง จ.อุดรธานี ก็ต้องนึกถึง บ้านเชียง ก่อนเลย ในทางกลับกัน ถ้าพูดถึง บ้านเชียง ก็ต้องนึกถึง จ.อุดรธานี เช่นกัน แล้วทำไม? ทำไม???? บ้านเชียง ถึงได้ถูกลืมและหายเงียบไปจากแหล่งท่องเที่ยวดีๆ ของไทย ทำไม? ทำไม? ทำไม? เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นเต็มหัวสมองไปหมด แต่ความรู้สึกอยากหาเรื่องเที่ยวก็ตอบข้อสงสัยในใจตัวเอง ถ้าอยากรู้คำตอบก็ต้องไปสัมผัสดูเองสิ!!! จะได้หายข้องใจ ก็เลยตกปากรับคำ ชายสามหยด ไปแบบ งง งง

คุณอรนุช ผการัตน์(พี่ตุ่ย) ผู้บริหารจากบริษัท อินทรา แม่โขง ส่งตั๋วเครื่องบินมาให้ทางอีเมล์ ด้วยความที่พี่ตุ่ยเติบโตที่ บ้านเชียง อุดรธานี มีจิตสำนึกรักษ์บ้านเกิดเต็มเปี่ยม เลยอยากจะทำสิ่งดีๆ ให้ถิ่นกำเนิดตัวเอง พี่ตุ่ยก็คงเกิดความตระหนักเหมือนผม ว่าทำไมอยู่ดีๆ แหล่งท่องเที่ยวดีๆ อย่าง บ้านเชียง ถึงได้เงียบเหงาลงไป คนมาเที่ยว อุดรธานี ก็ไปแต่ ทะเลบัวแดง คำชะโนดและวัดป่าภูก้อน แต่ไม่ค่อยจะมีใครนึกถึง บ้านเชียง จะมีก็แต่นักท่องเที่ยวที่หาที่พักไม่ได้และล้นมาจาก คำชะโนด แค่นั้น มาก็แค่นอน ตื่นนอนแล้วก็ไป ไม่ได้อยู่เที่ยว บ้านเชียง แบบเป็นเรื่องเป็นราวอย่างที่ควรจะเป็น

ขอบคุณภาพจาก BG.ลุงตุ่ย

พี่ตุ่ยมารอรับที่สนามบินแต่เช้า พอขึ้นรถตู้ พี่ตุ่ย ก็แจกแจงหน้าที่ในการเดินครั้งนี้ให้ฟัง "พี่อยากให้ บ้านเชียง กลับมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โด่งดังเช่นในอดีต อยากให้คนที่มาเที่ยว อุดรธานี นึกถึง บ้านเชียง และอยากมาเที่ยว ไม่ใช่แค่ มาเที่ยวอุดรฯ นอนบ้านเชียง แต่พี่อยากให้ นักท่องเที่ยวมานอนบ้านเชียงเที่ยวบ้านเชียง พวกน้องๆ เป็นบล็อกเกอร์ที่เขียนรีวิวเรื่องท่องเที่ยวอยู่แล้ว คงพอจะช่วยพี่ในจุดนี้ได้บ้าง เผื่อว่าพวกน้องจะกลับไปเล่าเรื่องเผยแพร่เรื่องราวของบ้านเชียงให้นักท่องเที่ยวได้รับรู้" นี่คือคำปรารภที่พี่ตุ่ยได้บอกกับผม ผมนิ่งฟัง แต่ในใจก็ตอบพี่ตุ่ยไปแล้ว "ถ้าพี่ไว้วางใจผม ผมก็จะทำให้พี่อย่างสุดความสามารถแหละครับให้สมกับที่พี่เชื่อมั่นในฝีมือผม"

ขอบคุณภาพจาก BG.ลุงตุ่ย

จากการที่ได้เดินเที่ยวอยู่ใน บ้านเชียง 1 วัน 1 คืน เห็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการดำรงชีพของคนยุดนั้นในพิพิธภัณฑ์ ภาพการดำรงชีวิตในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปกว่า 5,000 ปี ร่องรอยของมนุษย์ในสมัยดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองและวัฒนธรรมที่มีพัฒนาการแล้วใน หลาย ๆ ด้าน ทำให้ผมรู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลิน ได้รับสาระความรู้ด้านประวัติศาสตร์ดีๆ เหมือนตัวเองถูกพาย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายพันปีก่อน มันช่างรู้สึกบันเทิงสมองและสายตามากมาย

เครื่องมือเครื่องใช้ในการดำรงชีวิตของคนยุคนั้น ถูกค้นพบโดยคนยุคนี้ ก่อให้เกิดการศึกษาเรียนรู้ตามมามากมาย การสร้างสังคมวัฒนธรรมของมนุษย์ในยุคนั้น โดยเฉพาะด้าน ความรู้ ความสามารถ ภูมิปัญญา จึงถูกหลอมรวมเป็นองค์ความรู้ถ่ายทอดสืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่น จนกลายเป็นประเพณีวัฒนธรรมและการดำเนินวิถึชีวิตของชาวบ้านที่นี่จนถึงทุกวันนี้ นี่แหละคือเสน่ห์ของ บ้านเชียง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี

หลักฐานอ้างอิงถึงการอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นของมนุษย์มาหลายพันปี ของพื้นที่บริเวณ บ้านเชียง คือแหล่งโบราณคดี ที่เต็มไปด้วย หม้อไหดินเผาและเครื่องมือเครื่องใช้ในการดำรงชีวิตของคนยุคนั้น นับเป็นเรื่องราวความทรงจำที่มีคุณค่าต่อผืนแผ่นดินไทย อีกทั้งยังครอบคลุมไปถึงแหล่งโบราณคดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกกว่าร้อยแห่ง คณะกรรมการมรดกโลก องค์การยูเนสโก (Unesco) จึงมีมติยอมรับ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง ให้ขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลกอันดับที่ 359 เมื่อเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2535 ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางโบราณคดีอันดับที่ 4 ของประเทศไทย ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก


เพื่อให้ทันเข้าร่วมขบวนกฐินชาวบ้านเชียงในช่วงเช้า หลังจัดการมื้อเช้าเรียกพลังด้วยข้าวเปียก รถตู้ก็พามุ่งหน้าสู่ บ้านเชียง แม้ร่างกายจะล้าจากการเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่ตี 3 และยังต้องผจญกับแสงแดดที่แรงจัดของบ้านเชียง แต่ภาพธรรมชาติที่ปรากฎเบื้องหน้าก็ทำให้ผ่อนคลายลงได้ ลมพัดเอื่อยๆ ท่ามกลางทุ่งนาที่มองไปได้ไกลสุดตา ปลายยอดรวงข้าวเหลืองทอง ลู่โอนเอนไหวไปมายามต้องลม หมู่แมลง โผบินวนตอมดอกไม้ จากดอกนี้ ไปดอกนั้น จากดอกนั้น ไปดอกโน้น เสียงมโหรีจากรถเครื่องเสียงดังมาจากขบวนกฐิน พ่อๆ แม่ๆ เริ่มตั้งขบวนแห่กฐิน เป็นภาพวัฒนธรรมทางศาสนาที่ดูเรียบง่ายแต่งดงาม

ผมหลบแดดใต้ร่มไม้ นั่งมองขบวนแห่กองกฐินที่กำลังจะผ่านมา แล้วค่อยออกไปเก็บภาพ เห็นเหล่าพ่อใหญ่ ถือไม้กวาดเคลียฝุ่นให้พ้นทางพอเป็นพิธีอยู่หัวขบวน แม่ๆ ในชุดพื้นบ้านไทยพวนฟ้อนรำตาม รอยยิ้มที่แฝงมากับรอยบุญบนใบหน้าของบรรดาพ่อใหญ่ ท่วงท่าฟ้อนรำที่งดงามพร้อมเพียงของบรรดาแม่ๆ เห็นรอยยิ้มอิ่มบุญท่ามกลางแดดแรงของพ่อแม่พี่น้องชาวบ้านเชียง ทำให้ผมต้องรีบสลัดความเหนื่อยล้าทิ้งไป ขยับหมวกให้แน่นกระชับกะบาลสวมแว่นกันแดดคู่ใจ รีบเดินออกจากร่มไม้มาเก็บภาพวิถีที่ทรงคุณค่าเหล่านี้ไว้ แม้ความแรงของแดดจะเล่นงานหนังหน้าอันขี้เหร่สุดๆ ของผมจนแสบก็ตาม





เสร็จจากงานกฐิน ถูกเรียกขึ้นรถตู้ เพื่อเดินทางไปยังเป้าหมายต่อ พอถึงจุดหมายถึงได้รู้ว่าที่ บ้านเชียง นอกจากวัดโพธิศรีใน ที่มีแหล่งค้นพบโบราณวัตถุแล้ว ยังมีวัดสวย เงียบสงบ อีกหลายแห่ง รถตู้พามาจอด วัดสันติวนาราม วัดที่ขึ้นชื่อเรื่องความแปลกและสวยงาม ตั้งอยู่ หมู่ 11 ต.บ้านเชียง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี  พอก้าวขาลงจากรถ จะไม่ได้ยินแม้แต่เสียงตามสายที่ป่าวประกาศเรียกร้องให้ทำบุญจนเสียอารมณ์ วัดนี้ สงบ ร่มรืน อุโบสถทรงดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์ ตั้งเด่นตระหง่านอยู่กลางน้ำ ดูขลัง สงบ ที่สำคัญ เด่นสง่าสวยงาม ทั้งภายใน ภายนอก เห็นเค้าเล่ามาว่า เป็นพระอุโบสถ แห่งเดียวในไทยที่สร้างเป็นรูปดอกบัวอยู่กลางน้ำแบบนี้

ผมเดินถ่ายภาพบริเวณริมบึงน้ำ ความใสของน้ำทำให้ผมเห็นเหง้าบัวใต้น้ำเต็มไปหมด ช่วงอากาศหนาวดอกบัวคงบาน สีของดอกบัวในบึงคงตัดเชี๊ยะส์กับสีขาวบริสุทธิ์ของพระอุโบสถ ต้องเป็นภาพที่งดงามแน่ๆ หรือถ้าเป็นวันสำคัญทางศาสนา ภาพเวียนเทียนรอบพระอุโบสถดอกบัวกลางน้ำแห่งนี้ คงจะเรียกความฮือฮาจากบรรดาช่างภาพได้เหมือนกัน วัดนี้ถ้าบริหารจัดการดีๆ ถือเป็นไฮไลท์แลนด์มารค์ของบ้านเชียงได้เลยด้วย




เข้าสู่วันที่ 2 ของการใช้ชีวิตแบบ slow living อยู่ บ้านเชียง สิ่งที่ผมสัมผัสได้ ที่นี่เป็นเมืองน่ารักและดูถ่อมตนอยู่ในที่ตั้ง มีวัฒนธรรม มีประวัติศาสตร์ มีคุณค่าในตัวเองอย่างหยั่งรากลึก มีวิถีชีวิตไม่เร่งรีบ มีแหล่งอาหารคุณภาพ มีวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารระดับพรีเมี่ยม อร่อย ราคาไม่แพง มีแหล่งธรรมชาติที่เป็นพลังใจรอบเมืองโดยไม่ต้องแก่งแย่งกับใคร มีวิถีดำรงชีพชาวไทพวนให้ชม ทอผ้า ย้อมคราม ทำเครื่องจักสาน ทำไวน์พื้นถิ่น แต่ถ้าอยากชมอย่างได้อรรถรส ทางชุมชนก็มี Ambassador Banchiang เป็นไกด์คอยบรรยายและพาเที่ยวชม มีทั้ง ยุวชนวัยเด็กน้อยน่ารัก จนถึง วัยสาวสวยใสผู้ใหญ่ชอบ นี่เป็นจุดแข็งของ บ้านเชียง ที่นำไปต่อยอดเป็นจุดขายสำหรับการท่องเที่ยวโดยชุมชนได้เลย




ที่พัก โฮมสเตย์ เฮือนโบราณสไตล์ไทพวนแท้ๆ ก็มีให้เลือกพักมากมายหลายหลัง ทุกหลังสะดวกสบาย เจ้าของบ้านน่ารักจิตใจโอบอ้อมอารีย์อยู่ในโลเคชั่นที่ยอดเยี่ยม นอนหลับได้อย่างเป็นสุข จะลุกจะนั่งก็สบาย อยากขับถ่ายกลางค่ำกลางคืนก็แสนสะดวก รองรับนักท่องเที่ยวได้ร่วม 200 คน/วัน





ผมได้เดินชม พิพิธภัณฑ์ไทพวนบ้านเชียง ได้เห็นการสาธิตวิธี ขึ้นหม้อ ก่อไห ลงลาย ป้ายสี ไหหม้อใหม่ทั้งใหญ่ทั้งเล็ก ผ้าซิ่น ผ้าทอ ผ้าพันคอ หมวก กระเป๋า ผ้าย้อมคราม เครื่องจักสาน ก็มีวางจำหน่าย เส้นสายลวดลายบนหม้อไหและลายผ้าซิ่นที่นี่ ล้วนมีอัตตลักษณ์ที่ถูกต่อยอดมาจากอารยธรรมเก่าแก่และวิถีชีวิตของท้องถิ่น นักเลงผ้าซิ่น นักสะสมผ้าไทยทอมือ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ผมนี่ยังโมโหตัวเองเลย มัวแต่เดินตามสาวถ่ายภาพ หลงชอบกระเป๋าผ้าตั้งแต่แรกพบ อุตส่าห์เล็งไว้ ลืมซื้อเฉยเลย





มีต่อนะครับ
ชื่อสินค้า:   ชุมชนบ้านเชียง
คะแนน:     
**SR - Sponsored Review : ผู้เขียนรีวิวนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการนี้ให้แก่ผู้เขียนรีวิว โดยที่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอื่นใดในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่