เมื่อกล่าวถึงความยุติธรรม.
กฎหมายกับความยุติธรรม
กฎหมายกับความยุติธรรม
แนวคิดเรื่องกฎหมายกับความยุติธรรมที่สำคัญและมีอิทธิพลต่อสังคมไทยมีอยู่ ๒ สำนักซึ่งแตกต่างกัน คือ “สำนักกฎหมายธรรมชาติ” มองว่ากฎหมายที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้นมิใช่กฎสูงสุดแต่เป็นกฎที่อยู่ภายใต้กฎธรรมชาติ การตีความกฎหมายจึงต้องให้ความสำคัญกับความยุติธรรมที่ถูกต้องแท้จริงสอดคล้องกับกฎธรรมชาติมากยิ่งกว่าตัวบทกฎหมายตามลายลักษณ์อักษร ส่วนกฎธรรมชาติจะมีที่มาหรือลักษณะอย่างไรนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับศาสนา ลัทธิ หรือความเชื่อของแต่ละสังคม อย่างเช่น ศาสนาคริสต์ ฮินดู พราหมณ์หรืออิสลาม จะมีความเชื่อในกฎของพระเจ้า ส่วนศาสนาพุทธนั้น ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยกล่าวไว้ว่า กฎอิทัปปัจจยตาเป็นกฎธรรมชาติที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ใด ๆเหมือนกับกฎพระเจ้า[2]
อีกสำนักหนึ่งคือ “สำนักกฎหมายบ้านเมือง” มองว่ากฎหมายต้องแยกออกให้ชัดเจนระหว่างกฎหมายที่เป็นอยู่กับกฎหมายที่ควรจะเป็น กฎหมายธรรมชาติเป็นกฎหมายที่ควรจะเป็นไม่ใช่กฎหมายที่เป็นอยู่ กฎหมายที่มีผลบังคับได้ต้องออกโดยผู้มีอำนาจอธิปไตยสูงสุดของรัฐเท่านั้น และต้องดำเนินการอย่างถูกต้องตามกระบวนการนิติวิธีที่กำหนด การตีความกฎหมายต้องยึดถือถ้อยคำในตัวบทกฎหมายเป็นหลัก เรื่องอื่น ๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องศีลธรรม คุณธรรมหรือความยุติธรรม ถือว่าเป็นเรื่องนอกกฎหมาย ความยุติธรรม คือ ความยุติธรรมตามที่กฎหมายกำหนดไว้ สิทธิจะมีได้ด้วยกฎหมายสร้างขึ้นและกฎหมายให้การรับรองเท่านั้น หามีสิทธิตามธรรมชาติไม่ [3]
สำหรับประเทศไทยเรา แม้จะได้ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธแต่แนวความคิดเรื่องกฎหมายกับความยุติธรรมดูเหมือนจะโน้มเอียงไปในทางสำนักกฎหมายบ้านเมืองมากกว่า โดยนักกฎหมายไทยส่วนใหญ่จะมีความเห็นกันว่าเมื่อมีกฎหมายบัญญัติเรื่องใดไว้แล้วก็ถือว่ายุติตามนั้น ศาลต้องวินิจฉัยชี้ขาดคดีไปตามตัวบทกฎหมายที่บัญญัติไว้ จะแก้ไขหรือบัญญัติกฎหมายขึ้นเองไม่ได้ แม้จะเห็นว่ากฎหมายนั้นไม่เป็นธรรมก็ตาม เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ตัวอย่างภาพสะท้อนแนวคิดความเชื่อดังกล่าว เช่น
คำสอนของพระองค์เจ้ารพีพัฒน์ที่ว่า“กฎหมายคือ คำสั่งทั้งหลายของผู้ปกครองต่อราษฎรทั้งหลาย เมื่อไม่ทำตามแล้วตามธรรมดาต้องโทษ” หรือ “เราจะต้องระวังอย่าเอากฎหมายไปปนกับความดี ความชั่ว หรือความยุติธรรม กฎหมายเป็นคำสั่งหรือเป็นแบบที่เราจะต้องประพฤติตาม...กฎหมายนั้นเกิดขึ้นได้แห่งเดียวคือ จากผู้ปกครองแผ่นดิน หรือที่ผู้ปกครองแผ่นดินอนุญาตเท่านั้น”[4]
นอกจากนั้น ยังปรากฏในคำพิพากษาศาลฎีกาอีก เช่น
คำพิพากษาฎีกา ที่ ๑๑๔/๒๔๕๙ ได้วินิจฉัยไว้ตอนหนึ่งว่า “ ความยุติธรรม แปลว่า ความประพฤติอันชอบด้วยพระราชกำหนดกฎหมายเท่านั้น ความเห็นส่วนตัวของบุคคลย่อมแปรปรวนไปต่าง ๆมียุติธรรมไม่ได้เลย”
คำพิพากษาฎีกา ที่ ๑๒/๒๕๒๑ วินิจฉัยไว้ว่า “ข้ออ้างเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมนั้น จะต้องเป็นไปเพื่อคู่ความทั้งสองฝ่าย มิใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งและต้องเป็นไปตามกฎหมายด้วย” [5]
นอกจากนั้น รัฐธรรมนูญของไทยในอดีตที่ผ่านมาก็มักจะบัญญัติเป็นหลักการไว้อย่างชัดเจนว่า ในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีต้องดำเนินการตาม “กฎหมาย” เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ มาตรา ๑๘๖ บัญญัติไว้ว่า “การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาล ซึ่งต้องดำเนินการตาม กฎหมายและในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์” เป็นต้น
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น คงจะเนื่องมาจากบุคคลสำคัญในแวดวงนักกฎหมายไทยในอดีตเรียนจบจากประเทศในแถบยุโรปโดยเฉพาะอังกฤษซึ่งถือเป็นบ่อเกิดแห่งสำนักกฎหมายบ้านเมือง
อย่างไรก็ตาม ก็มีนักกฎหมายและนักคิดนักปราชญ์ของไทยจำนวนไม่น้อยที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับแนวคิดของสำนักกฎหมายบ้านเมือง แต่มีความเห็นค่อนไปในทางแนวคิดของสำนักกฎหมายธรรมชาติที่แนบอิงอยู่กับพุทธศาสนาอย่างใกล้ชิด ดังปรากฏตามคำกล่าวที่สะท้อนออกมาให้ได้ยินได้ฟังกันบ่อยครั้ง คือ “กฎหมายไม่ใช่ตัวความยุติธรรม แต่เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้เกิดความยุติธรรมเท่านั้น” ซึ่งต่อมาได้มีการพยายามผลักดันให้นำหลักการแนวคิดดังกล่าวไปบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ดังปรากฏร่องรอยให้เห็นในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ หลายมาตรา เช่น มาตรา ๒๗ บัญญัติว่า “สิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้โดยชัดแจ้ง โดยปริยายหรือโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมได้รับการคุ้มครอง และผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐโดยตรงในการตรากฎหมาย ในการบังคับใช้กฎหมายและการตีความกฎหมายทั้งปวง” และมาตรา ๒๓๓ บัญญัติไว้ว่า “ การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาล ซึ่งต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ” ซึ่งมีผู้รู้ให้ความเห็นไว้ว่า การกำหนดให้ศาลตัดสินคดีตามรัฐธรรมนูญด้วย ทำให้ศาลต้องคำนึงถึง “สิทธิเสรีภาพ” ของประชาชนเป็นสำคัญ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากอิทธิพลแนวคิดของสำนักกฎหมายธรรมชาตินั่นเอง [6]
ปัจจุบัน แนวคิดของสำนักกฎหมายธรรมชาติยังได้รุกคืบก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๙๗ บัญญัติไว้ว่า “การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาล ซึ่งต้องดำเนินการให้เป็นไปโดยยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ” จึงมีปัญหาน่าคิดว่าโดยผลแห่งรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าว หากศาลเห็นว่ารัฐธรรมนูญหรือกฎหมายกับความยุติธรรมขัดแย้งกันศาลจะมีอำนาจใช้ดุลพินิจตัดสินคดีโดยยึดถือหลักความยุติธรรมแต่ไม่สอดคล้องหรือขัดแย้งกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายได้หรือไม่ อย่างไร
ในมุมมองของผู้เขียนเห็นว่าน่าจะไม่ได้ เพราะหากพิจารณาถ้อยคำในรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๕๐ มาตรา ๑๙๗ จะเห็นได้ว่าแทบจะไม่มีนัยยะความหมายแตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐ มาตรา ๒๓๓ เลย การเพิ่มถ้อยคำที่ว่า “โดยยุติธรรม” เข้าไป ก็คงจะมีผลเพียงแค่เป็นการเน้นย้ำหรือเตือนสติผู้บังคับใช้กฎหมายให้ระลึกอยู่เสมอว่า การตีความรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายต้องคำนึงถึงความยุติธรรมเป็นเป้าหมายสูงสุดเท่านั้น คงไม่สามารถตีความขยายไปถึงขั้นให้ศาลตัดสินคดีด้วยการยึดหลักความยุติธรรมเป็นที่ตั้งโดยไม่คำนึงถึงตัวบทกฎหมายได้
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับแนวคิดของสำนักกฎหมายธรรมชาติที่เห็นว่า ความยุติธรรมต้องมาก่อนกฎหมาย จะถือว่ากฎหมายคือ ความยุติธรรมที่เด็ดขาดในทุกเรื่องทุกกรณีไม่ได้ เพราะกฎหมายเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น จึงอาจเกิดข้อผิดพลาดทำให้ไม่สอดคล้องสัมพันธ์กับกฎธรรมชาติหรือความยุติธรรมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดพลาดที่เกิดจากอคติทั้งสี่ อันได้แก่ ฉันทาคติ โทสาคติ ภยาคติและโมหาคติ นอกจากนั้น ยังเห็นว่าในความเป็นจริงแล้วการใช้ภาษาของมนุษย์ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ย่อมมีข้อจำกัดอยู่ในตัวที่ไม่สามารถบัญญัติกฎหมายให้ครอบคลุมได้อย่างชัดเจนในทุกเรื่องทุกประเด็นได้
แต่ปัญหาก็คือว่า คำว่า “ความยุติธรรม” นั้น บางครั้งบางเรื่อง อาจมีความคิดความเห็นที่แตกต่างกันได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยเงื่อนไข ต่าง ๆมากมาย อีกทั้งในทางปฏิบัติที่เป็นจริงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะนำแนวคิดดังกล่าวไปปรับใช้ เหตุผลเพราะว่าต้องยอมรับความจริงว่า กฎหมายเกิดขึ้นเนื่องจากมีความขัดแย้งในสังคม มนุษย์จึงคิดสร้างกฎหมายขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการยุติความขัดแย้งทั้งหลายทั้งปวง การใช้กฎหมายตัดสินแก้ไขปัญหาในแทบทุกเรื่องทุกคดี จึงย่อมมีทั้งคนได้คนเสียเสมอ ซึ่งคำถามที่มักจะตามมาก็คือ คำว่า ความยุติธรรมที่ว่านั้น หมายถึง ความยุติธรรมของใครและเพื่อใคร
อย่าว่าแต่กฎหมายที่ผู้คนในสังคมเห็นว่า วิปริตหรือสร้างความ อยุติธรรมขั้นร้ายแรงเลย แม้แต่กฎหมายที่ทุกคนยอมรับว่าน่าจะมีความยุติธรรมเป็นอย่างดี แต่เมื่อนำไปปรับใช้กับบางเรื่องบางคดีอาจกลับกลายเป็นความไม่ยุติธรรมไป ตัวอย่างเช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๓๓ บัญญัติเป็นหลักการไว้ว่า “ทายาทโดยธรรมในลำดับเดียวกัน ชอบที่จะได้รับส่วนแบ่งมรดกเท่ากัน” ซึ่งมองดูเผิน ๆจะเห็นได้ว่าน่าจะเป็นหลักการที่ถูกต้องเป็นธรรมแล้ว แต่สมมุติว่ามีครอบครัวหนึ่งฐานะค่อนข้างยากจน มีลูก ๒ คน คนโตไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ ต้องทนลำบากยากแค้นอย่างแสนสาหัสช่วยพ่อแม่หาเงินเพื่อส่งน้องเรียนจนจบปริญญาและมีหน้าที่การงานที่ดี รายได้สูง ปรากฏว่าหลังพ่อแม่เสียชีวิต ลูกทั้งสองคนทะเลาะขัดแย้งกันไม่สามารถตกลงแบ่งมรดกกันได้ จึงนำเรื่องขึ้นสู่ศาล ศาลจึงตัดสินคดีไปตามกฎหมายด้วยการแบ่งทรัพย์มรดกให้คนละกึ่งหนึ่ง คำถามก็คือว่า เกิดความยุติธรรมต่อทายาทผู้พี่หรือไม่
จากตัวอย่างดังกล่าว จะเห็นได้ว่าในความเป็นจริงแล้วเราคงไม่สามารถเขียนกฎหมายให้เกิดความยุติธรรมกับทุกคนได้ คำกล่าวในลักษณะประชดประชันที่ว่า “ความยุติธรรมที่แท้จริงไม่มีในโลก” นั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินความจริงเลยสำหรับปุถุชนคนธรรมดาที่ยังไม่หลุดพ้น ความยุติธรรมที่แท้จริงนั้นหากจะมีได้ก็คงจะได้แก่ “การให้ความยุติธรรมกับตัวเอง” ด้วยการนำหลักการแนวคิดแห่งศาสนามาปรับใช้ เช่น การรู้จักปล่อยวาง ให้อภัย มีเมตตา เสียสละ ฯลฯ เป็นต้น แล้วเราจะแก้ไขปัญหากันอย่างไร
ในทรรศนะของผู้เขียนมองว่า แนวทางแก้ไขปัญหาน่าจะได้แก่ การบัญญัติกฎหมายให้มีลักษณะที่เปิดกว้างและมีความยืดหยุ่นให้มากที่สุด มีหลักการและข้อยกเว้นที่เหมาะสม เราต้องสร้างกฎหมายให้มีชีวิตหรือจิตวิญญาณ (Spirit)[7] สามารถเจริญเติบโตนำไปปรับใช้เพื่อก่อให้เกิดความยุติธรรมได้ในทุกสถานการณ์ของสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่มีข้อจำกัด หากเราบัญญัติกฎหมายที่มีลักษณะผูกมัดตายตัว ไม่มีข้อยกเว้นใด ๆแล้ว บางสถานการณ์อาจถึงทางตันและฝ่ายที่เห็นว่าตนเองไม่ได้รับความยุติธรรมย่อมพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายนั้น ซึ่งแนวโน้มที่จะมีการแก้ไขกฎหมายในลักษณะเด็ดขาดตายตัวสุดขั้วไปทางแนวคิดอีกฟากฝั่งหนึ่งย่อมมีอยู่สูงยิ่ง ท้ายที่สุดอีกฝ่ายหนึ่งก็จะพยายามต่อสู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายกันอีก กลับไปกลับมาไม่มีที่สิ้นสุดและการต่อสู้ก็คงจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
สำหรับปัญหาที่ว่า ความเห็นส่วนตัวของบุคคลย่อมแปรปรวนไปต่าง ๆมียุติธรรมไม่ได้เลยหรือผู้ใช้กฎหมายบางคนอาจใช้กฎหมายไปในทางทุจริตคิดมิชอบนั้น ก็คงต้องคิดหามาตรการแก้ไขที่ “คน” ไม่ว่าจะด้วยการพัฒนาให้ความรู้ เพิ่มพูนปัญญา ฝึกฝนพัฒนาจิตหรือคิดสร้างระบบคานดุลตรวจสอบที่เหมาะสม เอาจริงเอาจัง อย่างเฉียบขาดกับนักกฎหมายที่ทำตัวเป็นกาฝากในกระบวนการยุติธรรม
หากเราตั้งข้อสมมุติฐานด้วยการไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ “ผู้ใช้กฎหมาย” แล้ว ก็คงจะถูกโต้แย้งในทำนองเดียวกันว่าในเมื่อ “ผู้ทำหน้าที่บัญญัติกฎหมาย” ก็เป็นคนเหมือนกันแล้วเราจะเชื่อใจได้อย่างไรว่า กฎหมายที่ออกมานั้นไม่ได้เกิดจากความคิดความเห็นที่วิปริตแปรปรวนหรือแฝงเร้นด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ ท้ายที่สุดการแก้ไขปัญหาก็จะอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า พายเรือในอ่าง โทษกันไปโทษกันมาไม่มีที่สิ้นสุด
นอกจากนั้น ยังเห็นว่าในระบบรัฐสภานั้นดูเหมือนว่า ฝ่ายนิติบัญญัติจะมีอำนาจออกกฎหมายได้อย่างไม่มีขอบเขต ในอังกฤษถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า Parliament may legally make or unmake any law whatsoever[8] คือ รัฐสภามีอำนาจที่จะออกกฎหมายหรือไม่ออกกฎหมายใด ๆก็ได้ สำหรับประเทศไทยก็เป็นที่รู้กันดีว่า ด้วยปัจจัยเงื่อนไขต่าง ๆมากมาย ทำให้มีผู้แทนในรัฐสภาจำนวนไม่น้อยที่เข้าไปด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องชอบธร
ความยุติธรรมของประเทศไทย
กฎหมายกับความยุติธรรม
กฎหมายกับความยุติธรรม
แนวคิดเรื่องกฎหมายกับความยุติธรรมที่สำคัญและมีอิทธิพลต่อสังคมไทยมีอยู่ ๒ สำนักซึ่งแตกต่างกัน คือ “สำนักกฎหมายธรรมชาติ” มองว่ากฎหมายที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้นมิใช่กฎสูงสุดแต่เป็นกฎที่อยู่ภายใต้กฎธรรมชาติ การตีความกฎหมายจึงต้องให้ความสำคัญกับความยุติธรรมที่ถูกต้องแท้จริงสอดคล้องกับกฎธรรมชาติมากยิ่งกว่าตัวบทกฎหมายตามลายลักษณ์อักษร ส่วนกฎธรรมชาติจะมีที่มาหรือลักษณะอย่างไรนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับศาสนา ลัทธิ หรือความเชื่อของแต่ละสังคม อย่างเช่น ศาสนาคริสต์ ฮินดู พราหมณ์หรืออิสลาม จะมีความเชื่อในกฎของพระเจ้า ส่วนศาสนาพุทธนั้น ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยกล่าวไว้ว่า กฎอิทัปปัจจยตาเป็นกฎธรรมชาติที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ใด ๆเหมือนกับกฎพระเจ้า[2]
อีกสำนักหนึ่งคือ “สำนักกฎหมายบ้านเมือง” มองว่ากฎหมายต้องแยกออกให้ชัดเจนระหว่างกฎหมายที่เป็นอยู่กับกฎหมายที่ควรจะเป็น กฎหมายธรรมชาติเป็นกฎหมายที่ควรจะเป็นไม่ใช่กฎหมายที่เป็นอยู่ กฎหมายที่มีผลบังคับได้ต้องออกโดยผู้มีอำนาจอธิปไตยสูงสุดของรัฐเท่านั้น และต้องดำเนินการอย่างถูกต้องตามกระบวนการนิติวิธีที่กำหนด การตีความกฎหมายต้องยึดถือถ้อยคำในตัวบทกฎหมายเป็นหลัก เรื่องอื่น ๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องศีลธรรม คุณธรรมหรือความยุติธรรม ถือว่าเป็นเรื่องนอกกฎหมาย ความยุติธรรม คือ ความยุติธรรมตามที่กฎหมายกำหนดไว้ สิทธิจะมีได้ด้วยกฎหมายสร้างขึ้นและกฎหมายให้การรับรองเท่านั้น หามีสิทธิตามธรรมชาติไม่ [3]
สำหรับประเทศไทยเรา แม้จะได้ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธแต่แนวความคิดเรื่องกฎหมายกับความยุติธรรมดูเหมือนจะโน้มเอียงไปในทางสำนักกฎหมายบ้านเมืองมากกว่า โดยนักกฎหมายไทยส่วนใหญ่จะมีความเห็นกันว่าเมื่อมีกฎหมายบัญญัติเรื่องใดไว้แล้วก็ถือว่ายุติตามนั้น ศาลต้องวินิจฉัยชี้ขาดคดีไปตามตัวบทกฎหมายที่บัญญัติไว้ จะแก้ไขหรือบัญญัติกฎหมายขึ้นเองไม่ได้ แม้จะเห็นว่ากฎหมายนั้นไม่เป็นธรรมก็ตาม เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ตัวอย่างภาพสะท้อนแนวคิดความเชื่อดังกล่าว เช่น
คำสอนของพระองค์เจ้ารพีพัฒน์ที่ว่า“กฎหมายคือ คำสั่งทั้งหลายของผู้ปกครองต่อราษฎรทั้งหลาย เมื่อไม่ทำตามแล้วตามธรรมดาต้องโทษ” หรือ “เราจะต้องระวังอย่าเอากฎหมายไปปนกับความดี ความชั่ว หรือความยุติธรรม กฎหมายเป็นคำสั่งหรือเป็นแบบที่เราจะต้องประพฤติตาม...กฎหมายนั้นเกิดขึ้นได้แห่งเดียวคือ จากผู้ปกครองแผ่นดิน หรือที่ผู้ปกครองแผ่นดินอนุญาตเท่านั้น”[4]
นอกจากนั้น ยังปรากฏในคำพิพากษาศาลฎีกาอีก เช่น
คำพิพากษาฎีกา ที่ ๑๑๔/๒๔๕๙ ได้วินิจฉัยไว้ตอนหนึ่งว่า “ ความยุติธรรม แปลว่า ความประพฤติอันชอบด้วยพระราชกำหนดกฎหมายเท่านั้น ความเห็นส่วนตัวของบุคคลย่อมแปรปรวนไปต่าง ๆมียุติธรรมไม่ได้เลย”
คำพิพากษาฎีกา ที่ ๑๒/๒๕๒๑ วินิจฉัยไว้ว่า “ข้ออ้างเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมนั้น จะต้องเป็นไปเพื่อคู่ความทั้งสองฝ่าย มิใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งและต้องเป็นไปตามกฎหมายด้วย” [5]
นอกจากนั้น รัฐธรรมนูญของไทยในอดีตที่ผ่านมาก็มักจะบัญญัติเป็นหลักการไว้อย่างชัดเจนว่า ในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีต้องดำเนินการตาม “กฎหมาย” เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ มาตรา ๑๘๖ บัญญัติไว้ว่า “การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาล ซึ่งต้องดำเนินการตาม กฎหมายและในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์” เป็นต้น
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น คงจะเนื่องมาจากบุคคลสำคัญในแวดวงนักกฎหมายไทยในอดีตเรียนจบจากประเทศในแถบยุโรปโดยเฉพาะอังกฤษซึ่งถือเป็นบ่อเกิดแห่งสำนักกฎหมายบ้านเมือง
อย่างไรก็ตาม ก็มีนักกฎหมายและนักคิดนักปราชญ์ของไทยจำนวนไม่น้อยที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับแนวคิดของสำนักกฎหมายบ้านเมือง แต่มีความเห็นค่อนไปในทางแนวคิดของสำนักกฎหมายธรรมชาติที่แนบอิงอยู่กับพุทธศาสนาอย่างใกล้ชิด ดังปรากฏตามคำกล่าวที่สะท้อนออกมาให้ได้ยินได้ฟังกันบ่อยครั้ง คือ “กฎหมายไม่ใช่ตัวความยุติธรรม แต่เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้เกิดความยุติธรรมเท่านั้น” ซึ่งต่อมาได้มีการพยายามผลักดันให้นำหลักการแนวคิดดังกล่าวไปบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ดังปรากฏร่องรอยให้เห็นในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ หลายมาตรา เช่น มาตรา ๒๗ บัญญัติว่า “สิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้โดยชัดแจ้ง โดยปริยายหรือโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมได้รับการคุ้มครอง และผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐโดยตรงในการตรากฎหมาย ในการบังคับใช้กฎหมายและการตีความกฎหมายทั้งปวง” และมาตรา ๒๓๓ บัญญัติไว้ว่า “ การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาล ซึ่งต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ” ซึ่งมีผู้รู้ให้ความเห็นไว้ว่า การกำหนดให้ศาลตัดสินคดีตามรัฐธรรมนูญด้วย ทำให้ศาลต้องคำนึงถึง “สิทธิเสรีภาพ” ของประชาชนเป็นสำคัญ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากอิทธิพลแนวคิดของสำนักกฎหมายธรรมชาตินั่นเอง [6]
ปัจจุบัน แนวคิดของสำนักกฎหมายธรรมชาติยังได้รุกคืบก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๙๗ บัญญัติไว้ว่า “การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาล ซึ่งต้องดำเนินการให้เป็นไปโดยยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ” จึงมีปัญหาน่าคิดว่าโดยผลแห่งรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าว หากศาลเห็นว่ารัฐธรรมนูญหรือกฎหมายกับความยุติธรรมขัดแย้งกันศาลจะมีอำนาจใช้ดุลพินิจตัดสินคดีโดยยึดถือหลักความยุติธรรมแต่ไม่สอดคล้องหรือขัดแย้งกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายได้หรือไม่ อย่างไร
ในมุมมองของผู้เขียนเห็นว่าน่าจะไม่ได้ เพราะหากพิจารณาถ้อยคำในรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๕๐ มาตรา ๑๙๗ จะเห็นได้ว่าแทบจะไม่มีนัยยะความหมายแตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐ มาตรา ๒๓๓ เลย การเพิ่มถ้อยคำที่ว่า “โดยยุติธรรม” เข้าไป ก็คงจะมีผลเพียงแค่เป็นการเน้นย้ำหรือเตือนสติผู้บังคับใช้กฎหมายให้ระลึกอยู่เสมอว่า การตีความรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายต้องคำนึงถึงความยุติธรรมเป็นเป้าหมายสูงสุดเท่านั้น คงไม่สามารถตีความขยายไปถึงขั้นให้ศาลตัดสินคดีด้วยการยึดหลักความยุติธรรมเป็นที่ตั้งโดยไม่คำนึงถึงตัวบทกฎหมายได้
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับแนวคิดของสำนักกฎหมายธรรมชาติที่เห็นว่า ความยุติธรรมต้องมาก่อนกฎหมาย จะถือว่ากฎหมายคือ ความยุติธรรมที่เด็ดขาดในทุกเรื่องทุกกรณีไม่ได้ เพราะกฎหมายเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น จึงอาจเกิดข้อผิดพลาดทำให้ไม่สอดคล้องสัมพันธ์กับกฎธรรมชาติหรือความยุติธรรมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดพลาดที่เกิดจากอคติทั้งสี่ อันได้แก่ ฉันทาคติ โทสาคติ ภยาคติและโมหาคติ นอกจากนั้น ยังเห็นว่าในความเป็นจริงแล้วการใช้ภาษาของมนุษย์ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ย่อมมีข้อจำกัดอยู่ในตัวที่ไม่สามารถบัญญัติกฎหมายให้ครอบคลุมได้อย่างชัดเจนในทุกเรื่องทุกประเด็นได้
แต่ปัญหาก็คือว่า คำว่า “ความยุติธรรม” นั้น บางครั้งบางเรื่อง อาจมีความคิดความเห็นที่แตกต่างกันได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยเงื่อนไข ต่าง ๆมากมาย อีกทั้งในทางปฏิบัติที่เป็นจริงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะนำแนวคิดดังกล่าวไปปรับใช้ เหตุผลเพราะว่าต้องยอมรับความจริงว่า กฎหมายเกิดขึ้นเนื่องจากมีความขัดแย้งในสังคม มนุษย์จึงคิดสร้างกฎหมายขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการยุติความขัดแย้งทั้งหลายทั้งปวง การใช้กฎหมายตัดสินแก้ไขปัญหาในแทบทุกเรื่องทุกคดี จึงย่อมมีทั้งคนได้คนเสียเสมอ ซึ่งคำถามที่มักจะตามมาก็คือ คำว่า ความยุติธรรมที่ว่านั้น หมายถึง ความยุติธรรมของใครและเพื่อใคร
อย่าว่าแต่กฎหมายที่ผู้คนในสังคมเห็นว่า วิปริตหรือสร้างความ อยุติธรรมขั้นร้ายแรงเลย แม้แต่กฎหมายที่ทุกคนยอมรับว่าน่าจะมีความยุติธรรมเป็นอย่างดี แต่เมื่อนำไปปรับใช้กับบางเรื่องบางคดีอาจกลับกลายเป็นความไม่ยุติธรรมไป ตัวอย่างเช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๓๓ บัญญัติเป็นหลักการไว้ว่า “ทายาทโดยธรรมในลำดับเดียวกัน ชอบที่จะได้รับส่วนแบ่งมรดกเท่ากัน” ซึ่งมองดูเผิน ๆจะเห็นได้ว่าน่าจะเป็นหลักการที่ถูกต้องเป็นธรรมแล้ว แต่สมมุติว่ามีครอบครัวหนึ่งฐานะค่อนข้างยากจน มีลูก ๒ คน คนโตไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ ต้องทนลำบากยากแค้นอย่างแสนสาหัสช่วยพ่อแม่หาเงินเพื่อส่งน้องเรียนจนจบปริญญาและมีหน้าที่การงานที่ดี รายได้สูง ปรากฏว่าหลังพ่อแม่เสียชีวิต ลูกทั้งสองคนทะเลาะขัดแย้งกันไม่สามารถตกลงแบ่งมรดกกันได้ จึงนำเรื่องขึ้นสู่ศาล ศาลจึงตัดสินคดีไปตามกฎหมายด้วยการแบ่งทรัพย์มรดกให้คนละกึ่งหนึ่ง คำถามก็คือว่า เกิดความยุติธรรมต่อทายาทผู้พี่หรือไม่
จากตัวอย่างดังกล่าว จะเห็นได้ว่าในความเป็นจริงแล้วเราคงไม่สามารถเขียนกฎหมายให้เกิดความยุติธรรมกับทุกคนได้ คำกล่าวในลักษณะประชดประชันที่ว่า “ความยุติธรรมที่แท้จริงไม่มีในโลก” นั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินความจริงเลยสำหรับปุถุชนคนธรรมดาที่ยังไม่หลุดพ้น ความยุติธรรมที่แท้จริงนั้นหากจะมีได้ก็คงจะได้แก่ “การให้ความยุติธรรมกับตัวเอง” ด้วยการนำหลักการแนวคิดแห่งศาสนามาปรับใช้ เช่น การรู้จักปล่อยวาง ให้อภัย มีเมตตา เสียสละ ฯลฯ เป็นต้น แล้วเราจะแก้ไขปัญหากันอย่างไร
ในทรรศนะของผู้เขียนมองว่า แนวทางแก้ไขปัญหาน่าจะได้แก่ การบัญญัติกฎหมายให้มีลักษณะที่เปิดกว้างและมีความยืดหยุ่นให้มากที่สุด มีหลักการและข้อยกเว้นที่เหมาะสม เราต้องสร้างกฎหมายให้มีชีวิตหรือจิตวิญญาณ (Spirit)[7] สามารถเจริญเติบโตนำไปปรับใช้เพื่อก่อให้เกิดความยุติธรรมได้ในทุกสถานการณ์ของสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่มีข้อจำกัด หากเราบัญญัติกฎหมายที่มีลักษณะผูกมัดตายตัว ไม่มีข้อยกเว้นใด ๆแล้ว บางสถานการณ์อาจถึงทางตันและฝ่ายที่เห็นว่าตนเองไม่ได้รับความยุติธรรมย่อมพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายนั้น ซึ่งแนวโน้มที่จะมีการแก้ไขกฎหมายในลักษณะเด็ดขาดตายตัวสุดขั้วไปทางแนวคิดอีกฟากฝั่งหนึ่งย่อมมีอยู่สูงยิ่ง ท้ายที่สุดอีกฝ่ายหนึ่งก็จะพยายามต่อสู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายกันอีก กลับไปกลับมาไม่มีที่สิ้นสุดและการต่อสู้ก็คงจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
สำหรับปัญหาที่ว่า ความเห็นส่วนตัวของบุคคลย่อมแปรปรวนไปต่าง ๆมียุติธรรมไม่ได้เลยหรือผู้ใช้กฎหมายบางคนอาจใช้กฎหมายไปในทางทุจริตคิดมิชอบนั้น ก็คงต้องคิดหามาตรการแก้ไขที่ “คน” ไม่ว่าจะด้วยการพัฒนาให้ความรู้ เพิ่มพูนปัญญา ฝึกฝนพัฒนาจิตหรือคิดสร้างระบบคานดุลตรวจสอบที่เหมาะสม เอาจริงเอาจัง อย่างเฉียบขาดกับนักกฎหมายที่ทำตัวเป็นกาฝากในกระบวนการยุติธรรม
หากเราตั้งข้อสมมุติฐานด้วยการไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ “ผู้ใช้กฎหมาย” แล้ว ก็คงจะถูกโต้แย้งในทำนองเดียวกันว่าในเมื่อ “ผู้ทำหน้าที่บัญญัติกฎหมาย” ก็เป็นคนเหมือนกันแล้วเราจะเชื่อใจได้อย่างไรว่า กฎหมายที่ออกมานั้นไม่ได้เกิดจากความคิดความเห็นที่วิปริตแปรปรวนหรือแฝงเร้นด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ ท้ายที่สุดการแก้ไขปัญหาก็จะอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า พายเรือในอ่าง โทษกันไปโทษกันมาไม่มีที่สิ้นสุด
นอกจากนั้น ยังเห็นว่าในระบบรัฐสภานั้นดูเหมือนว่า ฝ่ายนิติบัญญัติจะมีอำนาจออกกฎหมายได้อย่างไม่มีขอบเขต ในอังกฤษถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า Parliament may legally make or unmake any law whatsoever[8] คือ รัฐสภามีอำนาจที่จะออกกฎหมายหรือไม่ออกกฎหมายใด ๆก็ได้ สำหรับประเทศไทยก็เป็นที่รู้กันดีว่า ด้วยปัจจัยเงื่อนไขต่าง ๆมากมาย ทำให้มีผู้แทนในรัฐสภาจำนวนไม่น้อยที่เข้าไปด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องชอบธร