🌟💦⚡️ [ถุงมือนักเขียน - FINAL] เรื่องที่ 8 " อนาคตของพวกเรา " โดย " ถุงมืออัตโนมัติ " ครับ ⚡️💦🌟

กระทู้คำถาม


เลิกงานแล้ว พักผ่อนเล็กน้อย แล้วก็วางเรื่องที่ 8 เลยครับ ^^

เรื่องนี้ ชื่อเรื่องน่าสนใจ ชวนติดตามว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร ? "พวกเรา" ที่ว่านี่ คือ พวกไหน ?

มาค้นหาคำตอบกันครับ...อมยิ้ม04หัวใจดอกไม้

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------







ยาจก

        “เฮ้ย ไอ้ยาจก เด็กนั่นขายเท่าไหร่”

        เสียงตะโกนดังมาจากรถยนต์ที่จอดอย่างกะทันหัน ข้างๆแม่กับลูกสาวที่เดินอยู่ริมถนน ผู้เป็นแม่รีบดันลูกสาวให้ไปแอบหลบข้างหลัง ก่อนจะตอบด้วยเสียงหวาดกลัว

    “ไม่ขาย”

    รถยนต์คันนั้นเป็นรถยนต์สปอร์ตแบบใช้น้ำมัน ซึ่งพบเห็นได้ยาก เพราะรถส่วนใหญ่ที่วิ่งอยู่บนถนนจะเป็นรถที่ใช้ไฟฟ้า รถยนต์ที่ใช้น้ำมันนั้นมีราคาแพงมาก มีก็แต่มหาเศรษฐีเท่านั้นที่จะมีใช้

    “อีนี่ อย่าโง่สิวะ กูให้ล้านนึง ขอซื้อไอ้เด็กคนนั้น”

    ชายสูงอายุแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพง เจ้าของรถยนต์สปอร์ตยังคงตะโกนถามอีก วิไลแม่ของเด็กสาวคนนั้นเริ่มเดินถอยหลังหนี โดยยังคงใช้ร่างกายอันผอมแห้งบังลูกสาวเอาไว้

    “ไม่ขาย”

    เธอยังคงตอบด้วยคำเดิม เงินหนึ่งล้านหน่วยนั้นนับว่ามากโข มันมากเท่าๆกับค่าแรงขั้นต่ำทั้งปีตามมาตรฐานของรัฐ เป็นเงินที่เธอไม่เคยมีโอกาสเห็นเลยในชีวิต มากพอที่จะใช้ยาไส้คนทั้งครอบครัวสามคนคือ เธอสามีและลูกสาวได้หลายปี ถ้าใช้อย่างประหยัด ไม่ใช่สิ ถ้าเธอขายลูกไปแล้วก็จะเหลือเพียงสองปากท้องเท่านั้นในครอบครัว

    “อียาจก โง่ chipหาย อดอยากต่อไปเหอะ”

    ชายสูงอายุผู้ขับรถสปอร์ตปิดประตูรถเสียงดัง ก่อนจะออกรถไปอย่างรวดเร็วจนฝุ่นบนถนนฟุ้งกระจาย

    วิไลถอนใจ ก่อนจะจูงแก้วลูกสาววัยสิบสามปีเดินลงไปตามไหล่ถนน สองแม่ลูกเดินเก็บผักหญ้าที่พอจะกินได้ ใส่ถุงผ้าที่สะพายกันมาคนละใบ แก้วนั้นเป็นเด็กที่กำลังโตเป็นสาว ผิวขาวตากลมโต ดูเด่นมากสำหรับพวกยาจกทั้งหลายที่เดินหาของกินกันอยู่ทั่วไป

    ยาจก เป็นคำที่เศรษฐีใช้เรียกกลุ่มคนจนซึ่งมีมากมายในรัฐ คนแบบเดียวกับพวกของวิไล คนที่พ่ายแพ้ในชีวิต คนที่ไม่มีโอกาสจะมีงานทำ มีผู้คนราวๆเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของรัฐเป็นยาจก ต้องรอรับสวัสดิการจากรัฐ โดยจะได้รับแจกเงินคนละหนึ่งพันหน่วย ข้าวสารคนละหนึ่งกิโลกรัม และโปรตีนก้อนหนึ่งก้อน ต่อเดือน เพื่อให้สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ และเงินหนึ่งพันหน่วยนั้นมีค่าเพียงซื้อบะหมี่สำเร็จรูปได้เพียงสี่ซองเท่านั้น

    เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเมื่อเกือบศตวรรษมาแล้ว เมื่อนายทุนต่างร่ำร้องว่าขาดแคลนแรงงาน ทั้งๆที่พลเมืองตกงานเป็นจำนวนมาก รัฐอนุญาตให้มีการนำเข้าแรงงานต่างด้าว ซึ่งในที่สุดก็เข้ามาแย่งงานของพลเมืองไปจนหมด ทำให้เกิดการประท้วงต่อต้านกันลามไปทั่วรัฐ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็เข้ามาแก้ไขปัญหาของนายทุน เมื่อรัฐยอมตามเสียงเรียกร้องของพลเมือง และขับไล่แรงงานต่างด้าวออกไป นายทุนก็หันมาใช้เครื่องจักรอัตโนมัติและหุ่นยนต์ เข้าทำงานแทนแรงงานคน ซึ่งมีปัญหามากมายทั้งเรื่องค่าจ้างที่แพง และสวัสดิการที่ต้องมีให้

    โรงงานทุกโรงงานในรัฐ มีคนทำงานรวมกันไม่ถึงหนึ่งล้านคน ในภาครัฐเอง การบริหารรัฐ ใช้พนักงานรัฐเพียงหมื่นกว่าคน ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ธุรกิจต่างๆ จ้างคนน้อยลงจนแทบจะเป็นหลักสิบต่อหนึ่งกิจการ ร้านสะดวกซื้อไม่มีพนักงานเลยสักคน ทุกอย่างใช้ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ทำงานแทนทั้งสิ้น คนแทบจะทั้งรัฐตกงาน คนที่มีรายได้มีเพียงจำนวนน้อยนิด

    แม้แต่กองกำลังรักษาความสงบ ก็เหลือเพียงผู้บังคับบัญชาระดับสูงจำนวนไม่มากนัก ที่เหลือเป็นหุ่นยนต์ทั้งสิ้น การควบคุมดูแลรักษากฎหมายและรักษารัฐ ใช้หุ่นยนต์รบอันทรงประสิทธิ์ภาพ และภาระหนักของการดูแลรักษากฎหมาย คือควบคุมพวกยาจกไม่ให้ทำผิดกฎหมาย กองกำลังหุ่นยนต์จะเข้าทำการปราบปรามอย่างเข้มงวดและรุนแรง เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยไว้ให้ได้ ดังนั้นพวกเศรษฐีก็สามารถจะขับรถยนต์ราคาแพงไปตามท้องถนนได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกปล้น

    “แม่จ๋า ตรงนี้มีผักบุ้งขึ้นเยอะเลย”

    แก้วส่งเสียงบอกแม่ ด้วยเสียงไม่ดังนัก การพบของที่กินได้ถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอันตราย เพราะอาจจะมียาจกด้วยกันเข้ามาแย่งชิงไปด้วยกำลังที่เหนือกว่า และหากมีเรื่องระหว่างยาจกด้วยกัน หุ่นยนต์มักจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย ยกเว้นจะรุนแรงจนเห็นว่าอาจจะกระทบต่อพวกเศรษฐีที่ผ่านไปมา

    วิไลกับแก้วช่วยกันเก็บผักบุ้งใส่ถุงผ้า และพากันเดินไปยังริมแม่น้ำสายใหญ่ ชาติพ่อของแก้วรอทั้งสองอยู่ในเรือซึ่งเป็นบ้านของครอบครัวนี้ เมื่อมีคนออกไปหาอาหาร ก็ต้องมีคนเฝ้าข้าวของอยู่ยังที่พัก สำหรับครอบครัวนี้โชคดีที่มีที่พักเป็นเรือลำเล็กๆซึ่งเป็นสมบัติมีค่าชิ้นเดียวที่ช่วยกันหามาได้ ยาจกส่วนใหญ่นั้นนอนตามข้างถนน ตามทุ่งหญ้าโล่งๆ ใต้สะพาน และทุกที่ที่หาได้

ชาตินั่งตกปลารอการกลับมาของเมียและลูกสาว วันนี้ทั้งวันได้ปลาตัวเล็กๆมาเพียงตัวเดียว ริมแม่น้ำมีคนนั่งตกปลากันเกือบเต็มพื้นที่ไปหมด ชาติลอยเรืออยู่ห่างตลิ่ง เมื่อเห็นเมียและลูกสาวเดินกลับมาก็พายเรือเข้าไปรับตรงที่ว่างที่พอมี

    เมื่อรับทั้งสองมาแล้วชาติก็พายเรือออกไปกลางน้ำ ล่องเรือไปหาที่ว่างพอจะผูกเรือ และปลอดภัยพอที่จะหยุดทำอาหารกินกัน สามคนพ่อแม่ลูกต้องกระเบียดกระเสียรกินข้าวสารและโปรตีนก้อน กับอาหารอื่นที่เสาะหามา ให้ชีวิตอยู่รอดไปได้ พ่อและแม่เสียสละให้ลูกได้กินอิ่ม จนแก้วเป็นเด็กสาวที่โตเต็มวัยได้อย่างสมบูรณ์ สมบูรณ์เสียจนเป็นอันตรายต่อตัวเธอเอง เด็กสาววัยแรกแย้มเบ่งบานสะพรั่ง ขาวและหน้าตาสะสวย เป็นที่สะดุดตาและสนใจของทั้งยาจกด้วยกัน และเศรษฐีที่ผ่านไปมา มีเศรษฐีขอซื้อแก้วมาหลายครั้งแล้ว

    เด็กสาวยาจกจำนวนมากถูกครอบครัวขายให้กับพวกเศรษฐี ซึ่งเด็กเหล่านี้จะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ได้กินอิ่ม ได้มีที่อยู่อาศัยสุขสบาย แลกกับการบำเรอกามให้กับพวกเศรษฐี จนกระทั่งหมดสภาพ ทรุดโทรม ก็จะถูกเฉดหัวทิ้ง โยนเงินให้ก้อนหนึ่งเพื่อให้ไปให้พ้นๆ หลายคนกลับมาหาครอบครัวเดิมไม่พบ ต้องเร่ร่อนอยู่ไปอย่างอดอยาก หลายคนกลับมาพบครอบครัวเดิม ซึ่งไม่ได้ดีขึ้นเลยจากเงินที่ขายพวกเธอไป และก็ได้รับการต้อนรับอย่างเสียไม่ได้ ด้วยจะต้องมีปากมีท้องมาแย่งอาหารของครอบครัว ชีวิตของพวกยาจกก็วนเวียนกันไปอย่างนี้ มืดจนไม่เคยเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ มันมืดไปตลอดเส้นทางจนกว่าจะตายไป

    “พี่ชาติ ๆ”

    เสียงเรียกพร้อมทั้งเสียงพายจ้วงน้ำดังเข้ามาใกล้ ชาติหันไปมองก็พบเจริญ ชายรุ่นน้องพายเรือของเขาพร้อมทั้งครอบครัวเข้ามาหา

    “มีอะไรเจริญ”

    ชาติถาม เจริญเหลียวซ้ายแลขวา เขามีสีหน้าเครียดๆก่อนพูดเบาๆ

    “พรุ่งนี้ค่ำ พี่ชาติไปที่เชิงสะพานเขียวนะ พวกเรามีเรื่องจะคุยกัน ใกล้เวลาแล้วล่ะ”

    ชาติพยักหน้า หนุ่มใหญ่รู้ดีว่าเจริญพูดถึงเรื่องอะไร หัวใจของเขาเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น

    “ได้ พรุ่งนี้จะรีบไป”

    ชายทั้งสองมองตากัน ดวงตาที่แห้งแล้งจากสังขารที่ขาดอาหารและความหวัง มีแววรุ่งโรจน์เล็กๆ ราวกับดวงไฟที่ปลายเล่มเทียนแรกจุดติด ซึ่งกำลังจะโชติช่วงสว่างไสวขึ้นมา


เศรษฐี

    ทรงภพ ไปไหนมาลูก แม่เป็นห่วง ทำไมไม่รับสัญญาณติดต่อของแม่”

    เด็กหนุ่มวัยรุ่นขมวดคิ้ว เมื่อมารดาซักถาม น่าเบื่อจริงๆ เขาคิดในใจ จะไปไหนก็เรื่องของกู ถามอยู่ได้ แต่ปากก็ตอบออกไปอย่างรวดเร็วว่า

    “เลิกเรียนแล้วภพไปหาเพื่อนฮะแม่ สัญญาณคงขัดข้องมั้งฮะ ได้ยินข่าวว่าไอ้ยาจกมันล้มเสาสัญญาณแถบตะวันออกของเมืองสองสามต้น”

    “อ้าว พวกเวรนี่ มันล้มเสาสัญญาณทำไมล่ะลูก”

    ผู้เป็นแม่ถามอีก ทรงภพรีบตอบเพราะจะรีบไปทำอย่างอื่น

    “ล้มเสาขโมยเหล็กเสาและอุปกรณ์มั้งฮะ เขาว่าพักนี้มันฮึกเหิมทำกันบ่อย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม่ฮะ ภพขอตัวไปห้องพักผ่อนก่อนฮะ”

    มารดาส่ายหัว แต่มองลูกด้วยแววตาเอ็นดู

    “แหม จะคุยกับแม่สักแป๊บก็ไม่ได้นะ เอาเถิด จะรีบไปก็ไป กำลังใหม่ๆนี่นะ”

    ทรงภพไม่ตอบมารดาแล้ว ใจของเด็กหนุ่มไปอยู่ที่ห้องพักผ่อนตั้งแต่ก่อนกลับถึงบ้านอีก สองวันก่อนบิดาของทรงภพฉลองวันเกิดลูกชาย ด้วยการไปซื้อเด็กสาวยาจกมาให้ใหม่คนหนึ่ง หน้าตาดีรูปร่างอวบอัด มอบให้เป็นของเล่นของทรงภพ เพื่อที่ลูกชายจะได้ไม่ไปเสียทีใครที่ไหนให้วุ่นวาย เพราะสังคมสมัยนี้ พวกสาวเศรษฐีด้วยกันก็ไล่จับหนุ่มน้อยเศรษฐีที่มีฐานะดีกว่ากันให้วุ่น และพวกสาวชนชั้นกลางหรือเด็กสาวที่มีงานทำ ก็ไล่จับหนุ่มเศรษฐีกันมากมาย เพื่อจะได้เลื่อนขั้นฐานะของตนขึ้นมาเป็นเศรษฐีบ้าง ซึ่งมันแทบจะเป็นหนทางเดียวในการเลื่อนฐานะ การจะทำมาหากินให้รวยขึ้นมาเองนั้น ไม่มีโอกาสสำหรับใครอีกแล้ว

    เพื่อเป็นการตัดปัญหา บิดาของทรงภพจึงให้ของขวัญวันเกิดลูกชายเป็นเด็กสาวยาจกหน้าตาดี เพื่อให้ลูกชายได้ใช้ความเป็นหนุ่มโดยไม่ต้องกังวล และมีสัญญากันว่าทรงภพจะต้องมีผลการเรียนที่ดี บิดาจึงจะซื้อคนใหม่ให้อีกคนเมื่อถึงวันเกิดครั้งต่อไป นี่ก็สามปีมาแล้วที่ทรงภพมีผลการเรียนที่ดี ในห้องพักผ่อนของเขาจึงมีเด็กสาวยาจกหน้าตาดีๆอยู่ถึงสามคน

    มารดาของทรงภพก็เห็นด้วย เพื่อเป็นการตัดปัญหาเรื่องลูกชาย แต่หญิงสูงอายุไม่เคยระแคะระคายเลยว่า จริงๆแล้วเด็กสาวยาจกในห้องพักผ่อนของลูกชายนั้น บางครั้งสามีของเธอก็แวะเวียนไปพักผ่อนกับลูกชายด้วย เรื่องลับๆของพ่อและลูกชาย สองคนนั้นก็ช่วยกันปกปิดไม่ให้แม่รู้

    บารมีพ่อของทรงภพเป็นสมาชิกสภาปกครองรัฐระดับสูง มีหน้าที่ควบคุมดูแลกองกำลังรักษาความสงบ ซึ่งระยะนี้มีความตึงเครียดเกี่ยวกับเรื่องของยาจก มีความวุ่นวายเกิดขึ้นหลายที่บ่อยครั้ง ทั้งหมดเป็นการทำลายทรัพย์สินของรัฐและขโมยของ ซึ่งสิ่งที่ทำความหนักใจให้กับสภาปกครองคือ ของที่ถูกขโมยนั้นไม่ใช่ของกิน สิ่งของเหล่านั้นมักจะเป็นโลหะ อุปกรณ์อีเลคโทรนิคส์ ไฟฟ้า มีกระทั่งหุ่นยนต์รบของกองกำลังรักษาความสงบ ที่ถูกทำลายแล้วถอดชิ้นส่วน ชิ้นส่วนนั้นรวมถึงอาวุธประจำกายด้วย

    มันเป็นเรื่องที่เศรษฐีทุกคนกลัว บทเรียนจากอดีตในการควบคุมพลเมืองของรัฐทั่วโลก เมื่อมีความไม่พอใจย่อมมีการต่อต้าน ผลจากการขับไล่แรงงานต่างด้าว พลเมืองเป็นฝ่ายชนะ รัฐต้องยอมแก้กฎหมาย แต่เมื่อมีการนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้งาน การปกครองของรัฐก็เปลี่ยน หุ่นยนต์ควบคุมพลเมืองได้ และนโยบายเลี้ยงไว้ไม่ให้อดอยาก กล่าวคือคนที่อดอยากย่อมมีแรงในการต่อสู้เอาชีวิตรอด หากปล่อยให้พลเมืองอดอยากย่อมมีสงคราม รัฐจึงแจกจ่ายเงินและอาหารให้ประทังชีวิต แจกจ่ายความหวังว่า หากไม่มีการลุกฮือ ก็จะยังคงมีข้าวกิน และความรุนแรงในการปราบปรามพวกไม่เชื่อฟัง ทำให้สามารถปกครองพวกยาจกเกือบเก้าสิบล้านคนให้สงบอยู่ได้

    แต่เรื่องที่เกิดขึ้นถี่ๆ แสดงให้เห็นว่าน่าจะมีขบวนการต่อต้านอำนาจรัฐเกิดขึ้นแล้ว

    “บารมี คุณมีความเห็นอย่างไรในข้อเสนอของพรรคอนุรักษ์ ที่เสนอให้เรากำจัดพลเมืองทิ้งไปสักครึ่งหนึ่ง”

    อารยะ หัวหน้ากองกำลังรักษาความสงบของรัฐ ถามบารมีสมาชิกสภาปกครองรัฐ ทั้งสองเป็นเพื่อนร่วมสถาบันเดียวกัน คบหากันมานานแล้ว อารยะเป็นเพียงชนชั้นกลาง แต่บารมีนั้นเป็นเศรษฐีเจ้าของโรงงาน

    บารมีส่ายหัว

    “ทำอย่างนั้นไม่ได้ พวกยาจกมันจะลุกฮือขึ้นมาพร้อมกัน หุ่นยนต์รบของคุณรับมือไม่ไหวหรอก จำนวนมันผิดกัน”

    อารยะขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดต่อ

    “แผนการกำจัด คุณก็คงอ่านแล้ว มันจะค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการผสมสารพิษลงในข้าวที่แจกพวกยาจก พวกที่อ่อนแอ ก็จะทยอยกันตายไป พวกรอดตายที่เหลือ ก็จะไม่แข็งแรงพอที่จะลุกฮือขึ้นมาต่อสู้ได้”

    “มันยังมีประเด็นอื่นอีกเยอะนะ อารยะ แล้วไหนจะเรื่องเวรกรรมอีก

(มีต่อครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่