สวัสดีครับทุกท่าน
ก่อนอื่นผมเชื่อว่า ท่านที่เป็นเจ้าของกิจการและ ท่านที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนบริษัท และ รักษาผลประโยชน์ของบริษัท (เช่น ฝ่ายบุคคล) อาจจะไม่ชอบกระทู้นี้นัก
อย่างไรก็ตาม ผมเขียนกระทู้นี้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ในมุมมองของลูกจ้าง ที่ทำงานอย่างซื่อสัตย์ ทุ่มเท ทำงานอย่างเต็มความสามารถ
เพื่อเป็นวิทยาทานสำหรับคนที่อาจจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ ดังนั้นขอความกรุณางดดราม่านะครับ
เข้าเรื่องเลยนะครับ ผมขอเล่าความเป็นมาก่อนที่เรื่องราวจะเกิดขึ้น ค่อนข้างจะซับซ้อน อาจจะยาวหน่อยนะครับ
ผมเรียนจบสายช่าง และทำงานในโรงงานมาตั้งแต่เรียนจบ เป็นเวลา 10 กว่าปี (ดังนั้นขออนุญาตแท็คหมวด วิศกรรมศาสตร์นะครับ)
ลักษณะนิสัยของผม ทำงานตรงไปตรงมา ไม่เคยมีนอกมีใน ค่อนข้างจะเป็นเพอเฟ็คชั่นนิสต์ รักษาผลประโยชน์ให้ลูกน้อง
คือเป็นนักอุดมคติน่ะครับ ด้วยลักษณะเหล่านี้ ผมพบว่า ถ้าผมมีหัวหน้าที่ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว หรือไม่ค่อยลงไปดูหน้างาน รอฟังแต่ผลอย่างเดียว ท่านมักจะไม่ชอบผม
และไม่ต้องพูดถึงกลุ่มพนักงานที่มีการผันเงินที่ไม่ควรได้ เข้ากระเป๋าตัวเอง ผมจะพยายามอยู่ห่างๆไว้ แต่ก็มีหนนึงที่ผมหนีไม่ออกจริงๆ เลยถูกขอร้องแกมบังคับให้เขียนใบลาออก (ได้เงินชดเชย) ข้อหาไม่ยอมอำนวยความสะดวกให้ ซึ่งผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร ฝีมือมีอยู่กับตัวก็หางานใหม่ทำเอา ผมคิดแบบนี้มาตลอด
ขออนุญาตย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีที่แล้วนะครับ
เมื่อปี 2010 ผมได้งานทำที่บริษัท G ผมทำงานได้ 2 ปีกว่าๆก็ลาออก เพราะตอนนั้นผมได้รับข้อเสนอจากบริษัทอื่นที่ดีกว่ามาก ประกอบกับผู้บริหารที่ บ.G ไม่ค่อยจะปลื้มผมนัก คือทั้งผมและเขามีสไตล์การทำงานที่ต่างกัน ผมพยายามพูดแบบเป็นกลางนะครับ ถ้าพูดแบบเอียงมันจะยาว 555
ผมคิดว่าผมลาออกได้แบบสะอาดๆ ถ่ายงานให้คนที่มารับต่อ ไม่มีใครด่าไล่หลัง ไม่มีดราม่าใดๆ ทางผู้บริหารก็ดูจะดีใจที่ผมลาออก
แฮปปี้ เบทเทอร์ทูเก็ทเทอร์
1 ปีถัดมา ราวกลางปี 2012 ผมได้รับข้อเสนอที่ดียิ่งขึ้นไปอีก เมื่อมีคนที่ บ.G ชักชวนให้ผมไปทำงานให้ บ.U
บ.U นี้ มาจ้าง บ.G ให้ทำการผลิตชิ้นงานให้
โดย บ.U ต้องการคนที่รู้กระบวนการผลิตของ บ.G เป็นอย่างดี ต้องลาออกจาก บ.G เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว (ประมาณ 1 ปี) และต้องอยู่อาศัยในจังหวัดเดียวกับที่ บ.G ตั้งอยู่ ซึ่งผมก็เข้าข่ายพอดี
ลืมบอกไป บ.U มีสำนักงานอยู่ กทม นะครับ ส่วน บ.G อยู่ต่างจังหวัด ดังนั้น บ.U จึงต้องการจ้างคนที่อยู่ในพื้นที่ (ซึ่งคือผม) มากกว่าที่จะส่งคนจาก กทม มาบ่อยๆ
หลังจากผ่านขั้นตอนการ สมัคร สัมภาษณ์งาน ผมก็ได้เข้าทำงานที่ บ.U โดยผมต้องไปประจำอยู่ที่ บ.G ทำหน้าที่เป็นคอยประสานงาน แก้ไขปัญหาต่างๆ ระหว่างทั้ง 2 บริษัท
ผมจึงเป็นพนักงานของ บ.U ที่ต้องไปทำงานที่ บ.G โดยต้องไปทำหน้าที่ กำกับการทำงาน ของอดีตหัวหน้าคนที่ว่ามีสไตล์การทำงานต่างกันกับผม
งงหรือเปล่าครับ ไม่งงนะไม่งง
ตลอดเวลาที่ผมทำงานให้ บ.U ที่ บ.G ผมมีความสุขในบทบาทนี้ ถึงแม้ว่า จะเครียดจะกดดัน ก็เป็นปกติของการทำงาน
คือทำงานเป็นคนกลาง มันมีความยากอยู่แล้วครับ ต้องบาล๊านซ์ความต้องการของ บ.U ที่เป็นนายจ้างโดยตรง และต้องทำให้คนของ บ.G ที่เราทำงานด้วยเขาพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาเป็นคนแนะนำผมให้ได้งานนี้
และผมทราบดีว่าผู้บริหารของ บ.G ไม่ค่อยปลื้มผมเท่าไหร่นัก ดังนั้นเมื่อมีปัญหาอะไรก็ตามเกิดขึ้น ผมจะพยายามหาทางช่วย บ.G ไว้ก่อน ถ้ามันสุดวิสัยที่จะช่วยจริงๆ บ.G ก็ต้องรับผิดชอบไป
และเมื่อมีเหตุการณ์ที่ บ.G ต้องรับผิดชอบ บ่อยครั้งขึ้น (โดยที่ไม่ได้พยายามปรับปรุงตัวเองเลย แม้ผมจะแจ้ง เน้นย้ำ ไปหลายรอบแล้วก็ตาม)
ครับ หลายครั้ง บ.G ทำผิดพลาดซ้ำซากเหมือนคนซื่อบื้อ ผมเองก็ถือว่า ผมก็มีส่วนในความผิดเหล่านี้ด้วย
ผมมารู้ทีหลังว่า ผู้บริหารของ บ.G ชี้นิ้วโยนทุกสิ่งอย่างมาที่ผม โดยอ้างว่าผมมีอคติกับที่นี่ ตั้งแต่คราวทีผมเคยทำงานอยู่ และผมไม่ต้องการเห็น บ.G ประสบความสำเร็จ เรื่องนี้ผมมารู้ทีหลังนะครับ ตอนแรกผมไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่ เพราะถ้า บ.G อยู่ไม่ได้ ผมก็ไม่มีงานทำนะ คิดไปได้ไงเนี่ย
จนกระทั่งวันที่คดีสิ้นสุด เรื่องนี้ได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริง
ปูพื้นมายาวเหยียด จะเข้าเรื่องแล้วครับผม
เมื่อผมฟ้องอดีตนายจ้าง กรณีเลิกจ้างไม่เป็นธรรม อุทาหรณ์และการปฎิบัติตัวสำหรับมนุษย์เงินเดือน
ก่อนอื่นผมเชื่อว่า ท่านที่เป็นเจ้าของกิจการและ ท่านที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนบริษัท และ รักษาผลประโยชน์ของบริษัท (เช่น ฝ่ายบุคคล) อาจจะไม่ชอบกระทู้นี้นัก
อย่างไรก็ตาม ผมเขียนกระทู้นี้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ในมุมมองของลูกจ้าง ที่ทำงานอย่างซื่อสัตย์ ทุ่มเท ทำงานอย่างเต็มความสามารถ
เพื่อเป็นวิทยาทานสำหรับคนที่อาจจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ ดังนั้นขอความกรุณางดดราม่านะครับ
เข้าเรื่องเลยนะครับ ผมขอเล่าความเป็นมาก่อนที่เรื่องราวจะเกิดขึ้น ค่อนข้างจะซับซ้อน อาจจะยาวหน่อยนะครับ
ผมเรียนจบสายช่าง และทำงานในโรงงานมาตั้งแต่เรียนจบ เป็นเวลา 10 กว่าปี (ดังนั้นขออนุญาตแท็คหมวด วิศกรรมศาสตร์นะครับ)
ลักษณะนิสัยของผม ทำงานตรงไปตรงมา ไม่เคยมีนอกมีใน ค่อนข้างจะเป็นเพอเฟ็คชั่นนิสต์ รักษาผลประโยชน์ให้ลูกน้อง
คือเป็นนักอุดมคติน่ะครับ ด้วยลักษณะเหล่านี้ ผมพบว่า ถ้าผมมีหัวหน้าที่ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว หรือไม่ค่อยลงไปดูหน้างาน รอฟังแต่ผลอย่างเดียว ท่านมักจะไม่ชอบผม
และไม่ต้องพูดถึงกลุ่มพนักงานที่มีการผันเงินที่ไม่ควรได้ เข้ากระเป๋าตัวเอง ผมจะพยายามอยู่ห่างๆไว้ แต่ก็มีหนนึงที่ผมหนีไม่ออกจริงๆ เลยถูกขอร้องแกมบังคับให้เขียนใบลาออก (ได้เงินชดเชย) ข้อหาไม่ยอมอำนวยความสะดวกให้ ซึ่งผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร ฝีมือมีอยู่กับตัวก็หางานใหม่ทำเอา ผมคิดแบบนี้มาตลอด
ขออนุญาตย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีที่แล้วนะครับ
เมื่อปี 2010 ผมได้งานทำที่บริษัท G ผมทำงานได้ 2 ปีกว่าๆก็ลาออก เพราะตอนนั้นผมได้รับข้อเสนอจากบริษัทอื่นที่ดีกว่ามาก ประกอบกับผู้บริหารที่ บ.G ไม่ค่อยจะปลื้มผมนัก คือทั้งผมและเขามีสไตล์การทำงานที่ต่างกัน ผมพยายามพูดแบบเป็นกลางนะครับ ถ้าพูดแบบเอียงมันจะยาว 555
ผมคิดว่าผมลาออกได้แบบสะอาดๆ ถ่ายงานให้คนที่มารับต่อ ไม่มีใครด่าไล่หลัง ไม่มีดราม่าใดๆ ทางผู้บริหารก็ดูจะดีใจที่ผมลาออก
แฮปปี้ เบทเทอร์ทูเก็ทเทอร์
1 ปีถัดมา ราวกลางปี 2012 ผมได้รับข้อเสนอที่ดียิ่งขึ้นไปอีก เมื่อมีคนที่ บ.G ชักชวนให้ผมไปทำงานให้ บ.U
บ.U นี้ มาจ้าง บ.G ให้ทำการผลิตชิ้นงานให้
โดย บ.U ต้องการคนที่รู้กระบวนการผลิตของ บ.G เป็นอย่างดี ต้องลาออกจาก บ.G เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว (ประมาณ 1 ปี) และต้องอยู่อาศัยในจังหวัดเดียวกับที่ บ.G ตั้งอยู่ ซึ่งผมก็เข้าข่ายพอดี
ลืมบอกไป บ.U มีสำนักงานอยู่ กทม นะครับ ส่วน บ.G อยู่ต่างจังหวัด ดังนั้น บ.U จึงต้องการจ้างคนที่อยู่ในพื้นที่ (ซึ่งคือผม) มากกว่าที่จะส่งคนจาก กทม มาบ่อยๆ
หลังจากผ่านขั้นตอนการ สมัคร สัมภาษณ์งาน ผมก็ได้เข้าทำงานที่ บ.U โดยผมต้องไปประจำอยู่ที่ บ.G ทำหน้าที่เป็นคอยประสานงาน แก้ไขปัญหาต่างๆ ระหว่างทั้ง 2 บริษัท
ผมจึงเป็นพนักงานของ บ.U ที่ต้องไปทำงานที่ บ.G โดยต้องไปทำหน้าที่ กำกับการทำงาน ของอดีตหัวหน้าคนที่ว่ามีสไตล์การทำงานต่างกันกับผม
งงหรือเปล่าครับ ไม่งงนะไม่งง
ตลอดเวลาที่ผมทำงานให้ บ.U ที่ บ.G ผมมีความสุขในบทบาทนี้ ถึงแม้ว่า จะเครียดจะกดดัน ก็เป็นปกติของการทำงาน
คือทำงานเป็นคนกลาง มันมีความยากอยู่แล้วครับ ต้องบาล๊านซ์ความต้องการของ บ.U ที่เป็นนายจ้างโดยตรง และต้องทำให้คนของ บ.G ที่เราทำงานด้วยเขาพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาเป็นคนแนะนำผมให้ได้งานนี้
และผมทราบดีว่าผู้บริหารของ บ.G ไม่ค่อยปลื้มผมเท่าไหร่นัก ดังนั้นเมื่อมีปัญหาอะไรก็ตามเกิดขึ้น ผมจะพยายามหาทางช่วย บ.G ไว้ก่อน ถ้ามันสุดวิสัยที่จะช่วยจริงๆ บ.G ก็ต้องรับผิดชอบไป
และเมื่อมีเหตุการณ์ที่ บ.G ต้องรับผิดชอบ บ่อยครั้งขึ้น (โดยที่ไม่ได้พยายามปรับปรุงตัวเองเลย แม้ผมจะแจ้ง เน้นย้ำ ไปหลายรอบแล้วก็ตาม)
ครับ หลายครั้ง บ.G ทำผิดพลาดซ้ำซากเหมือนคนซื่อบื้อ ผมเองก็ถือว่า ผมก็มีส่วนในความผิดเหล่านี้ด้วย
ผมมารู้ทีหลังว่า ผู้บริหารของ บ.G ชี้นิ้วโยนทุกสิ่งอย่างมาที่ผม โดยอ้างว่าผมมีอคติกับที่นี่ ตั้งแต่คราวทีผมเคยทำงานอยู่ และผมไม่ต้องการเห็น บ.G ประสบความสำเร็จ เรื่องนี้ผมมารู้ทีหลังนะครับ ตอนแรกผมไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่ เพราะถ้า บ.G อยู่ไม่ได้ ผมก็ไม่มีงานทำนะ คิดไปได้ไงเนี่ย
จนกระทั่งวันที่คดีสิ้นสุด เรื่องนี้ได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริง
ปูพื้นมายาวเหยียด จะเข้าเรื่องแล้วครับผม