เรื่องที่ 7 มีชื่อสั้นๆ คำเดียวพยางค์เดียวครับ "กอด"
ใคร กอดใคร ? กอดทำไม ??...ไปหาคำตอบกันครับ........
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่กล่าวได้ว่าสวยงามอย่างหนึ่ง
เรียกว่า...ความรัก
“หยางฟ่ง เจ้ารักข้าหรือไม่”
อวิ๋นซือ จิ้งจอกสวรรค์ผู้งดงาม เอ่ยถามบุรุษหนุ่มตรงหน้า
“รักคืออะไรหรือ” เป็นคำถามจากหยางฟ่งผู้น่าสงสาร
คิ้วรูปดาบขมวดมุ่นประกอบกับแววตาประกายความสงสัยใคร่รู้อย่างเต็มที่ หากไม่ใช่เพราะโรคประหลาดทำให้ทายาทเพียงผู้เดียวแห่งตระกูลนักรบที่เคยงามสง่าบนอาชาศึก กลายเป็นเพียงคนอ่อนด้อยสติปัญญาไร้สามารถ แต่ถึงกระนั้นอวิ๋นซือกลับไม่คิดรังเกียจ
“หมายถึง โอบกอดกับข้าตลอดไป”
อวิ๋นซืออธิบายและดูเหมือนหยางฟ่งจะสนใจไม่น้อย นางจึงกล่าวต่อ
“ถ้าเจ้ารักผู้หญิงสักคนหนึ่ง เจ้าจะต้องอยากโอบกอดนางเอาไว้ กอดนางไว้แน่นๆ ให้นางอยู่ในอ้อมแขนของเจ้า แล้วเจ้าจะไม่ยอมปล่อยนางไป”
หยางฟ่งใช้นิ้วแตะจมูก ทำท่าครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ เขาหันมาตอบนางด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มสดใส
“งั้นข้าก็มีความรัก”
“กอดข้าสิ” จิ้งจอกสวรรค์ผู้งดงามส่งยิ้มไปถึงดวงตา หยางฟ่งไม่รอช้าโผกอดอวิ๋นซือทันที ดวงหน้าทั้งสองเต็มเปี่ยมด้วยความสุขล้น
คงเป็นลิขิตสวรรค์ที่ทำให้ว่าวเสี่ยงทายตกลงมาที่อวิ๋นซือ แทนที่จะเป็นคนอื่นๆในจำนวนพี่น้องทั้งเก้า หยางฟ่งจึงได้แต่งงานกับนางตามคำสัญญาของราชินีจิ้งจอกที่ให้ไว้กับบิดาของเขา
“เจ้าหอมจัง”
“กอดข้าไว้อย่าปล่อยข้าไปนะ”
“ข้าไม่ปล่อย” เขาพูดทั้งพยักหน้ารับเสียงหนักแน่น
“แม้จะมีมีดปักแผ่นหลังของเจ้าล่ะ” เพียงอวิ๋นซือกรีดนิ้วงาม มีดสั้นเล่มหนึ่งก็พุ่งมาปักแผ่นหลังของหยางฟ่ง เลือดสีแดงสดไหลซึมจากบาดแผล
แม้จะเจ็บปวดแต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยนางจากอ้อมกอด
“ไม่ปล่อย ข้าไม่ปล่อยเจ้า”
“แม้จะมีลูกธนูปักแผ่นหลังของเจ้าล่ะ” เช่นเดียวกัน เพียงชั่วครู่ลูกธนูก็พุ่งมาปักกลางแผ่นหลังของหยางฟ่ง เขากัดฟันแน่นพยายามระงับความเจ็บปวด แต่เขายังยึดมั่นไม่ยอมปล่อยนางออกจากอ้อมแขน
“ไม่ปล่อย...ไม่ปล่อย...”
“แม้จะมีไฟแผดเผาร่างเจ้า เจ้าก็ไม่ยอมปล่อยข้าหรือ” ชั่วพริบตาแผ่นหลังของหยางฟ่งก็เกิดไฟลุกลามอย่างน่ากลัว ชายหนุ่มร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ยอมคลายมือออกจากตัวนาง
“ไม่ปล่อย ไม่ปล่อย ข้าไม่ปล่อยเจ้า!!” หยางฟ่งข่มความเจ็บปวดตะโกนสุดเสียง ทั้งยังกระชับโอบกอดนางไว้แน่นหนา เขารู้เพียงบุรุษควรรักษาสัจจะแก่หญิงที่ตนรัก เมื่อเขามีวาสนาได้ครองคู่กับนางแล้ว ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นเขาจะไม่ยอมปล่อยมือจากนาง
อวิ๋นซือซาบซึ้งใจในการกระทำของหยางฟ่ง แม้เขาจะเป็นบุรุษไร้ปัญญาขาดความสามารถ แต่สิ่งเหล่านั้นจะสำคัญอะไร เพราะนางเพียงต้องการความรักที่บริสุทธิ์จากเขาเท่านั้น...นางตวัดนิ้วเรียวอีกครั้ง ทั้งมีดสั้น ลูกธนู และไฟโหมไหม้ หายไปในพริบตาเหมือนไม่เคยมีสิ่งนั้นปรากฎอยู่บนโลกนี้ เขาผ่านการทดสอบและนางจะมอบดวงใจรักแก่บุรุษผู้นี้เพียงผู้เดียว...
จิ้งจอกสวรรค์เมื่อปักใจรักผู้ใดแล้วจะคงมั่นเช่นนั้นไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติ
********************************************************************************
แหวะ !!
“รักคือกอดข้าไว้อย่าปล่อยข้านะ”
หญิงสาวบีบเสียงพูดเป็นเสียงสาม ทั้งยังทำท่าทางเลียนแบบจีบปากจีบคอไปพลาง
“ไม่ปล่อยๆ ข้าไม่ปล่อยเจ้า...”
“หยึ๋ยยย...เน่าเกิ๊นนนน...”
เธอห่อไหล่ทำท่าทางขนลุกขนพองทั้งเสียงบ่นอย่างไม่สบอารมณ์ ทั้งหมดนั้นมาจากริมฝีปากจิ้มลิ้มของบุศรา ตามด้วยอาการเบ้ปากกรอกตามองเพดาน เธอเกือบจะปิดหน้าจอโน๊ตบุ๊คซึ่งกำลังเปิดภาพยนต์โรแมนติกดราม่านั้นเสีย แต่กลับยั้งมือไว้ ไหนๆก็ดูมาซะค่อนเรื่อง ทั้งคนแนะนำยังการันตีนักหนาว่าหนังดีควรดู ถ้าอย่างนั้นก็ขอชมบทสรุปของพระนางคู่นี้เสียก่อน หากปล่อยให้ค้างคาพาลจะเป็นลมติดขัดทำให้เสียสุขภาพ ซึ่งไม่เป็นผลดีแน่ๆ
ระหว่างการดำเนินเรื่องเจ้าพระเอกปัญญาอ่อนที่ชื่อหยางฟ่งช่างสมควรตายยิ่งนัก เพิ่งบอกรักอวิ๋นซือจิ้งจอกสวรรค์แสนงามของเธอไปหยกๆ เพียงไม่นานเขากลับไปสดชื่นอยู่กับหญิงอื่น ไอ้พวกผู้ชายมันไว้ใจไม่ได้สักคน !
บุศราไม่รู้ตัวเลยว่าสีหน้าของเธอค่อยๆเปลี่ยนไปตามเรื่องราว เดี๋ยวเขม็งเครียดคิ้วขมวดมุ่น เดี๋ยวอมยิ้ม ประเดี๋ยวก็ทอดถอนใจและสุดท้ายเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงฉากจบคือ...ซับน้ำตา
ปั๊ดโถ่วววว... !!
อุตส่าห์ลุ้นมาทั้งเรื่องพอตอนจบนางเอกตาย พระเอกใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับนางรองแถมมีลูกด้วยกันอีก โอ้สวรรค์ทำไมโหดร้ายกับเทพธิดาจิ้งจอกผู้มีรักแท้อย่างอวิ๋นซือนักนะ
หนอย..รักคือโอบกอดตลอดกาล คำพูดสวยหรูที่แท้โกหกทั้งเพ ช่างเหมือนผู้ชายบางคนในชีวิตเธอซะเหลือเกิน แม้จะผ่านเวลามาเนิ่นนานแต่เธอไม่เคยลืมไอ้คนลวงโลกชั่วช้าสามานย์คนนั้น กรี๊ดดด...เธออยากจะกรีดร้องให้สาแก่ใจ หากแต่กลัวคนในบ้านจะแตกตื่นและหาว่าเธอเป็นบ้าเสียก่อน จึงทำได้แค่เอาหมอนอุดปากกลั้นเสียงนั้นไว้
“โถ่เอ๊ย เอาเวลาสองชั่วโมงช้านคืนม๊าาาา....อ๊ากกกก...”
เสียงโวยมาพร้อมกับการปาหมอนระบายอารมณ์ ซึ่งพอดีกับบางคนที่เปิดประตูเข้ามา จึงโดนอิทธิฤทธิ์หมอนบินเข้าเต็มๆ
“อาเจ้ ม๊าให้มาตาม..โอ๊ย !! ”
ร่างนั้นล้มกลิ้งเหมือนตุ๊กตาล้มลุก ก่อนจะผุดลุกขึ้นด้วยหน้าตายู่ยี่เตรียมแบะปากร้องโดยไม่มีน้ำตา ?
“หม่าม๊า ฮือออ...เจ้จะฆ่าอะตอม ฮือออ..ฮือออ..เจ้จะฆ่าอะตอม”
เสียงแหลมบาดแก้วหูดังมาจากเด็กชายอายุไม่เกินสิบขวบ ร่างจ้ำม่ำวิ่งลงบันไดไปเสียงดังตุ๊บๆๆ พร้อมกับแหกปากตะโกนลั่นบ้าน
ในขณะที่คนถูกกล่าวหาไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอันใด ทั้งยังเหยียดริมฝีปากยิ้มแฝงความมุ่งร้าย
ก็ใครใช้ให้เขาเข้ามาผิดเวลาแถมเธอยังอยากระบายอารมณ์อยู่พอดี เสียงหัวเราะดังผ่านลำคอก่อนที่ร่างบางจะวิ่งตามลงไป
เมื่อคว้าตัวเด็กขี้ฟ้องได้ก็จั๊กจี๋เข้าที่สะเอวทำเอาร่างนั้นทั้งหัวเราะตัวงอ ทั้งร้องและดิ้นไปพร้อมกัน
“อยากฟ้องก็ฟ้องสิ คอยดูจะจี๋ให้ขาดใจตายไปเลยไอ้เด็กบ้า นี่แน่ะๆๆ”
ปากเล็กไม่พูดเปล่ามือก็กระทำการจี๋ไปตามลำตัวป้อมกลมอย่างสนุกสนาน
“ยอมแล้วๆ อะตอมยอมแล้ว ป..ปล่อยๆ ฮะๆฮ่าๆๆ”
“เจ้ปล่อยตอมๆ ฮ่าๆ ยอมแล้วๆ”
ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่หยุดมือ การแกล้งน้องช่างนำความบรรเทิงให้ชีวิตได้อย่างน่าอัศจรรย์ รู้อย่างนี้เอาเวลาสองชั่วโมงมาหาเรื่องเจ้าเด็กนี่ซะยังดีกว่า
“มอม...หยุดเถอะลูก”
เสียงปรามเบาๆดังมาจากหญิงวัยกลางคน ใบหน้านางยังผุดผ่องทั้งที่วัยล่วงเลยไปถึงห้าสิบห้า อดีตหญิงแกร่งที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่บิดา แต่ต้องถอนตัวออกมาจากตำแหน่งกรรมการบริษัทก็เพราะต้องดูแลลูกชายหัวแก้วหัวแหวน...น้องชายลูกหลงที่มาเกิดตอนแม่เข้าวัยใกล้หมดประจำเดือน
นี่ก็หนึ่งในความไม่ยุติธรรมของบ้านนี้...เมื่อแม่มักจะให้ท้ายน้องตลอด แล้วน้องจะเคารพเชื่อฟังเธอได้อย่างไร ดูเอาเถิดแม้แต่ตั้งชื่อยังแบ่งชั้นวรรณะ
“มอมแมม” คือชื่อของเธอแต่โดยมากจะถูกเรียกสั้นๆแค่ “มอม” หึ..อยากร้องไห้เป็นภาษาฝรั่งเศส มันช่างฟังดูคุ้นๆเหมือนชื่อสัตว์โลกน่ารักสักตัวหนึ่ง !
ถึงแม้เจ้าเด็กปีศาจไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองเหมือนคุณหนูคู่แฝดฟ้าประทาน ครืนๆ เปรี้ยงๆ ทายาทตระกูลดังที่กำลังเป็นข่าว แต่เขามาพร้อมความภาคภูมิใจของบิดาวัยใกล้เกษียณ นอกจากนั้นไอ้เด็กบ้าคนนี้ยังกระชากตำแหน่งลูกสาวสุดรักสุดหวงเพียงคนเดียวไปจากเธออย่างง่ายดาย ที่น่าโมโหกว่าคือเขาได้ชื่อตะมุตะมิว่า
“อะตอม” โอ้สวรรค์...ทำไมถึงลำเอียงแม้แต่การตั้งชื่อ !!
“มอมแมมมมม....” เสียงแม่เข้มขึ้นทั้งแฝงด้วยอำนาจอยู่ในที แต่...น้ำเสียงแปลกๆแฮะ
“เพื่อนมาหาค่ะลูก” หืมมม...เปลี่ยนสำเนียงเสียงอ่อนหวานกว่าปกติ
แสดงว่าสถานการณ์ย่อมไม่ปกติ !
บุศราละมือจากการจั๊กจี๋เจ้าเด็กอ้วนแล้วค่อยๆหันไปมองทางต้นเสียง
เฮ่ย ฟักทองสิ!!
พร้อมคำอุทานในใจ ร่างของเธอดีดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ท..ทำไมมนุษย์เพศผู้แสนน่ารังเกียจยิ่งกว่าทิชชู่เปียกในห้องน้ำคนนั้น ไอ้คนที่มีอักษรตราบนหน้าผากว่า ‘แฟนเก่า’ ถึงมาปรากฏตัวอยู่ในห้องรับแขกบ้านเธอได้ ?!?
บุศราเรียกสติตัวเองก่อนจัดผมเผ้าและเสื้อผ้าให้เรียบร้อยขึ้น มันเป็นอะไรที่ยากอธิบายเพราะตอนนี้ค่อนบ่ายไปแล้ว แต่เธอยังอยู่ในชุดนอนเปื่อยๆลายลูกเป็ดเริงร่า และยิ่งกว่านั้นคือ…
ปากซีด !
คิ้วโล้น !!
ผมยุ่งเหยิง... หึๆ สดกว่าปลาในตลาดก็หน้าเธอนี่ล่ะ !!!
ในวันหยุดที่แสนจะหาได้ยากเธอแค่อยากนอนโง่ๆอยู่กับบ้านเท่านั้น ไม่สนหรอกว่าใครจะมองยังไงนี่มันบ้านของเธอต่อให้เธอใส่บิกินี่เดินเล่นในบ้าน ใครจะว่าอะไรได้ บุศราเดินไปหาชายหนุ่มโดยไม่คิดหวั่นเกรง เพราะเธอบอกตัวเองว่าเขาคือผู้ชายไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น
“มาทำไม”
นี่คือคำถามแกมตะคอกสำหรับแขกผู้มีเกียรติเช่นเขา แต่แขกที่เธอไม่เคยคิดจะเชิญให้นั่งกลับไม่สะทกสะท้าน แถมส่งยิ้มยิงฟันขาวให้เธออย่างยั่วเย้า
เอิ่มมม....พอดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลื๊อเกิน
เฮ่ย..ไม่ใช่ คนบ้าอะไรยิ้มโคตรน่าเกลียดยังกะยีราฟในสวนสัตว์ ฟันก็เรียงเหมือนเมล็ดข้าวโพดไม่น่าดูเลยสักนิด !
...ยังดีที่มันเป็นเพียงความคิดในสมอง และเธอไม่ได้เอ่ยมันออกมา สีหน้าเธอจึงยังดูเฉยเมยยากจะจับพิรุธใดๆ
“จะให้ผมพูด...จริงๆหรือ”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่วพอได้ยินเพียงสองคน ทั้งยังเหลือบตามองไปทางมารดาของเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะหันมาขยิบตาส่งยิ้มหวาน
แม่น..กวนส้นทีนอิ๊บอ๋าย
ฟักทองเอ๊ยยย.. ซาา..ติ ซาา...ติ สติจงกลับสู่ร่าง โอมเพี้ยง !!
ในขณะที่บุศรากำลังรวบรวมสติ แขกไม่ได้รับเชิญยังเอ่ยคำพูดออกมา
“มันอาจจะฟังดูไม่ดีนะ...แต่เรื่องของเรา”
"อุ๊บ.." ชายหนุ่มกำลังจะพูดต่อ พลันร่างเล็กพุ่งด้วยความเร็วแสง เธอใช้มือปิดปากปิดจมูกเขาอย่างหมายมั่นอย่างกับว่าตั้งใจจะให้ขาดอากาศหายใจตายต่อหน้า
“หยุด!!”
หญิงสาวออกคำสั่งด้วยดวงตาวาวโรจน์ แต่เมื่อสบตาอีกฝ่ายที่มองมาด้วยแววตาสื่อความนัยและดูเหมือนกำลังส่งยิ้มให้ มันส่งผลกับสมองจนเกิดอาการสับสนงุนงง บุศรารู้สึกเหมือนเนื้อสมองกำลังถูกไวรัสกัดกิน อ๊ากกกก...สิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้คงจะมีเพียงกรีดร้องในใจดังๆเท่านั้น
คำพูดเมื่อครู่ของเขา ทำเอาบุศราหน้าถอดสี รู้สึกสันหลังหวะจนหนาวยะเยือกเธอกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เมื่อเหลือบมองไปทางมารดา...ดวงตาคมของผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนกำลังมองสวนมาเพื่อประเมินสถานการณ์
“ม..ม๊า จะพาอะตอมไปเที่ยวห้างฯไม่ใช่เหรอ รีบๆไปสิคะ เดี๋ยวเย็นๆรถจะติดนะ”
เรื่องเฉไฉขอให้บอก เพราะเธอยังไม่อยากให้มารดารับรู้ในบางเรื่องราว ถึงจะเป็นคนในครอบครัวแต่ก็ควรเว้นที่สำหรับเรื่องส่วนตัวกันบ้างมิใช่หรือ
สำหรับผู้เป็นแม่นั้น เมื่ออดีตแฟนเก่าของบุตรสาวมาเยือนถึงบ้านหลังจากห่างหายไปหลายปี แม้จะอยากรู้เบื้องลึกเบื้องหลังเต็มทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้นระหว่างสองคน แต่นางเชื่อใจในตัวลูกสาวเพียงคนเดียวของนาง เอาไว้ค่อยคุยกันหลังจากนี้ก็ไม่สาย
“อืมมม...อะตอมอยากกินไอศครีมใช่มั้ยลูก” ผู้เป็นแม่หันไปถามลูกชายคนเล็กด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
บุศราใจชื้นขึ้นเมื่อมารดาเข้าใจและเปิดไฟเขียวให้ เธอเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ควักแบงค์สีเทาออกมา เมื่อหันมาอีกครั้งเด็กชายอะตอมตอนนี้ได้เข้าไปเกาะขาชายแปลกหน้าด้วยความเป็นมิตร อะตอมร่าเริงและอยากรู้จักคนไปทั่ว พูดง่ายๆว่าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์ด้านความเผือกที่ไม่ธรรมดา
“น้าสุดหล่อ น้าเป็นแฟนเจ้เหรอ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง ทั้งส่งยิ้มละมุนให้เด็กชาย
“ถ้างั้นน้าก็สอยเจ้แล้วสิ”
คราวนี้ใบหน้าคนตัวโตกลายเป็นเครื่องหมายคำถาม
“ก็หม่าม๊าบอกว่าเจ้ขึ้นคาน ไม่มีแฟน สงสัยชั่วชีวิตนี้ยากจะหาคนสอยลงมาแล้ว”
(มีต่อครับ)
💖💧💦💖 ถุงมือนักเขียน เรื่องที่ 7 "กอด" โดย ถุงมือ "เดี๋ยวค่อยตั้ง" ครับ 💖💦💧💖
เรื่องที่ 7 มีชื่อสั้นๆ คำเดียวพยางค์เดียวครับ "กอด"
ใคร กอดใคร ? กอดทำไม ??...ไปหาคำตอบกันครับ........
ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่กล่าวได้ว่าสวยงามอย่างหนึ่ง
เรียกว่า...ความรัก
“หยางฟ่ง เจ้ารักข้าหรือไม่”
อวิ๋นซือ จิ้งจอกสวรรค์ผู้งดงาม เอ่ยถามบุรุษหนุ่มตรงหน้า
“รักคืออะไรหรือ” เป็นคำถามจากหยางฟ่งผู้น่าสงสาร
คิ้วรูปดาบขมวดมุ่นประกอบกับแววตาประกายความสงสัยใคร่รู้อย่างเต็มที่ หากไม่ใช่เพราะโรคประหลาดทำให้ทายาทเพียงผู้เดียวแห่งตระกูลนักรบที่เคยงามสง่าบนอาชาศึก กลายเป็นเพียงคนอ่อนด้อยสติปัญญาไร้สามารถ แต่ถึงกระนั้นอวิ๋นซือกลับไม่คิดรังเกียจ
“หมายถึง โอบกอดกับข้าตลอดไป”
อวิ๋นซืออธิบายและดูเหมือนหยางฟ่งจะสนใจไม่น้อย นางจึงกล่าวต่อ
“ถ้าเจ้ารักผู้หญิงสักคนหนึ่ง เจ้าจะต้องอยากโอบกอดนางเอาไว้ กอดนางไว้แน่นๆ ให้นางอยู่ในอ้อมแขนของเจ้า แล้วเจ้าจะไม่ยอมปล่อยนางไป”
หยางฟ่งใช้นิ้วแตะจมูก ทำท่าครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ เขาหันมาตอบนางด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มสดใส
“งั้นข้าก็มีความรัก”
“กอดข้าสิ” จิ้งจอกสวรรค์ผู้งดงามส่งยิ้มไปถึงดวงตา หยางฟ่งไม่รอช้าโผกอดอวิ๋นซือทันที ดวงหน้าทั้งสองเต็มเปี่ยมด้วยความสุขล้น
คงเป็นลิขิตสวรรค์ที่ทำให้ว่าวเสี่ยงทายตกลงมาที่อวิ๋นซือ แทนที่จะเป็นคนอื่นๆในจำนวนพี่น้องทั้งเก้า หยางฟ่งจึงได้แต่งงานกับนางตามคำสัญญาของราชินีจิ้งจอกที่ให้ไว้กับบิดาของเขา
“เจ้าหอมจัง”
“กอดข้าไว้อย่าปล่อยข้าไปนะ”
“ข้าไม่ปล่อย” เขาพูดทั้งพยักหน้ารับเสียงหนักแน่น
“แม้จะมีมีดปักแผ่นหลังของเจ้าล่ะ” เพียงอวิ๋นซือกรีดนิ้วงาม มีดสั้นเล่มหนึ่งก็พุ่งมาปักแผ่นหลังของหยางฟ่ง เลือดสีแดงสดไหลซึมจากบาดแผล
แม้จะเจ็บปวดแต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยนางจากอ้อมกอด
“ไม่ปล่อย ข้าไม่ปล่อยเจ้า”
“แม้จะมีลูกธนูปักแผ่นหลังของเจ้าล่ะ” เช่นเดียวกัน เพียงชั่วครู่ลูกธนูก็พุ่งมาปักกลางแผ่นหลังของหยางฟ่ง เขากัดฟันแน่นพยายามระงับความเจ็บปวด แต่เขายังยึดมั่นไม่ยอมปล่อยนางออกจากอ้อมแขน
“ไม่ปล่อย...ไม่ปล่อย...”
“แม้จะมีไฟแผดเผาร่างเจ้า เจ้าก็ไม่ยอมปล่อยข้าหรือ” ชั่วพริบตาแผ่นหลังของหยางฟ่งก็เกิดไฟลุกลามอย่างน่ากลัว ชายหนุ่มร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ยอมคลายมือออกจากตัวนาง
“ไม่ปล่อย ไม่ปล่อย ข้าไม่ปล่อยเจ้า!!” หยางฟ่งข่มความเจ็บปวดตะโกนสุดเสียง ทั้งยังกระชับโอบกอดนางไว้แน่นหนา เขารู้เพียงบุรุษควรรักษาสัจจะแก่หญิงที่ตนรัก เมื่อเขามีวาสนาได้ครองคู่กับนางแล้ว ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นเขาจะไม่ยอมปล่อยมือจากนาง
อวิ๋นซือซาบซึ้งใจในการกระทำของหยางฟ่ง แม้เขาจะเป็นบุรุษไร้ปัญญาขาดความสามารถ แต่สิ่งเหล่านั้นจะสำคัญอะไร เพราะนางเพียงต้องการความรักที่บริสุทธิ์จากเขาเท่านั้น...นางตวัดนิ้วเรียวอีกครั้ง ทั้งมีดสั้น ลูกธนู และไฟโหมไหม้ หายไปในพริบตาเหมือนไม่เคยมีสิ่งนั้นปรากฎอยู่บนโลกนี้ เขาผ่านการทดสอบและนางจะมอบดวงใจรักแก่บุรุษผู้นี้เพียงผู้เดียว...
จิ้งจอกสวรรค์เมื่อปักใจรักผู้ใดแล้วจะคงมั่นเช่นนั้นไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติ
********************************************************************************
แหวะ !!
“รักคือกอดข้าไว้อย่าปล่อยข้านะ”
หญิงสาวบีบเสียงพูดเป็นเสียงสาม ทั้งยังทำท่าทางเลียนแบบจีบปากจีบคอไปพลาง
“ไม่ปล่อยๆ ข้าไม่ปล่อยเจ้า...”
“หยึ๋ยยย...เน่าเกิ๊นนนน...”
เธอห่อไหล่ทำท่าทางขนลุกขนพองทั้งเสียงบ่นอย่างไม่สบอารมณ์ ทั้งหมดนั้นมาจากริมฝีปากจิ้มลิ้มของบุศรา ตามด้วยอาการเบ้ปากกรอกตามองเพดาน เธอเกือบจะปิดหน้าจอโน๊ตบุ๊คซึ่งกำลังเปิดภาพยนต์โรแมนติกดราม่านั้นเสีย แต่กลับยั้งมือไว้ ไหนๆก็ดูมาซะค่อนเรื่อง ทั้งคนแนะนำยังการันตีนักหนาว่าหนังดีควรดู ถ้าอย่างนั้นก็ขอชมบทสรุปของพระนางคู่นี้เสียก่อน หากปล่อยให้ค้างคาพาลจะเป็นลมติดขัดทำให้เสียสุขภาพ ซึ่งไม่เป็นผลดีแน่ๆ
ระหว่างการดำเนินเรื่องเจ้าพระเอกปัญญาอ่อนที่ชื่อหยางฟ่งช่างสมควรตายยิ่งนัก เพิ่งบอกรักอวิ๋นซือจิ้งจอกสวรรค์แสนงามของเธอไปหยกๆ เพียงไม่นานเขากลับไปสดชื่นอยู่กับหญิงอื่น ไอ้พวกผู้ชายมันไว้ใจไม่ได้สักคน !
บุศราไม่รู้ตัวเลยว่าสีหน้าของเธอค่อยๆเปลี่ยนไปตามเรื่องราว เดี๋ยวเขม็งเครียดคิ้วขมวดมุ่น เดี๋ยวอมยิ้ม ประเดี๋ยวก็ทอดถอนใจและสุดท้ายเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงฉากจบคือ...ซับน้ำตา
ปั๊ดโถ่วววว... !!
อุตส่าห์ลุ้นมาทั้งเรื่องพอตอนจบนางเอกตาย พระเอกใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับนางรองแถมมีลูกด้วยกันอีก โอ้สวรรค์ทำไมโหดร้ายกับเทพธิดาจิ้งจอกผู้มีรักแท้อย่างอวิ๋นซือนักนะ
หนอย..รักคือโอบกอดตลอดกาล คำพูดสวยหรูที่แท้โกหกทั้งเพ ช่างเหมือนผู้ชายบางคนในชีวิตเธอซะเหลือเกิน แม้จะผ่านเวลามาเนิ่นนานแต่เธอไม่เคยลืมไอ้คนลวงโลกชั่วช้าสามานย์คนนั้น กรี๊ดดด...เธออยากจะกรีดร้องให้สาแก่ใจ หากแต่กลัวคนในบ้านจะแตกตื่นและหาว่าเธอเป็นบ้าเสียก่อน จึงทำได้แค่เอาหมอนอุดปากกลั้นเสียงนั้นไว้
“โถ่เอ๊ย เอาเวลาสองชั่วโมงช้านคืนม๊าาาา....อ๊ากกกก...”
เสียงโวยมาพร้อมกับการปาหมอนระบายอารมณ์ ซึ่งพอดีกับบางคนที่เปิดประตูเข้ามา จึงโดนอิทธิฤทธิ์หมอนบินเข้าเต็มๆ
“อาเจ้ ม๊าให้มาตาม..โอ๊ย !! ”
ร่างนั้นล้มกลิ้งเหมือนตุ๊กตาล้มลุก ก่อนจะผุดลุกขึ้นด้วยหน้าตายู่ยี่เตรียมแบะปากร้องโดยไม่มีน้ำตา ?
“หม่าม๊า ฮือออ...เจ้จะฆ่าอะตอม ฮือออ..ฮือออ..เจ้จะฆ่าอะตอม”
เสียงแหลมบาดแก้วหูดังมาจากเด็กชายอายุไม่เกินสิบขวบ ร่างจ้ำม่ำวิ่งลงบันไดไปเสียงดังตุ๊บๆๆ พร้อมกับแหกปากตะโกนลั่นบ้าน
ในขณะที่คนถูกกล่าวหาไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอันใด ทั้งยังเหยียดริมฝีปากยิ้มแฝงความมุ่งร้าย
ก็ใครใช้ให้เขาเข้ามาผิดเวลาแถมเธอยังอยากระบายอารมณ์อยู่พอดี เสียงหัวเราะดังผ่านลำคอก่อนที่ร่างบางจะวิ่งตามลงไป
เมื่อคว้าตัวเด็กขี้ฟ้องได้ก็จั๊กจี๋เข้าที่สะเอวทำเอาร่างนั้นทั้งหัวเราะตัวงอ ทั้งร้องและดิ้นไปพร้อมกัน
“อยากฟ้องก็ฟ้องสิ คอยดูจะจี๋ให้ขาดใจตายไปเลยไอ้เด็กบ้า นี่แน่ะๆๆ”
ปากเล็กไม่พูดเปล่ามือก็กระทำการจี๋ไปตามลำตัวป้อมกลมอย่างสนุกสนาน
“ยอมแล้วๆ อะตอมยอมแล้ว ป..ปล่อยๆ ฮะๆฮ่าๆๆ”
“เจ้ปล่อยตอมๆ ฮ่าๆ ยอมแล้วๆ”
ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่หยุดมือ การแกล้งน้องช่างนำความบรรเทิงให้ชีวิตได้อย่างน่าอัศจรรย์ รู้อย่างนี้เอาเวลาสองชั่วโมงมาหาเรื่องเจ้าเด็กนี่ซะยังดีกว่า
“มอม...หยุดเถอะลูก”
เสียงปรามเบาๆดังมาจากหญิงวัยกลางคน ใบหน้านางยังผุดผ่องทั้งที่วัยล่วงเลยไปถึงห้าสิบห้า อดีตหญิงแกร่งที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่บิดา แต่ต้องถอนตัวออกมาจากตำแหน่งกรรมการบริษัทก็เพราะต้องดูแลลูกชายหัวแก้วหัวแหวน...น้องชายลูกหลงที่มาเกิดตอนแม่เข้าวัยใกล้หมดประจำเดือน
นี่ก็หนึ่งในความไม่ยุติธรรมของบ้านนี้...เมื่อแม่มักจะให้ท้ายน้องตลอด แล้วน้องจะเคารพเชื่อฟังเธอได้อย่างไร ดูเอาเถิดแม้แต่ตั้งชื่อยังแบ่งชั้นวรรณะ
“มอมแมม” คือชื่อของเธอแต่โดยมากจะถูกเรียกสั้นๆแค่ “มอม” หึ..อยากร้องไห้เป็นภาษาฝรั่งเศส มันช่างฟังดูคุ้นๆเหมือนชื่อสัตว์โลกน่ารักสักตัวหนึ่ง !
ถึงแม้เจ้าเด็กปีศาจไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองเหมือนคุณหนูคู่แฝดฟ้าประทาน ครืนๆ เปรี้ยงๆ ทายาทตระกูลดังที่กำลังเป็นข่าว แต่เขามาพร้อมความภาคภูมิใจของบิดาวัยใกล้เกษียณ นอกจากนั้นไอ้เด็กบ้าคนนี้ยังกระชากตำแหน่งลูกสาวสุดรักสุดหวงเพียงคนเดียวไปจากเธออย่างง่ายดาย ที่น่าโมโหกว่าคือเขาได้ชื่อตะมุตะมิว่า “อะตอม” โอ้สวรรค์...ทำไมถึงลำเอียงแม้แต่การตั้งชื่อ !!
“มอมแมมมมม....” เสียงแม่เข้มขึ้นทั้งแฝงด้วยอำนาจอยู่ในที แต่...น้ำเสียงแปลกๆแฮะ
“เพื่อนมาหาค่ะลูก” หืมมม...เปลี่ยนสำเนียงเสียงอ่อนหวานกว่าปกติ
แสดงว่าสถานการณ์ย่อมไม่ปกติ !
บุศราละมือจากการจั๊กจี๋เจ้าเด็กอ้วนแล้วค่อยๆหันไปมองทางต้นเสียง
เฮ่ย ฟักทองสิ!!
พร้อมคำอุทานในใจ ร่างของเธอดีดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ท..ทำไมมนุษย์เพศผู้แสนน่ารังเกียจยิ่งกว่าทิชชู่เปียกในห้องน้ำคนนั้น ไอ้คนที่มีอักษรตราบนหน้าผากว่า ‘แฟนเก่า’ ถึงมาปรากฏตัวอยู่ในห้องรับแขกบ้านเธอได้ ?!?
บุศราเรียกสติตัวเองก่อนจัดผมเผ้าและเสื้อผ้าให้เรียบร้อยขึ้น มันเป็นอะไรที่ยากอธิบายเพราะตอนนี้ค่อนบ่ายไปแล้ว แต่เธอยังอยู่ในชุดนอนเปื่อยๆลายลูกเป็ดเริงร่า และยิ่งกว่านั้นคือ…
ปากซีด !
คิ้วโล้น !!
ผมยุ่งเหยิง... หึๆ สดกว่าปลาในตลาดก็หน้าเธอนี่ล่ะ !!!
ในวันหยุดที่แสนจะหาได้ยากเธอแค่อยากนอนโง่ๆอยู่กับบ้านเท่านั้น ไม่สนหรอกว่าใครจะมองยังไงนี่มันบ้านของเธอต่อให้เธอใส่บิกินี่เดินเล่นในบ้าน ใครจะว่าอะไรได้ บุศราเดินไปหาชายหนุ่มโดยไม่คิดหวั่นเกรง เพราะเธอบอกตัวเองว่าเขาคือผู้ชายไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น
“มาทำไม”
นี่คือคำถามแกมตะคอกสำหรับแขกผู้มีเกียรติเช่นเขา แต่แขกที่เธอไม่เคยคิดจะเชิญให้นั่งกลับไม่สะทกสะท้าน แถมส่งยิ้มยิงฟันขาวให้เธออย่างยั่วเย้า
เอิ่มมม....พอดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลื๊อเกิน
เฮ่ย..ไม่ใช่ คนบ้าอะไรยิ้มโคตรน่าเกลียดยังกะยีราฟในสวนสัตว์ ฟันก็เรียงเหมือนเมล็ดข้าวโพดไม่น่าดูเลยสักนิด !
...ยังดีที่มันเป็นเพียงความคิดในสมอง และเธอไม่ได้เอ่ยมันออกมา สีหน้าเธอจึงยังดูเฉยเมยยากจะจับพิรุธใดๆ
“จะให้ผมพูด...จริงๆหรือ”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่วพอได้ยินเพียงสองคน ทั้งยังเหลือบตามองไปทางมารดาของเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะหันมาขยิบตาส่งยิ้มหวาน
แม่น..กวนส้นทีนอิ๊บอ๋าย
ฟักทองเอ๊ยยย.. ซาา..ติ ซาา...ติ สติจงกลับสู่ร่าง โอมเพี้ยง !!
ในขณะที่บุศรากำลังรวบรวมสติ แขกไม่ได้รับเชิญยังเอ่ยคำพูดออกมา
“มันอาจจะฟังดูไม่ดีนะ...แต่เรื่องของเรา”
"อุ๊บ.." ชายหนุ่มกำลังจะพูดต่อ พลันร่างเล็กพุ่งด้วยความเร็วแสง เธอใช้มือปิดปากปิดจมูกเขาอย่างหมายมั่นอย่างกับว่าตั้งใจจะให้ขาดอากาศหายใจตายต่อหน้า
“หยุด!!”
หญิงสาวออกคำสั่งด้วยดวงตาวาวโรจน์ แต่เมื่อสบตาอีกฝ่ายที่มองมาด้วยแววตาสื่อความนัยและดูเหมือนกำลังส่งยิ้มให้ มันส่งผลกับสมองจนเกิดอาการสับสนงุนงง บุศรารู้สึกเหมือนเนื้อสมองกำลังถูกไวรัสกัดกิน อ๊ากกกก...สิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้คงจะมีเพียงกรีดร้องในใจดังๆเท่านั้น
คำพูดเมื่อครู่ของเขา ทำเอาบุศราหน้าถอดสี รู้สึกสันหลังหวะจนหนาวยะเยือกเธอกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เมื่อเหลือบมองไปทางมารดา...ดวงตาคมของผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนกำลังมองสวนมาเพื่อประเมินสถานการณ์
“ม..ม๊า จะพาอะตอมไปเที่ยวห้างฯไม่ใช่เหรอ รีบๆไปสิคะ เดี๋ยวเย็นๆรถจะติดนะ”
เรื่องเฉไฉขอให้บอก เพราะเธอยังไม่อยากให้มารดารับรู้ในบางเรื่องราว ถึงจะเป็นคนในครอบครัวแต่ก็ควรเว้นที่สำหรับเรื่องส่วนตัวกันบ้างมิใช่หรือ
สำหรับผู้เป็นแม่นั้น เมื่ออดีตแฟนเก่าของบุตรสาวมาเยือนถึงบ้านหลังจากห่างหายไปหลายปี แม้จะอยากรู้เบื้องลึกเบื้องหลังเต็มทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้นระหว่างสองคน แต่นางเชื่อใจในตัวลูกสาวเพียงคนเดียวของนาง เอาไว้ค่อยคุยกันหลังจากนี้ก็ไม่สาย
“อืมมม...อะตอมอยากกินไอศครีมใช่มั้ยลูก” ผู้เป็นแม่หันไปถามลูกชายคนเล็กด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
บุศราใจชื้นขึ้นเมื่อมารดาเข้าใจและเปิดไฟเขียวให้ เธอเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ควักแบงค์สีเทาออกมา เมื่อหันมาอีกครั้งเด็กชายอะตอมตอนนี้ได้เข้าไปเกาะขาชายแปลกหน้าด้วยความเป็นมิตร อะตอมร่าเริงและอยากรู้จักคนไปทั่ว พูดง่ายๆว่าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์ด้านความเผือกที่ไม่ธรรมดา
“น้าสุดหล่อ น้าเป็นแฟนเจ้เหรอ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง ทั้งส่งยิ้มละมุนให้เด็กชาย
“ถ้างั้นน้าก็สอยเจ้แล้วสิ”
คราวนี้ใบหน้าคนตัวโตกลายเป็นเครื่องหมายคำถาม
“ก็หม่าม๊าบอกว่าเจ้ขึ้นคาน ไม่มีแฟน สงสัยชั่วชีวิตนี้ยากจะหาคนสอยลงมาแล้ว”
(มีต่อครับ)