💖💧💦💖 ถุงมือนักเขียน เรื่องที่ 7 "กอด" โดย ถุงมือ "เดี๋ยวค่อยตั้ง" ครับ 💖💦💧💖

กระทู้คำถาม


เรื่องที่ 7 มีชื่อสั้นๆ คำเดียวพยางค์เดียวครับ "กอด"

ใคร กอดใคร ? กอดทำไม ??...ไปหาคำตอบกันครับ........อมยิ้ม04หัวใจดอกไม้
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่กล่าวได้ว่าสวยงามอย่างหนึ่ง
เรียกว่า...ความรัก



“หยางฟ่ง เจ้ารักข้าหรือไม่”


อวิ๋นซือ จิ้งจอกสวรรค์ผู้งดงาม เอ่ยถามบุรุษหนุ่มตรงหน้า

“รักคืออะไรหรือ”  เป็นคำถามจากหยางฟ่งผู้น่าสงสาร

คิ้วรูปดาบขมวดมุ่นประกอบกับแววตาประกายความสงสัยใคร่รู้อย่างเต็มที่ หากไม่ใช่เพราะโรคประหลาดทำให้ทายาทเพียงผู้เดียวแห่งตระกูลนักรบที่เคยงามสง่าบนอาชาศึก กลายเป็นเพียงคนอ่อนด้อยสติปัญญาไร้สามารถ แต่ถึงกระนั้นอวิ๋นซือกลับไม่คิดรังเกียจ

“หมายถึง โอบกอดกับข้าตลอดไป”

อวิ๋นซืออธิบายและดูเหมือนหยางฟ่งจะสนใจไม่น้อย นางจึงกล่าวต่อ

“ถ้าเจ้ารักผู้หญิงสักคนหนึ่ง เจ้าจะต้องอยากโอบกอดนางเอาไว้ กอดนางไว้แน่นๆ ให้นางอยู่ในอ้อมแขนของเจ้า แล้วเจ้าจะไม่ยอมปล่อยนางไป”

หยางฟ่งใช้นิ้วแตะจมูก ทำท่าครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ เขาหันมาตอบนางด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มสดใส

“งั้นข้าก็มีความรัก”

“กอดข้าสิ” จิ้งจอกสวรรค์ผู้งดงามส่งยิ้มไปถึงดวงตา หยางฟ่งไม่รอช้าโผกอดอวิ๋นซือทันที ดวงหน้าทั้งสองเต็มเปี่ยมด้วยความสุขล้น

คงเป็นลิขิตสวรรค์ที่ทำให้ว่าวเสี่ยงทายตกลงมาที่อวิ๋นซือ แทนที่จะเป็นคนอื่นๆในจำนวนพี่น้องทั้งเก้า หยางฟ่งจึงได้แต่งงานกับนางตามคำสัญญาของราชินีจิ้งจอกที่ให้ไว้กับบิดาของเขา

“เจ้าหอมจัง”

“กอดข้าไว้อย่าปล่อยข้าไปนะ”

“ข้าไม่ปล่อย” เขาพูดทั้งพยักหน้ารับเสียงหนักแน่น

“แม้จะมีมีดปักแผ่นหลังของเจ้าล่ะ”  เพียงอวิ๋นซือกรีดนิ้วงาม มีดสั้นเล่มหนึ่งก็พุ่งมาปักแผ่นหลังของหยางฟ่ง เลือดสีแดงสดไหลซึมจากบาดแผล
แม้จะเจ็บปวดแต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยนางจากอ้อมกอด

“ไม่ปล่อย ข้าไม่ปล่อยเจ้า”

“แม้จะมีลูกธนูปักแผ่นหลังของเจ้าล่ะ” เช่นเดียวกัน เพียงชั่วครู่ลูกธนูก็พุ่งมาปักกลางแผ่นหลังของหยางฟ่ง เขากัดฟันแน่นพยายามระงับความเจ็บปวด แต่เขายังยึดมั่นไม่ยอมปล่อยนางออกจากอ้อมแขน

“ไม่ปล่อย...ไม่ปล่อย...”

“แม้จะมีไฟแผดเผาร่างเจ้า เจ้าก็ไม่ยอมปล่อยข้าหรือ” ชั่วพริบตาแผ่นหลังของหยางฟ่งก็เกิดไฟลุกลามอย่างน่ากลัว ชายหนุ่มร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ยอมคลายมือออกจากตัวนาง

“ไม่ปล่อย ไม่ปล่อย ข้าไม่ปล่อยเจ้า!!” หยางฟ่งข่มความเจ็บปวดตะโกนสุดเสียง ทั้งยังกระชับโอบกอดนางไว้แน่นหนา  เขารู้เพียงบุรุษควรรักษาสัจจะแก่หญิงที่ตนรัก เมื่อเขามีวาสนาได้ครองคู่กับนางแล้ว ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นเขาจะไม่ยอมปล่อยมือจากนาง

อวิ๋นซือซาบซึ้งใจในการกระทำของหยางฟ่ง แม้เขาจะเป็นบุรุษไร้ปัญญาขาดความสามารถ แต่สิ่งเหล่านั้นจะสำคัญอะไร เพราะนางเพียงต้องการความรักที่บริสุทธิ์จากเขาเท่านั้น...นางตวัดนิ้วเรียวอีกครั้ง ทั้งมีดสั้น ลูกธนู และไฟโหมไหม้ หายไปในพริบตาเหมือนไม่เคยมีสิ่งนั้นปรากฎอยู่บนโลกนี้ เขาผ่านการทดสอบและนางจะมอบดวงใจรักแก่บุรุษผู้นี้เพียงผู้เดียว...

จิ้งจอกสวรรค์เมื่อปักใจรักผู้ใดแล้วจะคงมั่นเช่นนั้นไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติ


********************************************************************************

แหวะ !!

“รักคือกอดข้าไว้อย่าปล่อยข้านะ”

หญิงสาวบีบเสียงพูดเป็นเสียงสาม ทั้งยังทำท่าทางเลียนแบบจีบปากจีบคอไปพลาง  

“ไม่ปล่อยๆ ข้าไม่ปล่อยเจ้า...”

“หยึ๋ยยย...เน่าเกิ๊นนนน...”

เธอห่อไหล่ทำท่าทางขนลุกขนพองทั้งเสียงบ่นอย่างไม่สบอารมณ์ ทั้งหมดนั้นมาจากริมฝีปากจิ้มลิ้มของบุศรา ตามด้วยอาการเบ้ปากกรอกตามองเพดาน เธอเกือบจะปิดหน้าจอโน๊ตบุ๊คซึ่งกำลังเปิดภาพยนต์โรแมนติกดราม่านั้นเสีย แต่กลับยั้งมือไว้ ไหนๆก็ดูมาซะค่อนเรื่อง ทั้งคนแนะนำยังการันตีนักหนาว่าหนังดีควรดู ถ้าอย่างนั้นก็ขอชมบทสรุปของพระนางคู่นี้เสียก่อน หากปล่อยให้ค้างคาพาลจะเป็นลมติดขัดทำให้เสียสุขภาพ ซึ่งไม่เป็นผลดีแน่ๆ

ระหว่างการดำเนินเรื่องเจ้าพระเอกปัญญาอ่อนที่ชื่อหยางฟ่งช่างสมควรตายยิ่งนัก เพิ่งบอกรักอวิ๋นซือจิ้งจอกสวรรค์แสนงามของเธอไปหยกๆ เพียงไม่นานเขากลับไปสดชื่นอยู่กับหญิงอื่น ไอ้พวกผู้ชายมันไว้ใจไม่ได้สักคน !  

บุศราไม่รู้ตัวเลยว่าสีหน้าของเธอค่อยๆเปลี่ยนไปตามเรื่องราว เดี๋ยวเขม็งเครียดคิ้วขมวดมุ่น เดี๋ยวอมยิ้ม ประเดี๋ยวก็ทอดถอนใจและสุดท้ายเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงฉากจบคือ...ซับน้ำตา

ปั๊ดโถ่วววว... !!

อุตส่าห์ลุ้นมาทั้งเรื่องพอตอนจบนางเอกตาย พระเอกใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับนางรองแถมมีลูกด้วยกันอีก โอ้สวรรค์ทำไมโหดร้ายกับเทพธิดาจิ้งจอกผู้มีรักแท้อย่างอวิ๋นซือนักนะ

หนอย..รักคือโอบกอดตลอดกาล คำพูดสวยหรูที่แท้โกหกทั้งเพ ช่างเหมือนผู้ชายบางคนในชีวิตเธอซะเหลือเกิน แม้จะผ่านเวลามาเนิ่นนานแต่เธอไม่เคยลืมไอ้คนลวงโลกชั่วช้าสามานย์คนนั้น กรี๊ดดด...เธออยากจะกรีดร้องให้สาแก่ใจ หากแต่กลัวคนในบ้านจะแตกตื่นและหาว่าเธอเป็นบ้าเสียก่อน จึงทำได้แค่เอาหมอนอุดปากกลั้นเสียงนั้นไว้

“โถ่เอ๊ย เอาเวลาสองชั่วโมงช้านคืนม๊าาาา....อ๊ากกกก...”

เสียงโวยมาพร้อมกับการปาหมอนระบายอารมณ์ ซึ่งพอดีกับบางคนที่เปิดประตูเข้ามา จึงโดนอิทธิฤทธิ์หมอนบินเข้าเต็มๆ

“อาเจ้ ม๊าให้มาตาม..โอ๊ย !! ”

ร่างนั้นล้มกลิ้งเหมือนตุ๊กตาล้มลุก ก่อนจะผุดลุกขึ้นด้วยหน้าตายู่ยี่เตรียมแบะปากร้องโดยไม่มีน้ำตา ?

“หม่าม๊า ฮือออ...เจ้จะฆ่าอะตอม ฮือออ..ฮือออ..เจ้จะฆ่าอะตอม”

เสียงแหลมบาดแก้วหูดังมาจากเด็กชายอายุไม่เกินสิบขวบ ร่างจ้ำม่ำวิ่งลงบันไดไปเสียงดังตุ๊บๆๆ พร้อมกับแหกปากตะโกนลั่นบ้าน

ในขณะที่คนถูกกล่าวหาไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอันใด ทั้งยังเหยียดริมฝีปากยิ้มแฝงความมุ่งร้าย

ก็ใครใช้ให้เขาเข้ามาผิดเวลาแถมเธอยังอยากระบายอารมณ์อยู่พอดี เสียงหัวเราะดังผ่านลำคอก่อนที่ร่างบางจะวิ่งตามลงไป

เมื่อคว้าตัวเด็กขี้ฟ้องได้ก็จั๊กจี๋เข้าที่สะเอวทำเอาร่างนั้นทั้งหัวเราะตัวงอ ทั้งร้องและดิ้นไปพร้อมกัน

“อยากฟ้องก็ฟ้องสิ คอยดูจะจี๋ให้ขาดใจตายไปเลยไอ้เด็กบ้า นี่แน่ะๆๆ”

ปากเล็กไม่พูดเปล่ามือก็กระทำการจี๋ไปตามลำตัวป้อมกลมอย่างสนุกสนาน

“ยอมแล้วๆ อะตอมยอมแล้ว ป..ปล่อยๆ ฮะๆฮ่าๆๆ”

“เจ้ปล่อยตอมๆ ฮ่าๆ ยอมแล้วๆ”

ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่หยุดมือ การแกล้งน้องช่างนำความบรรเทิงให้ชีวิตได้อย่างน่าอัศจรรย์ รู้อย่างนี้เอาเวลาสองชั่วโมงมาหาเรื่องเจ้าเด็กนี่ซะยังดีกว่า

“มอม...หยุดเถอะลูก”

เสียงปรามเบาๆดังมาจากหญิงวัยกลางคน ใบหน้านางยังผุดผ่องทั้งที่วัยล่วงเลยไปถึงห้าสิบห้า อดีตหญิงแกร่งที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่บิดา แต่ต้องถอนตัวออกมาจากตำแหน่งกรรมการบริษัทก็เพราะต้องดูแลลูกชายหัวแก้วหัวแหวน...น้องชายลูกหลงที่มาเกิดตอนแม่เข้าวัยใกล้หมดประจำเดือน

นี่ก็หนึ่งในความไม่ยุติธรรมของบ้านนี้...เมื่อแม่มักจะให้ท้ายน้องตลอด แล้วน้องจะเคารพเชื่อฟังเธอได้อย่างไร ดูเอาเถิดแม้แต่ตั้งชื่อยังแบ่งชั้นวรรณะ

“มอมแมม” คือชื่อของเธอแต่โดยมากจะถูกเรียกสั้นๆแค่ “มอม” หึ..อยากร้องไห้เป็นภาษาฝรั่งเศส มันช่างฟังดูคุ้นๆเหมือนชื่อสัตว์โลกน่ารักสักตัวหนึ่ง !  

ถึงแม้เจ้าเด็กปีศาจไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองเหมือนคุณหนูคู่แฝดฟ้าประทาน ครืนๆ เปรี้ยงๆ ทายาทตระกูลดังที่กำลังเป็นข่าว แต่เขามาพร้อมความภาคภูมิใจของบิดาวัยใกล้เกษียณ นอกจากนั้นไอ้เด็กบ้าคนนี้ยังกระชากตำแหน่งลูกสาวสุดรักสุดหวงเพียงคนเดียวไปจากเธออย่างง่ายดาย ที่น่าโมโหกว่าคือเขาได้ชื่อตะมุตะมิว่า “อะตอม” โอ้สวรรค์...ทำไมถึงลำเอียงแม้แต่การตั้งชื่อ !!

“มอมแมมมมม....”
เสียงแม่เข้มขึ้นทั้งแฝงด้วยอำนาจอยู่ในที แต่...น้ำเสียงแปลกๆแฮะ

“เพื่อนมาหาค่ะลูก”  หืมมม...เปลี่ยนสำเนียงเสียงอ่อนหวานกว่าปกติ

แสดงว่าสถานการณ์ย่อมไม่ปกติ !

บุศราละมือจากการจั๊กจี๋เจ้าเด็กอ้วนแล้วค่อยๆหันไปมองทางต้นเสียง

เฮ่ย ฟักทองสิ!!  

พร้อมคำอุทานในใจ ร่างของเธอดีดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ท..ทำไมมนุษย์เพศผู้แสนน่ารังเกียจยิ่งกว่าทิชชู่เปียกในห้องน้ำคนนั้น ไอ้คนที่มีอักษรตราบนหน้าผากว่า ‘แฟนเก่า’ ถึงมาปรากฏตัวอยู่ในห้องรับแขกบ้านเธอได้ ?!?

บุศราเรียกสติตัวเองก่อนจัดผมเผ้าและเสื้อผ้าให้เรียบร้อยขึ้น มันเป็นอะไรที่ยากอธิบายเพราะตอนนี้ค่อนบ่ายไปแล้ว แต่เธอยังอยู่ในชุดนอนเปื่อยๆลายลูกเป็ดเริงร่า และยิ่งกว่านั้นคือ…

   ปากซีด !

   คิ้วโล้น !!

   ผมยุ่งเหยิง... หึๆ สดกว่าปลาในตลาดก็หน้าเธอนี่ล่ะ !!!

ในวันหยุดที่แสนจะหาได้ยากเธอแค่อยากนอนโง่ๆอยู่กับบ้านเท่านั้น ไม่สนหรอกว่าใครจะมองยังไงนี่มันบ้านของเธอต่อให้เธอใส่บิกินี่เดินเล่นในบ้าน ใครจะว่าอะไรได้ บุศราเดินไปหาชายหนุ่มโดยไม่คิดหวั่นเกรง เพราะเธอบอกตัวเองว่าเขาคือผู้ชายไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น

“มาทำไม”  


นี่คือคำถามแกมตะคอกสำหรับแขกผู้มีเกียรติเช่นเขา  แต่แขกที่เธอไม่เคยคิดจะเชิญให้นั่งกลับไม่สะทกสะท้าน แถมส่งยิ้มยิงฟันขาวให้เธออย่างยั่วเย้า

เอิ่มมม....พอดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลื๊อเกิน

เฮ่ย..ไม่ใช่ คนบ้าอะไรยิ้มโคตรน่าเกลียดยังกะยีราฟในสวนสัตว์ ฟันก็เรียงเหมือนเมล็ดข้าวโพดไม่น่าดูเลยสักนิด !

...ยังดีที่มันเป็นเพียงความคิดในสมอง และเธอไม่ได้เอ่ยมันออกมา สีหน้าเธอจึงยังดูเฉยเมยยากจะจับพิรุธใดๆ

“จะให้ผมพูด...จริงๆหรือ”

ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่วพอได้ยินเพียงสองคน ทั้งยังเหลือบตามองไปทางมารดาของเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะหันมาขยิบตาส่งยิ้มหวาน

แม่น..กวนส้นทีนอิ๊บอ๋าย

ฟักทองเอ๊ยยย.. ซาา..ติ ซาา...ติ สติจงกลับสู่ร่าง โอมเพี้ยง !!

ในขณะที่บุศรากำลังรวบรวมสติ แขกไม่ได้รับเชิญยังเอ่ยคำพูดออกมา

“มันอาจจะฟังดูไม่ดีนะ...แต่เรื่องของเรา”

"อุ๊บ.." ชายหนุ่มกำลังจะพูดต่อ พลันร่างเล็กพุ่งด้วยความเร็วแสง เธอใช้มือปิดปากปิดจมูกเขาอย่างหมายมั่นอย่างกับว่าตั้งใจจะให้ขาดอากาศหายใจตายต่อหน้า

“หยุด!!”

หญิงสาวออกคำสั่งด้วยดวงตาวาวโรจน์ แต่เมื่อสบตาอีกฝ่ายที่มองมาด้วยแววตาสื่อความนัยและดูเหมือนกำลังส่งยิ้มให้ มันส่งผลกับสมองจนเกิดอาการสับสนงุนงง บุศรารู้สึกเหมือนเนื้อสมองกำลังถูกไวรัสกัดกิน อ๊ากกกก...สิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้คงจะมีเพียงกรีดร้องในใจดังๆเท่านั้น

คำพูดเมื่อครู่ของเขา  ทำเอาบุศราหน้าถอดสี รู้สึกสันหลังหวะจนหนาวยะเยือกเธอกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เมื่อเหลือบมองไปทางมารดา...ดวงตาคมของผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนกำลังมองสวนมาเพื่อประเมินสถานการณ์

“ม..ม๊า จะพาอะตอมไปเที่ยวห้างฯไม่ใช่เหรอ รีบๆไปสิคะ เดี๋ยวเย็นๆรถจะติดนะ”

เรื่องเฉไฉขอให้บอก เพราะเธอยังไม่อยากให้มารดารับรู้ในบางเรื่องราว ถึงจะเป็นคนในครอบครัวแต่ก็ควรเว้นที่สำหรับเรื่องส่วนตัวกันบ้างมิใช่หรือ

สำหรับผู้เป็นแม่นั้น เมื่ออดีตแฟนเก่าของบุตรสาวมาเยือนถึงบ้านหลังจากห่างหายไปหลายปี แม้จะอยากรู้เบื้องลึกเบื้องหลังเต็มทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้นระหว่างสองคน แต่นางเชื่อใจในตัวลูกสาวเพียงคนเดียวของนาง เอาไว้ค่อยคุยกันหลังจากนี้ก็ไม่สาย

“อืมมม...อะตอมอยากกินไอศครีมใช่มั้ยลูก” ผู้เป็นแม่หันไปถามลูกชายคนเล็กด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

บุศราใจชื้นขึ้นเมื่อมารดาเข้าใจและเปิดไฟเขียวให้ เธอเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ควักแบงค์สีเทาออกมา เมื่อหันมาอีกครั้งเด็กชายอะตอมตอนนี้ได้เข้าไปเกาะขาชายแปลกหน้าด้วยความเป็นมิตร อะตอมร่าเริงและอยากรู้จักคนไปทั่ว พูดง่ายๆว่าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์ด้านความเผือกที่ไม่ธรรมดา

“น้าสุดหล่อ น้าเป็นแฟนเจ้เหรอ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง ทั้งส่งยิ้มละมุนให้เด็กชาย

“ถ้างั้นน้าก็สอยเจ้แล้วสิ”

คราวนี้ใบหน้าคนตัวโตกลายเป็นเครื่องหมายคำถาม

“ก็หม่าม๊าบอกว่าเจ้ขึ้นคาน ไม่มีแฟน สงสัยชั่วชีวิตนี้ยากจะหาคนสอยลงมาแล้ว”

(มีต่อครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่