[ส่วนที่ 1] ข้อมูล
ติดตามข่าวตั้งแต่การวิ่งครั้งก่อน จนมาถึงครั้งนี้ แล้วก็เกิดความรู้สึกว่า ทำไมเงินภาษี และ อากร รวมไปถึงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ภาครัฐจัดเก็บ
ทั้งจากนิติบุคคล และ บุคคลธรรมดา ปีหนึ่ง ๆ เก็บได้ตั้ง 2 ล้าน ล้าน บาท
ข้อมูลอ้างอิง (ปี 2559 ต.ค.2558 - ก.ย.2559)
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลปีงบประมาณ 2559 (ตุลาคม 2558 – กันยายน 2559) (ต.ค. 2559) (19 ต.ค. 2559)
http://www.fpo.go.th/FPO/index2.php?mod=Category&file=categoryview&categoryID=CAT0000674
สถิติข้อมูลงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - รัฐสภา
http://library2.parliament.go.th/ebook/content-ebspa/pbo-report3-2558.pdf
รูปที่ 1 แสดงการจัดเก็บรายได้ของรัฐ
รูปที่ 2 สัดส่วนงบประมาณ 2559
รูปที่ 3
รูปที่ 4 งบแจงตามกระทรวง (เทียบกับปี 2558)
============================
[ส่วนที่ 2] ข้อคิดเห็น
จากข้อมูล
1. รัฐบาลก็ให้ความสำคัญกับทางด้านสาธารณสุข เพราะมีการเพิ่มงบให้กระทรวงสาธารณสุขจากปี 58 ถึง 14%
2. มีงบสำหรับด้านสาธารณสุข (ทั้งของกระทรวง และ หน่วยงานอื่น) ถึง 10%
============================
[ส่วนที่ 3] ข้อหารือ/ขอความคิดเห็น
1. แนวทาง/แผนยุทธศาสตร์สำหรับแก้ปัญหาสาธารณสุข เป็นอย่างไร?
ซึ่งหากมีก็น่าที่จะนำมาเปิดเผยว่า ปัญหาเครื่องมือขาดแคลนในโรงพยาบาล เป็นจำนวนเท่านี้ จะจัดหาแบบนี้ ใช้เวลา xx ปี
เผื่อ ตูน จะได้วางแผนถูกว่าจะต้องวิ่งหรือไม่อย่างไร? เมื่อไหร่? (มิเช่นนั้น ตูน ก็จะได้วิ่งอีกแน่เป็นครั้งที่ 3 4 5 ...)
2. สัดส่วนการจัดสรรรายจ่ายเหมาะสมแล้ว? สำหรับงานด้านสาธารณสุข
3. เป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ที่ ในการเสียภาษี เราจะสามารถระบุไปว่า อยากให้นำภาษีของเรานั้นไปสนับสนุนกระทรวงใดบ้าง (ให้เลือก 5 กระทรวง)
[คหสต] ผมก็พอเข้าใจบริบทของรัฐ เพราะต้องมองภาพรวม และ กระจายการแก้ปัญหาในทุกด้าน แต่ ก็มีติดใจอยู่ว่า "ผู้" ให้น้ำหนักว่าตรงไหน ควร/ไม่ควร มาก/น้อย เท่าใด อาจไม่ได้ตรงจุดนักเพราะอาจจะไม่ทราบเสียงสะท้อนปัญหานั้นชัดเจน ดังนั้นใน ข้อ 3 จึงจะเป็นช่องทางหนึ่งที่รัฐจะได้รับทราบเสียงสะท้อนนั้นบ้าง
แอบเพ้อฝัน สมมติ ทำได้ตามข้อ 3 กระทรวงต่าง ๆ อาจจะทำงานได้ดีขึ้น เต็มที่ที่จะแก้ปัญหาให้ประชาชน เพราะ จะสะท้อนถึงการได้รับการสนับสนุน ไม่ใช่ต้องทำงานสนองนาย (เพราะนายเป็นคนตัดงบ)
ลองปรับตามที่ #คห2 แนะนำ : สมมติ ภาษีที่เราจ่ายไป 50% ให้เข้างบกลาง(ให้รัฐจัดการได้) อีก 50% ให้สนับสนุนกระทรวงที่เราเห็นควร (max 5 กระทรวง)(อาจให้ระบุ % ด้วย)
[ขอความคิดเห็น] จากกรณี "โครงการก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ" ของตูน
ติดตามข่าวตั้งแต่การวิ่งครั้งก่อน จนมาถึงครั้งนี้ แล้วก็เกิดความรู้สึกว่า ทำไมเงินภาษี และ อากร รวมไปถึงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ภาครัฐจัดเก็บ
ทั้งจากนิติบุคคล และ บุคคลธรรมดา ปีหนึ่ง ๆ เก็บได้ตั้ง 2 ล้าน ล้าน บาท
ข้อมูลอ้างอิง (ปี 2559 ต.ค.2558 - ก.ย.2559)
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลปีงบประมาณ 2559 (ตุลาคม 2558 – กันยายน 2559) (ต.ค. 2559) (19 ต.ค. 2559)
http://www.fpo.go.th/FPO/index2.php?mod=Category&file=categoryview&categoryID=CAT0000674
สถิติข้อมูลงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - รัฐสภา
http://library2.parliament.go.th/ebook/content-ebspa/pbo-report3-2558.pdf
รูปที่ 1 แสดงการจัดเก็บรายได้ของรัฐ
รูปที่ 2 สัดส่วนงบประมาณ 2559
รูปที่ 3
รูปที่ 4 งบแจงตามกระทรวง (เทียบกับปี 2558)
============================
[ส่วนที่ 2] ข้อคิดเห็น
จากข้อมูล
1. รัฐบาลก็ให้ความสำคัญกับทางด้านสาธารณสุข เพราะมีการเพิ่มงบให้กระทรวงสาธารณสุขจากปี 58 ถึง 14%
2. มีงบสำหรับด้านสาธารณสุข (ทั้งของกระทรวง และ หน่วยงานอื่น) ถึง 10%
============================
[ส่วนที่ 3] ข้อหารือ/ขอความคิดเห็น
1. แนวทาง/แผนยุทธศาสตร์สำหรับแก้ปัญหาสาธารณสุข เป็นอย่างไร?
ซึ่งหากมีก็น่าที่จะนำมาเปิดเผยว่า ปัญหาเครื่องมือขาดแคลนในโรงพยาบาล เป็นจำนวนเท่านี้ จะจัดหาแบบนี้ ใช้เวลา xx ปี
เผื่อ ตูน จะได้วางแผนถูกว่าจะต้องวิ่งหรือไม่อย่างไร? เมื่อไหร่? (มิเช่นนั้น ตูน ก็จะได้วิ่งอีกแน่เป็นครั้งที่ 3 4 5 ...)
2. สัดส่วนการจัดสรรรายจ่ายเหมาะสมแล้ว? สำหรับงานด้านสาธารณสุข
3. เป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ที่ ในการเสียภาษี เราจะสามารถระบุไปว่า อยากให้นำภาษีของเรานั้นไปสนับสนุนกระทรวงใดบ้าง (ให้เลือก 5 กระทรวง)
[คหสต] ผมก็พอเข้าใจบริบทของรัฐ เพราะต้องมองภาพรวม และ กระจายการแก้ปัญหาในทุกด้าน แต่ ก็มีติดใจอยู่ว่า "ผู้" ให้น้ำหนักว่าตรงไหน ควร/ไม่ควร มาก/น้อย เท่าใด อาจไม่ได้ตรงจุดนักเพราะอาจจะไม่ทราบเสียงสะท้อนปัญหานั้นชัดเจน ดังนั้นใน ข้อ 3 จึงจะเป็นช่องทางหนึ่งที่รัฐจะได้รับทราบเสียงสะท้อนนั้นบ้าง
แอบเพ้อฝัน สมมติ ทำได้ตามข้อ 3 กระทรวงต่าง ๆ อาจจะทำงานได้ดีขึ้น เต็มที่ที่จะแก้ปัญหาให้ประชาชน เพราะ จะสะท้อนถึงการได้รับการสนับสนุน ไม่ใช่ต้องทำงานสนองนาย (เพราะนายเป็นคนตัดงบ)
ลองปรับตามที่ #คห2 แนะนำ : สมมติ ภาษีที่เราจ่ายไป 50% ให้เข้างบกลาง(ให้รัฐจัดการได้) อีก 50% ให้สนับสนุนกระทรวงที่เราเห็นควร (max 5 กระทรวง)(อาจให้ระบุ % ด้วย)