Victoria & Abdul เป็นภาพยนตร์แนวดรามาคอมเมดี้ หรือที่เรียกว่าดรามาดี้ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของควีนวิคตอเรียแห่งอังกฤษและข้ารับใช้ชาวอินเดียชื่ออับดุล โดยหนังเรื่องนี้ได้สร้างมาจากเรื่องจริงในหนังสือแนวประวัติศาสตร์ชื่อว่า Victoria & Abdul: The True Story of the Queen’s Closest Confidant เขียนโดย ชราบานี่ บาซู กำกับโดยผู้กำกับชาวอังกฤษ สตีเฟ่น เฟรียส์ ผู้กลับมารับงานกำกับหนังแนวเดียวกันหลังจากที่เคยกำกับเรื่อง The Queen (2008)ที่เป็นเรื่องราวของควีนอลิซาเบธที่ 2 นำแสดงโดย ดาราเจ้าบทบาท จูดี้ เดนช์ และนักแสดงหนุ่มอินเดีย อาลี ไฟซาล

หนังบอกเล่าเรื่องราวในช่วงยุคสมัยปลายศตวรรษที่19 ซึ่งในขณะนั้นอังกฤษได้ยึดครองอินเดียมาเป็นเวลากว่า 29 ปี เสมียนเรือนจำหนุ่มชาวอินเดียนามว่าอับดุล คาริมซึ่งจับพลัดจับผลูได้ถูกเลือกให้เป็นผู้นำเครื่องราชย์โมเฮอร์ของราชวงศ์โมกุลแห่งอินเดียไปมอบให้แด่ควีนวิคตอเรียเนื่องในโอกาสครองราชย์ครบ 50 ปี ต่อมาควีนวิคตอเรียได้ถูกชะตาในตัวของเสมียนหนุ่มอับดุลผู้นี้จึงได้ให้มาเป็นข้ารับใช้ใกล้ชิดโดยที่ควีนมิได้สนใจความรู้สึกของข้าราชบริพารฝ่ายในและคนรอบข้าง จนอับดุลได้มีโอกาสเลื่อนขั้นจากข้ารับใช้เป็นครูสอนวัฒนธรรมและภาษาฮินดู อูรดูเรียกว่าได้เป็นข้าราชบริพารที่ใกล้ชิดคนหนึ่งเลยทีเดียว จากความที่อับดุลเป็นคนที่สุภาพนอบน้อม รู้จักเอาอกเอาใจในขณะที่ควีนวิคตอเรียอยู่ในช่วงที่เหงาและว้าเหว่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากคนรอบตัวรวมไปถึงเจ้าชายอัลเบิร์ตทายาทของควีนวิคตอเรียเอง

การดำเนินเรื่องก็เป็นไปในลักษณะเรื่อยๆ ไม่ได้มีความหวือหวาอะไรมากมายเรียกได้ว่าเป็นไปตามสูตรของหนังประเภทดรามาดี้ที่เราพบเห็นได้ทั่วๆ ไป แต่หนังก็จะมีเกร็ดประวัติศาสตร์ให้เราได้เรียนรู้ในยุคนั้นพอสมควรซึ่งในขณะนั้นอินเดียได้ตกอยู่ใต้อาณานิคมของอังกฤษการที่มีคนอินเดียมาได้ดิบได้ดี ได้รับการยกย่องโดยควีนก็ทำให้คนในวังรู้สึกกระอักกระอ่วนในฐานะที่ตนเป็นเจ้าอาณานิคม ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้แต่ดูแคลนและแบ่งแยกพวกคนต่างสีต่างผิวมาโดยตลอด และหนังก็ยังพาเราให้ไปได้เห็นภาพกิจวัตรประจำวันของควีนตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงบรรทมเลยว่ามีพระราชกรณียกิจอะไรบ้าง ในส่วนสิ่งเด่นๆในเรื่องนี้ที่เห็นได้ชัดก็เป็นในเรื่องของคอสตูม ผมคิดว่าทีมงานได้ทำการบ้านมาอย่างดี เครื่องแต่งกายของตัวละครทำให้เราเห็นภาพการแต่งกายของราชวงศ์และข้าราชบริพารได้ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นในช่วงฤดูฝน ฤดูหนาว รวมถึงการแปรพระราชสถานของควีนที่ต้องเปลี่ยนชุดต่างๆ ให้เข้ากับท้องถิ่นนั้นด้วย สำหรับเพลงประกอบในเรื่องถือว่าทำได้ดีทีเดียวเข้ากับหนังแนวพีเรียด ในจังหวะที่สนุกสนานก็พาเราสนุกไปด้วย จังหวะเศร้าก็บีบหัวใจของเราซะหงอยตามเลย สิ่งหนึ่งที่ต้องชื่นชมคงจะเป็นในส่วนของบทสนทนา เรื่องนี้บทสนทนาของตัวละครแอบมีความจิกกัดเสียดสี แต่ละประโยคแต่ละคำพูดก็มีความนัยสื่อให้เห็น รวมไปถึงในเรื่องของปรัชญาที่สอดแทรกผสมมาเล็กน้อย อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบก็คือการเลือกสถานที่ถ่ายทำและมุมกล้องที่ถ่ายทอดออกมาได้สวยงามให้เห็นถึงสภาพบรรยากาศในพระราชวัง วิวทิวทัศน์ของธรรมชาติ และบรรยากาศในการปิกนิกของชาวอังกฤษสมัยเก่า

ในเรื่องของการแสดงของจูดี้ เดนช์ที่รับบทบาทของควีนวิคตอเรียอีกครั้ง หลังจากที่เคยรับบทเดียวกันนี้ในหนังเรื่อง Her Majesty Mrs.Brown เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ต้องถือได้ว่าเดนช์เล่นได้ดีมากๆ เรียกได้ว่าแบกหนังเรื่องนี้ทั้งเรื่องเอาไว้คนเดียวเลยก็ว่าได้ ทำให้เราไม่ผิดหวังสมแล้วที่คร่ำหวดในวงการนี้มาอย่างยาวนาน ทั้งบทตลก บทเศร้า รวมไปถึงบทเอาแต่ใจ เดนช์ทำได้อย่างดีงามไม่มีที่ติ ต้องกราบงามๆ ในผลงานอันเอกอุของเดนช์กันเลยทีเดียว แต่ถ้าถามว่าจะเป็นเหมือนในประวัติศาสตร์หรือเปล่าก็ไม่ขนาดนั้นเพราะในประวัติศาสตร์จะบอกเล่าว่าควีนมีความเย่อหยิ่ง และอารมณ์ร้ายชอบเหวี่ยงเป็นอาจินต์ ในเรื่องนี้จะออกแนวสุขุมหน่อยๆ ในส่วนของไฟซาล ที่เล่นเป็นอับดุลก็ถือว่าเล่นได้ไม่เลวเท่าไหร่ เขาสามารถทำให้เราเชื่อได้ว่าอับดุลเป็นชายซื่อๆ มีความสุภาพ อ่อนน้อมจริงๆ ตอนผมดูผมก็มีความรู้สึกว่า อับดุลนายอยู่เป็นว่ะ (ฮา) ถือว่าสอบผ่าน แม้ในเรื่องจะไม่เด่นมากเท่าไรก็ตาม ส่วนบทบาทอื่นๆ ผมถือว่าเล่นได้ดีนะ ไม่ว่าจะเป็นราชเลขาผู้น่าสงสาร หรือคุณหมอประจำตัวของควีนที่สีหน้าท่าทางมันได้ รวมไปถึงบทบาทของเบอร์ตี้ เจ้าชายทายาทผู้ขัดแม่ไปเสียทุกเรื่อง
โดยรวมๆ ผมให้ 7 เต็ม 10 นะ หนังก็ดูเพลินๆ ดี เรื่อยๆ ก็เป็นไปตามความมุ่งหมายของผู้กำกับที่ต้องการคือให้เป็นหนังที่ไม่เครียดมาก มีทุกอารมณ์ ตลก เศร้า เหงา แต่ผมว่ามันยังไม่สุดเท่าไหร่ จะเศร้าก็ไม่ถึงขนาดน้ำตาซึม ผมมีความรู้สึกว่ามันไม่ได้สนุกมากมายขนาดที่พลาดไม่ได้ ผมว่าหนังประเภทนี้ดูที่บ้านก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปดูที่โรง ถ้าใครไม่รีบก็รอให้ออกเป็นดีวีดีแล้วหาซื้อดูที่บ้านก็ได้ หรือถ้าใครมีโปรลดจะใช้ก็แล้วแต่ครับ เรียกว่าใครใคร่ดูก็ดู ใครใคร่รอก็รอก่อน

ถ้าสนใจดูรีวิวหนังเรื่องอื่นเพิ่มเติมหรือให้คำติชมแนะนำได้ที่เพจผมครับ https://www.facebook.com/cineman95/ ช่วยกดไลค์เป็นกำลังใจให้ด้วยครับ