สวัสดีค่ะทุกคน นี่ก็เป็นอีกกระทู้ที่เราอยากมาแชร์ให้ทุกคนได้อ่านกัน เรื่องนี้ผ่านมาสี่ถึงห้าปีแล้วแหละค่ะ ตอนนั้นเราเรียนอยู่ ม.6 และได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมเป็นเวลาสองคืนสามวัน เรื่องนี้ค่อนข้างแปลกนะคะ ก็ต้องแล้วแต่ความเชื่อส่วนบุคคลและวิจารณญาณในการอ่านอีกเช่นเคยค่ะ เราจะเล่าให้จบเลยนะคะเพื่อความสุนทรีในการอ่าน อิ้อิ้
เข้าเรื่องเลยค่ะ เราไปปฏิบัติธรรมกับลูกพี่ลูกน้องของเราค่ะ พวกเราไปกันสองคน เพราะทางลูกพี่ลูกน้องรู้จักกับเจ้าของสถานปฏิบัติธรรม เลยมาชวนเราไปด้วย เจ้าของสถานฯ ชื่อ แม่นง ค่ะ สถานฯอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเรามาก ห่างแค่เพียงข้ามหมู่บ้านไปเท่านั้น พอพวกเราไปถึง เราก็สังเกตรอบๆนะคะ และเห็นว่าสถานที่นี้ตั้งอยู่โดดๆเลย
มีพื้นที่กว้างขวางมาก เพราะล้อมรั้วไว้เหมือนบ้านอ่ะ แต่ว่าเยื้องๆไปเป็นป่าช้าค่ะ ที่เรารู้ว่าเป็นป่าช้าเพราะว่าเห็นตรงปล่องควันสูงเลยต้นไม้ขึ้นมา แรกๆก็มองไม่ออกหรอกค่ะ เพราะมีแต่ป่าทึบเลย ข้างในบริเวณก็จะมีศาลพระพรหมตั้งอยู่หน้าอาคารปฏิบัติธรรม ข้างหน้าศาลจะเป็นบ่อน้ำกว้างๆ และลึกมาก(เจ้าของบอกมา)
อีกฝั่งนึงก็จะเป็นอาคารสำหรับพักผ่อนค่ะ เป็นเรือนทรงไทยหลังเล็กเรียงรายกันไป เราก็เอาข้าวของไปเก็บในเรือนหลังที่ห้า เรานอนกับลูกพี่ลูกน้องนะคะ พอทำธุระส่วนตัวอะไรเสร็จก็ถึงเวลาปฏิบัติ เราเลยรีบเข้าไปในอาคาร ก็เจอกับคนอื่นๆที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อมาปฏิบัติธรรมเหมือนกัน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กค่ะ น้องอายุ12ขวบ เป็นผู้หญิง
จากนั้นแม่นงก็บอกให้พวกเราฝึกนั่งสมาธิ ขออธิบายนะคะว่าแม่นงท่านเป็นคนที่นั่งกรรมฐานจนถึงขั้นสามารถมองเห็นอะไรๆได้ คือเลยขั้นคนธรรมดาอย่างเราๆจะก้าวข้ามไปแล้ว ต่อค่ะ แม่นงบอกแค่ว่าลองนั่งฝึกจิตและกำหนดลมหายใจเข้าออกดู และพวกเราจะสามารถมองเห็นแสงสีเหลืองในสมาธิได้ ซึ่งตอนนั้นเราจิตใจว้าวุ่น จิตฟุ้งซ่านมาก คือไม่มีสมาธิเลย
พอนั่งสมาธิผ่านไปสักพักแม่นงก็บอกให้พวกเราลืมตาขึ้น และบอกจี้เป็นคนเลยนะคะว่าแต่ละคนเป็นไง จิตว้าวุ่นนะ บลาๆ ลองพยายามอีกหน่อยเดี๋ยวก็ได้เอง คืนที่1ผ่านไป โดยที่เราก็ไร้ซึ่งสมาธิ พอเข้าสู่คืนที่2 ก็นั่งสมาธิเหมือนเดิมค่ะ แม่นงบอกเราว่า ให้พยายามมีสมาธิหน่อยเพราะเราค่อนข้างมีอะไรแตกต่างจากคนอื่นๆ เราก็ยิ้มๆให้ท่าน
คืนที่2ก็ผ่านไปเหมือนเดิมค่ะ จนเข้าสู่วันที่3 คือวันสุดท้าย ทุกคนตั้งใจปฏิบัติกันมาก ก่อนเข้าสมาธิแม่นงก็บอกว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายทีพวกเราจะได้ปฏิบัติด้วยกัน ดังนั้นขอให้มีสตินะ เพราะพวกเขารอรับอยู่ เราก็หันมองออกไปนอกหน้าต่างก็รับรู้ได้นะคะว่า เขา ในที่นี้คืออะไร
พวกเราเริ่มเข้าสมาธิกัน สักพักเสียงนกร้องดังมาก มาจากนอกรั้ว เราก็ไม่ได้สนใจอะไร จนเราสามารถมีสมาธิได้ค่ะ เรามองเห็นแสงสีเหลืองที่แม่นงท่านเคยบอก แสงนั้นเป็นเหมือนประตูทางเข้าอะไรสักอย่าง และเสียงแม่นงก็ดังขึ้นมาว่า เดินข้ามแสงนั้นให้ได้นะ แล้วทุกคนจะได้เห็นอีกโลกหนึ่ง เราก็ทำตามนะคะ แต่เดินไปแค่ไหน พยายามแค่ไหนเราก็ไปไม่ถึงแสงนั้น
แต่ตอนที่นั่งๆอยู่ เราขนลุกหนักมาก มากจนเจ็บปวดไปหมดทั้งตัว และคันยุบยิบทั่วร่างกาย จึงทำให้สมาธิเราฟุ้งจนกลายเป็นไม่เห็นอะไรอีก เราก็เลยนั่งหลับตาเฉยๆเพื่อรอให้หมดเวลาทำสมาธิ พักนึงแม่นงก็บอกให้ทุกคนลืมตาขึ้น แล้วก็คุยกับเราว่า เห็นไหมการไม่มีสมาธิน่ะ ทำให้จิตหนูฟุ้งซ่านขนาดไหน พยายามเข้าไปหาแสงสว่างนั้น แต่กลับไปไม่ถึง
หนูต้องหมั่นฝึกสมาธิให้มากนะรู้ไหม เราก็ยิ้มๆ และท่านก็พูดอีกว่า เมื่อกี้ทุกคนคงได้ยินเสียงนกร้องใช่ไหม นกก็มารอรับผลบุญที่เรากระทำด้วยนะ ไม่ใช่แค่นกหรอก สัมภเวสีจากป่าช้าใกล้ๆนี้ก็ด้วย เพราะพวกเขารู้ว่าพวกเรากำลังสร้างบุญจึงมารุมล้อมเพื่อขอส่วนบุญ จริงไหมล่ะหนู (หันหน้ามาทางเรา) เมื่อกี้ตอนนั่งก็โดนสะกิดนี่นา หืมมมม
เราก็แบบ ค่ะ ขนลุกหนักมากจริงๆ ท่านก็บอก เป็นเพราะเปรตมาสะกิดขอส่วนบุญจากเรา (พอนึกถึงก็ขนลุกเลย แหะๆ) พวกสัมภเวสีเข้ามาภายในไม่ได้หรอกนะ เพราะมีท่านปู่พรหมคอยปกป้อง จริงไหม (หันหน้าไปทางน้องผู้หญิงที่เรากล่าวถึงตอนต้นเรื่อง) แม่นง อธิบายว่า น้องผู้หญิงคนนี้ มีจิตใจบริสุทธิ์มาก เพราะยังเด็ก จึงทำให้สามารถก้าวข้ามผ่านแสงสีเหลืองที่เห็นในสมาธิได้ อีกอย่างตัวผลักดันคือพ่อและแม่ของน้องก็มาปฏิบัติธรรมด้วย จึงทำให้พลังจิตของน้องผลักดันน้องให้ผ่านจุดๆนั้นได้นั่นเอง
น้องผู้หญิงก็เล่าให้ทุกคนฟังว่าตัวเองได้เห็นอะไรบ้างขณะอยู่ในสมาธิ น้องบอกว่าปู่พรหมพาน้องลงไปในบ่อน้ำหน้าศาล และได้เห็นพญานาคสามตนอยู่ในนั้น และน้องยังเห็นกรรมของทุกๆคนในที่นั้นด้วยค่ะ กรรมจากการกระทำของใครของมัน น้องเห็นเป็นพวกสัตว์และแมลงต่างๆที่พวกเราทั้งหลายได้เกี่ยวข้องกับพวกมันมา
ทั้งจิ้งจก ยุง หมา แมว เยอะแยะเต็มอาคารไปหมด น้องเห็นที่เรามีแต่พวกมดและยุงไต่เต็มตัวเราเลย (ถึงว่าทำไมคันยุบยิบเวลาเข้าสมาธิตลอดเลย) และเห็นของลูกพี่ลูกน้องเรา มีหมานั่งอยู่บนบ่าสองข้าง เราเลยถามออกไปว่าหมามีลักษณะอย่างไร น้องก็อธิบายตรงตามลักษณะของหมาเราเลยค่ะ
ทั้งสองตัว เรากับลูกพี่ลูกน้องก็มองหน้ากัน เพราะก่อนหน้าที่พวกเราจะมาปฏิบัติธรรม ลูกพี่ลูกน้องเรานางมาหาเราที่บ้านและเล่นกับหมาเราโดยการลูบตัวพวกมันเล่นแค่นั้น ย้ำนะคะว่าลูบ แค่นี้ก็เป็นกรรมแล้ว ที่เราไปกระทำกับผู้อื่น ส่วนของคนอื่นๆก็จะเป็นพวกแมวหรือจิ้งจกหรือสัตว์น้อยใหญ่แล้วแต่บุคคลกระทำมาทั้งสิ้นค่ะ
มีคนหนึ่งที่หนักเลยคือไก่จิกที่แขนซ้ายของเขาตลอดเวลาทำให้เขาเจ็บปวดมาตลอด ดังนั้นแม่นงจึงบอกทุกคนว่า กรรมที่ทุกคนล้วนมองข้าม เราไม่สามารถเห็นได้หรอกว่ากรรมนั้นๆตามเราไปไหนมาไหนทุกที่เลย เพียงแค่สัมผัสก็เกิดเป็นกรรมได้ จึงไม่แปลกอะไรหากเราไปทำร้ายคนอื่นแบบไหน เราก็จะได้รับกรรมนั้นกลับมาเองค่ะ แม่นงสอนว่าหากเราจำเป็นต้องแตะต้องหรือสัมผัสร่างกายคนอื่นอย่างเช่น การนวด หรือทำอะไรก็ตามกับคนอื่น เราต้องขอขมาเขาก่อนเพื่อให้เขาอนุญาต จะได้ไม่เป็นกรรมติดตัวเราค่ะ
เรื่องนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้ค่ะ เราก็หาโอกาสไปปฏิบัติธรรมอีกครั้งนะคะ แต่ก็ไม่ค่อยมีเวลาเลยเพราะเรียนหนักมากจริงๆค่ะ หากใครมีเรื่องไหนอยากแชร์ก็มาแชร์กันนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน๊า สวัสดีค่ะ
กรรมที่คนเรามองข้าม
เข้าเรื่องเลยค่ะ เราไปปฏิบัติธรรมกับลูกพี่ลูกน้องของเราค่ะ พวกเราไปกันสองคน เพราะทางลูกพี่ลูกน้องรู้จักกับเจ้าของสถานปฏิบัติธรรม เลยมาชวนเราไปด้วย เจ้าของสถานฯ ชื่อ แม่นง ค่ะ สถานฯอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเรามาก ห่างแค่เพียงข้ามหมู่บ้านไปเท่านั้น พอพวกเราไปถึง เราก็สังเกตรอบๆนะคะ และเห็นว่าสถานที่นี้ตั้งอยู่โดดๆเลย
มีพื้นที่กว้างขวางมาก เพราะล้อมรั้วไว้เหมือนบ้านอ่ะ แต่ว่าเยื้องๆไปเป็นป่าช้าค่ะ ที่เรารู้ว่าเป็นป่าช้าเพราะว่าเห็นตรงปล่องควันสูงเลยต้นไม้ขึ้นมา แรกๆก็มองไม่ออกหรอกค่ะ เพราะมีแต่ป่าทึบเลย ข้างในบริเวณก็จะมีศาลพระพรหมตั้งอยู่หน้าอาคารปฏิบัติธรรม ข้างหน้าศาลจะเป็นบ่อน้ำกว้างๆ และลึกมาก(เจ้าของบอกมา)
อีกฝั่งนึงก็จะเป็นอาคารสำหรับพักผ่อนค่ะ เป็นเรือนทรงไทยหลังเล็กเรียงรายกันไป เราก็เอาข้าวของไปเก็บในเรือนหลังที่ห้า เรานอนกับลูกพี่ลูกน้องนะคะ พอทำธุระส่วนตัวอะไรเสร็จก็ถึงเวลาปฏิบัติ เราเลยรีบเข้าไปในอาคาร ก็เจอกับคนอื่นๆที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อมาปฏิบัติธรรมเหมือนกัน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กค่ะ น้องอายุ12ขวบ เป็นผู้หญิง
จากนั้นแม่นงก็บอกให้พวกเราฝึกนั่งสมาธิ ขออธิบายนะคะว่าแม่นงท่านเป็นคนที่นั่งกรรมฐานจนถึงขั้นสามารถมองเห็นอะไรๆได้ คือเลยขั้นคนธรรมดาอย่างเราๆจะก้าวข้ามไปแล้ว ต่อค่ะ แม่นงบอกแค่ว่าลองนั่งฝึกจิตและกำหนดลมหายใจเข้าออกดู และพวกเราจะสามารถมองเห็นแสงสีเหลืองในสมาธิได้ ซึ่งตอนนั้นเราจิตใจว้าวุ่น จิตฟุ้งซ่านมาก คือไม่มีสมาธิเลย
พอนั่งสมาธิผ่านไปสักพักแม่นงก็บอกให้พวกเราลืมตาขึ้น และบอกจี้เป็นคนเลยนะคะว่าแต่ละคนเป็นไง จิตว้าวุ่นนะ บลาๆ ลองพยายามอีกหน่อยเดี๋ยวก็ได้เอง คืนที่1ผ่านไป โดยที่เราก็ไร้ซึ่งสมาธิ พอเข้าสู่คืนที่2 ก็นั่งสมาธิเหมือนเดิมค่ะ แม่นงบอกเราว่า ให้พยายามมีสมาธิหน่อยเพราะเราค่อนข้างมีอะไรแตกต่างจากคนอื่นๆ เราก็ยิ้มๆให้ท่าน
คืนที่2ก็ผ่านไปเหมือนเดิมค่ะ จนเข้าสู่วันที่3 คือวันสุดท้าย ทุกคนตั้งใจปฏิบัติกันมาก ก่อนเข้าสมาธิแม่นงก็บอกว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายทีพวกเราจะได้ปฏิบัติด้วยกัน ดังนั้นขอให้มีสตินะ เพราะพวกเขารอรับอยู่ เราก็หันมองออกไปนอกหน้าต่างก็รับรู้ได้นะคะว่า เขา ในที่นี้คืออะไร
พวกเราเริ่มเข้าสมาธิกัน สักพักเสียงนกร้องดังมาก มาจากนอกรั้ว เราก็ไม่ได้สนใจอะไร จนเราสามารถมีสมาธิได้ค่ะ เรามองเห็นแสงสีเหลืองที่แม่นงท่านเคยบอก แสงนั้นเป็นเหมือนประตูทางเข้าอะไรสักอย่าง และเสียงแม่นงก็ดังขึ้นมาว่า เดินข้ามแสงนั้นให้ได้นะ แล้วทุกคนจะได้เห็นอีกโลกหนึ่ง เราก็ทำตามนะคะ แต่เดินไปแค่ไหน พยายามแค่ไหนเราก็ไปไม่ถึงแสงนั้น
แต่ตอนที่นั่งๆอยู่ เราขนลุกหนักมาก มากจนเจ็บปวดไปหมดทั้งตัว และคันยุบยิบทั่วร่างกาย จึงทำให้สมาธิเราฟุ้งจนกลายเป็นไม่เห็นอะไรอีก เราก็เลยนั่งหลับตาเฉยๆเพื่อรอให้หมดเวลาทำสมาธิ พักนึงแม่นงก็บอกให้ทุกคนลืมตาขึ้น แล้วก็คุยกับเราว่า เห็นไหมการไม่มีสมาธิน่ะ ทำให้จิตหนูฟุ้งซ่านขนาดไหน พยายามเข้าไปหาแสงสว่างนั้น แต่กลับไปไม่ถึง
หนูต้องหมั่นฝึกสมาธิให้มากนะรู้ไหม เราก็ยิ้มๆ และท่านก็พูดอีกว่า เมื่อกี้ทุกคนคงได้ยินเสียงนกร้องใช่ไหม นกก็มารอรับผลบุญที่เรากระทำด้วยนะ ไม่ใช่แค่นกหรอก สัมภเวสีจากป่าช้าใกล้ๆนี้ก็ด้วย เพราะพวกเขารู้ว่าพวกเรากำลังสร้างบุญจึงมารุมล้อมเพื่อขอส่วนบุญ จริงไหมล่ะหนู (หันหน้ามาทางเรา) เมื่อกี้ตอนนั่งก็โดนสะกิดนี่นา หืมมมม
เราก็แบบ ค่ะ ขนลุกหนักมากจริงๆ ท่านก็บอก เป็นเพราะเปรตมาสะกิดขอส่วนบุญจากเรา (พอนึกถึงก็ขนลุกเลย แหะๆ) พวกสัมภเวสีเข้ามาภายในไม่ได้หรอกนะ เพราะมีท่านปู่พรหมคอยปกป้อง จริงไหม (หันหน้าไปทางน้องผู้หญิงที่เรากล่าวถึงตอนต้นเรื่อง) แม่นง อธิบายว่า น้องผู้หญิงคนนี้ มีจิตใจบริสุทธิ์มาก เพราะยังเด็ก จึงทำให้สามารถก้าวข้ามผ่านแสงสีเหลืองที่เห็นในสมาธิได้ อีกอย่างตัวผลักดันคือพ่อและแม่ของน้องก็มาปฏิบัติธรรมด้วย จึงทำให้พลังจิตของน้องผลักดันน้องให้ผ่านจุดๆนั้นได้นั่นเอง
น้องผู้หญิงก็เล่าให้ทุกคนฟังว่าตัวเองได้เห็นอะไรบ้างขณะอยู่ในสมาธิ น้องบอกว่าปู่พรหมพาน้องลงไปในบ่อน้ำหน้าศาล และได้เห็นพญานาคสามตนอยู่ในนั้น และน้องยังเห็นกรรมของทุกๆคนในที่นั้นด้วยค่ะ กรรมจากการกระทำของใครของมัน น้องเห็นเป็นพวกสัตว์และแมลงต่างๆที่พวกเราทั้งหลายได้เกี่ยวข้องกับพวกมันมา
ทั้งจิ้งจก ยุง หมา แมว เยอะแยะเต็มอาคารไปหมด น้องเห็นที่เรามีแต่พวกมดและยุงไต่เต็มตัวเราเลย (ถึงว่าทำไมคันยุบยิบเวลาเข้าสมาธิตลอดเลย) และเห็นของลูกพี่ลูกน้องเรา มีหมานั่งอยู่บนบ่าสองข้าง เราเลยถามออกไปว่าหมามีลักษณะอย่างไร น้องก็อธิบายตรงตามลักษณะของหมาเราเลยค่ะ
ทั้งสองตัว เรากับลูกพี่ลูกน้องก็มองหน้ากัน เพราะก่อนหน้าที่พวกเราจะมาปฏิบัติธรรม ลูกพี่ลูกน้องเรานางมาหาเราที่บ้านและเล่นกับหมาเราโดยการลูบตัวพวกมันเล่นแค่นั้น ย้ำนะคะว่าลูบ แค่นี้ก็เป็นกรรมแล้ว ที่เราไปกระทำกับผู้อื่น ส่วนของคนอื่นๆก็จะเป็นพวกแมวหรือจิ้งจกหรือสัตว์น้อยใหญ่แล้วแต่บุคคลกระทำมาทั้งสิ้นค่ะ
มีคนหนึ่งที่หนักเลยคือไก่จิกที่แขนซ้ายของเขาตลอดเวลาทำให้เขาเจ็บปวดมาตลอด ดังนั้นแม่นงจึงบอกทุกคนว่า กรรมที่ทุกคนล้วนมองข้าม เราไม่สามารถเห็นได้หรอกว่ากรรมนั้นๆตามเราไปไหนมาไหนทุกที่เลย เพียงแค่สัมผัสก็เกิดเป็นกรรมได้ จึงไม่แปลกอะไรหากเราไปทำร้ายคนอื่นแบบไหน เราก็จะได้รับกรรมนั้นกลับมาเองค่ะ แม่นงสอนว่าหากเราจำเป็นต้องแตะต้องหรือสัมผัสร่างกายคนอื่นอย่างเช่น การนวด หรือทำอะไรก็ตามกับคนอื่น เราต้องขอขมาเขาก่อนเพื่อให้เขาอนุญาต จะได้ไม่เป็นกรรมติดตัวเราค่ะ
เรื่องนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้ค่ะ เราก็หาโอกาสไปปฏิบัติธรรมอีกครั้งนะคะ แต่ก็ไม่ค่อยมีเวลาเลยเพราะเรียนหนักมากจริงๆค่ะ หากใครมีเรื่องไหนอยากแชร์ก็มาแชร์กันนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน๊า สวัสดีค่ะ