สารคดี-โบรโม่-อีเจี้ยน-ลมหายใจของเทพเจ้า


ครั้งแรกเราเห็นภาพภูเขาไฟโบรโม่ จากเว็ปท่องเที่ยวสักเว็ปหนึ่งจึงตั้งใจไว้ว่าต้องไปเยือนสถานที่แห่งนี้ให้ได้สักครั้ง หลังจากศึกษาข้อมูลมาสักระยะ กระบวกการเชิญเพื่อนร่วมทางจึงเริ่มต้นขึ้น

การเตรียมตัว & ค่าใช้จ่าย
- ติดต่อเอเจนซี่: ทริปนี้เราใช้บริการของ arif (arif.travel35@yahoo. com) สาเหตุเดียวเลยคือถูก
                       เดินทาง 10 คน ได้เรทคนละ 4,550 บาท
                      ราคาทริปรวม = ค่าไกด์ท้องถิ่น รถบัสเล็ก + คนขับ 3 วัน / ที่พัก 2 คืนที่โบรโม่กับคาวาอิเจี้ยน / ค่าเข้าสถานที่ / ค่ารถจิ๊บ / ค่าน้ำมันรถ / อาหารประมาณ 2 มื้อ
- จองตั๋วเครื่อง:  เราใช้บริการ travaloka ไม่ได้ค่าโฆษณานะ แค่มันถูกกว่าจองตรงกับสายการบินอะ แถมช่วงที่จองได้ส่วนลดเพิ่มอีกนิดหน่อย
                       ตั๋วเครื่องไป-กลับ 7200 บาท (ไป Air Asia // กลับ Jestsar ) รวมโหลดกระเป๋า
- จองที่พักที่สุราบายา : เราพักที่ My Studio Hotel City Center เป็นโฮสเต็ล คืนละ 200 บาท
- ค่าอาหารประมาณ 30 - 80 บาท/จาน ทั้งทริปเรากินกระจายหมดไปประมาณ 1000 บาท
- การแลกเงิน เราแลกจากเมืองไทยไปเลยชัวร์ดี
- วีซ่าไม่ต้องใช้ครับ ใช้พาสปอร์ตเล่มเดียว เที่ยวทั่วอาเซี่ยน
- เตรียม International adaptor ไปด้วย ปลั๊กอินโดเป็นแบบกลมๆ 2 รู




แผนการเดินทาง

Day 1 : เดินทางจากดอนเมืองไปยังสุราบายา 21.00 น. แล้วเดินทางต่อไปที่ Mt.Bromo (6 ชม.)
Day2 : เริ่มทัวร์กันตั่งแต่ตี 3
- ไปจุดชมวิว
- ถ่ายรูปบริเวณจุดชมวิวเพื่อชมวิวทิวทัศน์ยอดเขาโบรโม่
- ไปดูยังปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่
- ทุ่งหญ้าสาวันนา
- ทะเลทรายดำ
- น้ำตก Madakaripura
- กลับที่พัก
Day3 : ออกเดินทางจากโบรโม่ สู่คาวาอิเจียน (7 ชม.)
Day4 : เริ่มเดินทางตั่งแต่ 1.00 น.เพื่อไปยังจุดเดินเท้าสู่ Ijen หลังจากลงจาก Ijen เดินทางต่อสู่สุราบาย พักในตัวเมือง 1 คืน
Day5 : เดินทางกลับประเทศไทย

พร้อมลุยกันเลยสหายยยยยยย
Day 1



เราขึ้นเครื่องจากสนามบินดอนเมือง สายการบินแอเอเชียตอน 12.00น. ไปต่อเครื่องที่มาเลเซีย 2 ชม.
ใช้เวลาต่อเครื่อง 3 ชม. จากมาเลเซียมาสุราบายาอีก 2 ชม. ถึงสนามบินที่อินโอประมาณ 22.00น.


พอถึงสนามบิน Arif ส่งน้องชายชื่อ Feby มาเป็นไกด์ให้พวกเราในทริปนี้ Feby ได้นำรถบัสเล็กมารับพวกเราที่สนามบิน จากนั้นก็พาไปซื้อซิมที่ร้านข้างนอก เพราะ Feby บอกว่าราคาค่อนค้างถูกกว่าสนามบินมากพอสมควร เราจะเรียก Feby ว่าไกด์นะ จากนั้นไกด์เขาก็พาพวกเราเดินทางไปยังโบรโม่เลย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6-7 ชม. หลับๆตื่นๆอยู่ในรถหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายก็มาถึงที่ที่เรารอคอยกันแล้ว  



DAY 2
ถึงโบรโม่ประมาณตี 3 น. ไกด์ก็พาเราเตรียมตัวขึ้นรถ Jeep เพื่อเดินทางไปยังจุดชมวิว Penanjakan1 View Point จากนั้นเราต้องเดินเท้าต่อขึ้นไปยังจุดชมวิวอีกประมาณ 300 เมตร เพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น และดูทิวทัศน์ของภูเขาไฟโบรโม่ จุดชมวิวนี้จะเห็นวิวเต็มๆของภูเขาไฟโบรโม่ ซึ่งมันสวยมากๆ ขณะนี้เวลาประมาณ 6 โมงกว่าๆ อากาศค่อนข้างหนาว อุณหภูมิน่าจะราวๆ 6-7 องศา ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่คนไทยอาจไม่ค่อยชินกัน แนะนำเลยครับ ถ้าใครเป็นคนที่ขี้หนาว ให้เตรียมตัวรับกับสถานการณ์นี้ให้ดี



7 00. น.เช้า ลงมายังจุดนัดพบเพื่อขึ้นรถ Jeep   จากนั้นรถ Jeep จะพาเราไปดูยังปากกปล่องของภูเขาไฟโบรโม่ใกล้ๆ ถึงปากปล่องราวๆ 7.40 น. นักท่องเที่ยวต้องเดินเท้าต่อไปเองเพื่อขึ้นไปยังปากปล่องภูเขาไฟ





บริเวณนี้มีเสื้อผ้าและอาหารขาย บริเวณแถวที่จอดรถจะมีม้าให้บริการไปยังปากปล่องภูเขาไฟ ค่าม้าตกอยู่ที่คนละ 380 บาท ไป-กลับ ม้าจะส่งเราแค่ถึงทางขึ้นเท่านั้น เราต้องขึ้นบันไดไปอีกนิดหน่อย ก็จะถึงยังปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่   เราบอกเลยว่าเราไม่ได้เช่าม้าแต่อย่างใด เพราะคิดว่ามันไม่ไกลเท่าไหร่ แต่เอาเข้าจริงๆ หอบ-เลยจ้า เหนื่อยๆสุด พักไปหลายยก สุดท้ายก็ถึงเส้นชัยจนได้ พร้อมกับหมดน้ำไปหลายขวด



Bromo ตั้งอยู่ที่เมือง Probolingo หมู่เกาะ East Java ประเทศ Indonesia ซึ่งปัจจุบันภูเขาไฟแห่งนี้ยังคุกรุ่นอยู่ โดยปล่องภูเขาไฟมีความสูงอยู่ที่ 2,329 เมตร แม้ภูเขาแห่งนี้จะไม่ใช่ลูกที่สูงที่สุด แต่ก็เป็นภูเขาที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด และเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอีกแห่ง ส่วนที่ทำให้นักท่องเที่ยวสนใจมาเที่ยว เพราะมีจุดชมวิวที่ดีที่สุดจากยอดภูเขาไฟ มองไปที่ทะเลทรายข้างล่างและวิวรอบ ๆ รวมถึงมารอรับอรุณบนยอดภูเขาไฟอันร้อนแรงแห่งนี้



ไกด์นัดเรา 9 00. โมงแต่เรามาถึงกันเกือบๆ 10.00 โมงแหนะ เนื่องจากเหนื่อยและพักไปหลายยกมาก
ไกด์เลยปรึกษาพวกเราว่าจะตัดทุ่งหญ้าสะวันนาออกไป เพราะเดี๋ยวเวลาจะไม่ทัน จากนั้นพวกเราก็ขึ้นรถต่อไปยังอีกที่เลย ซึ่งมีชื่อว่า Whispering Sand เป็นทะเลทรายสีเทาๆ เพื่อเป็นการถ่ายรูปคู่กับรถ Jeep
ซึ่งเหมือนเป็นไฮไลท์หนึ่งในการมาเยือนโบรโม่



ทะเลทราย Whispering Sand เป็นไฮไลท์ในการถ่ายรูปคู่กับรถ JEEP ของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีบริเวณที่กว้างและโล่ง ซึ่งจะเห็นบรรยากาศรอบๆสวยงาม แต่ก็ต้องรีบถ่ายและรีบไป เนื่องจากฝุ่นและควันค่อนข้างเยอะ อยู่นานๆอาจจะหายใจไม่สะดวกหรือเป็นภูมิแพ้ได้ สำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ ควรพกหน้ากากกันฝุ่นมาด้วย จะดีไม่มากก็น้อยเลยแหละ

จากนั้น Jeep จะพากลับมาที่รถตู้ แล้วเราจะไปต่อที่น้ำตกกัน น้ำตกนี้มีชื่อว่า Madakaripura มาน้ำตกที่นี่ต้องใส่เสื้อกันฝนนะ เพราะละอองน้ำจากน้ำฝนที่นี่ค่อนข้างเหมือนฝนเลยแหละ ชื่นช่ำมากจริงๆ



ไกด์พาไปกินข้าวเย็นแล้วกลับที่พัก ซึ่งเป็นชุมชนโฮมเสตย์อยุ่ใกล้ๆแถวภูเขาไฟโบรโม่ ซึ่งถือว่าภูมิทัศน์ของชุมชมแห่งนี้ สวยงามมาก น่าอยู่ บรรยากาศร่มรื่น จากนั้นก็รออะไร เหนื่อยมาทั้งวันแล้วก็นอนสิครับ



อุณหภูมิค่อนข้างหนาวเลยทีเดียว ดูจากน้ำแข็งที่เกาะ
บนใบหญ้าแล้ว ไม่ต้องบรรยายก็น่าจะรู้ๆกันอยู่




      ป่าที่นี้ค่อนข้างสมบูรณ์และสวยงาม   มากๆ บรรยากาศตอนเช้าค่อนข้างหนาวเลยทีเดียว

DAY 3
วันนี้ต้องบอกลาโบรโม่และเดินทางไปยังคาวาอีเจี้ยน
ไกด์นัดทุกคนเจอกัน 8 โมงเพื่อออกเดินทางต่อไปยังอีเจี้ยน เพื่อที่จะไปชม Blue Fire ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 7-8 ชม. เมนูอาหารเช้าวันนี้ก็คือข้าวผัดไข่ที่ไกด์เตรียมไว้ให้กินบนรถ เพราะใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนาน อาจจะทำให้หิวได้ สุดท้ายเราก็ถึงอีเจี้ยนประมาณ 5 โมง




พอมาถึงไกด์ก็ให้เรา เช็คอิน เก็บกระเป๋า ออกมากินอาหารเย็นและเตรียมตัวนอน เพราะพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางตั้งแต่ตี 1 เพื่อไปชม Blue Fire ยังคาวาอีเจี้ยน

DAY 4
เราตื่นตอนเที่ยงคืน เพื่อเก็บของและเช็คเอ้าท์ออกตอนตี 1 เพื่อขึ้นรถบัสเล็กไปยังคาวาอีเจี้ยน ใช้เวลาเดินทาง 40 นาทีก็ถึง สิ่งที่ต้องเตรียมสำคัญๆเลยคือไฟฉายและชึดกันฝน เพราะมีฝนตกลงมาปอยๆ



หลังจากนั้นต้องเดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร ทางค่อนข้างจะชันมาก 1 กิโลเมตรเดินทางค่อนข้างลำบากเนื่องจากฝนตกลงมาค่อนข้างหนัก และพื้นที่ลื่น จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ มาถึงละก็ต้องเอาให้สุดสิวะ ไปกันเลย กว่าจะถึงยอดก็ราวๆตี 4 จากยอดเขาก็ต้องปีนลงมายังปากปล่องอีกนะ ยังไม่หมด เหนื่อยแล้วเหนื่อยอีก เหนื่อยสุดๆไปเลย จากนั้นไกด์ก็จะแจกหน้ากันแก๊สพิษจากกำมะถันที่ปะทุขึ้น



คาวาอีเจี้ยน เป็นภูเขาไฟที่มีการระเบิดหลายครั้งในอดีต โดยตั้งแต่ปี 1817 มีการระเบิดประมาณ 8 ครั้ง และมีการเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ โดยการระเบิดครั้งสำคัญคือปี 1817 ที่มีการปะทุและเกิดทะเลสาปรอบปล่องภูเขาไฟ และเกิดการเปลี่ยนแปลงสีของน้ำในทะเลสาบจากสีขาวเป็นสีเขียวอมน้ำตาลอ่อน



Blue Fire คือเปลวไฟ จากการเผาไหม้ของกำมะถัน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ และสวยงามมาก วันที่เรามาดูเป็นวันที่ฝนตกหนักจึงเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่สำหรับเราก็ถือว่าสวยมากๆ เดี๋ยวเราจะเอาภาพสวยๆจากในเว็ปมาให้ดูกันนะ เพื่อนๆจะได้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นว่ามันหน้าตาเป็นยังไง

                                                

ประมาณ 6.30 ฝนตกหนักมากจึงต้องรีบลงจากเขา เดี๋ยวจะเป็นอันตราย เริ่มหิวแล้วสิเรา เลยลงมาหาอะไรกินด้านล่างซะเลย อาหารที่แนะนำของทริปนี้ก็คือ เจ้าก๋วยเตี๋ยวยอดฮิตของที่นี่เลย อร่อยมาก




      มันมีชื่อว่า Bakso เป็นเมนูประจำชาติของอินโดนีเซีย ลักษณะจะคล้ายก๋วยเตี๋ยวบ้านเราแต่ต่างกันตรงลูกชิ้นที่เค้าจะมีหลายแบบมาก บางลูกเป็นไส้ไข่ เราว่ามันอร่อยมากๆเลย แต่ละร้านจะมีสูตรไม่เหมือนกัน ถ้าใครมาอินโดแล้วไม่ทานบักโซ โดยเฉพาะร้านต้นตำรับริมทาง ถือว่ามาไม่ถึงกันเลยแหละ สุดท้าย มื้อนี้ก็อิ่มไปตามระเบียบ หนังท้องตึงหนังตาหย่อน จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้า และเดินทางเข้าสู่สุราบายา เพื่อเตรียมตัวกลับบ้านเกิด ( ในที่สุดวันนี้ที่รอคอยก็มาถึง ฮ่าๆ )
- คืนนี้เราพักที่โฮสเทลคืนละ 200 บาทแถวตัวเมืองสุราบายา รวมอาหารเช้าแล้ว

DAY 5
ไกด์พาเรามาส่งที่สนามบิน จูอันดา ที่สุราบายาเพื่อเตรียมตัวขึ้นเครื่องกลับ ทริปนี้เหนื่อยสุดและคุ้มสุด ถือเป็นทริปที่ประทับใจอีกหนึ่งทริปเลยก็ว่าได้ ถึงจะเป็นการจบสิ้นทริป 5 วัน 4 คืน ณ บรูโม่ อีเจี้ยน ประเทศอินโด แล้ว แต่ความทรงจำและภาพความสวยงามยังคงอยู่

    


อยู่ในใจของเราทุกคน
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่